วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความรู้ในห้องคอมพิวเตอร์

1. เรื่อง ไมโครซอฟท์

1. ไมโครซอฟท์ เวิร์ค เป็นโปรแกรมที่นิยมในการประมวลผล ค่า มีความสามารถในการจัดรูปแบบ ตัวอักษร ย่อหน้า
2. ไมโครซอฟท์ เอาท์ลุค เป็นโปรแกรมรับ/ส่งอีเมล มีความสามารถในการเชื่อมต่อ เครื่องแม่ข่ายอีเมล
3. ไมโครซอฟท์ พาเวอร์พอยต์ เป็นโปรแกรม นำเสนอผลงาน ในแบบต่างๆ
4. ไมโครซอฟท์ เอกซ์เซล เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการจัดทำตาราง มีความสามารถในการคำนวน
5. ไมโครซอฟท์ ฟรอนต์เพจ เป็นโปรแกรมออกแบบเว็บเพจ

ผู้จัดทำ -

2.เรื่อง การทำนายสุดยอดการใช้เทคโนโลยี

อันดับที่ 3 หุ่นยนต์เริ่มเข้ามามีบทบาท

ในอนาคตหุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้นและจะสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ โยในบางชิ่นงานยังจะสามารถทำงานได้ดีกว่ามนุษย์ ประเทศเกาหลีใต้เพิ่งเปิดตัวเมืองหุ่นยนต์ เมื่อไม่นานนี้ โดยทั้งเมืองจะมีประชากรหุ่นยนต์ และอาจมีประธานาธิปดีเป็นหุ่นยนต์อีกด้วย โดยลงทุนเป็นเงินมหาศาสในการพัฒนาเมืองหุ่นยนต์ขึ้นมา

ผู้จัดทำ ม.3/2

3. เรื่องเทคโนโลยีโทรคมนาคมสมัยใหม่

การสื่อสารด้วยเส้นใยนำแสง (Fibroptic)
เส้นใยนำแสงมีลักษณะ เป็นท่อแก้ว ที่อ่อนตัวอยู่ในสายที่หุ้มด้วยพสาสติกลักษณะของท่อแก้วหุ้มด้วย สารพิเศษที่ทำให้เกิดการหักเหของแสงอยู่ภายในท่อแก้ว ดังนั้นเราสามารถส่งแสงจากปลายด้านหนึ่งให้ไป
ปรากฎที่ ปลายด้านหนึ่งได้ ทำให้มีการนำเอาข้อมูลเข้าไปผสมกับแสง เพื่อให้แสงกระพริบตามการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล ทำให้เรารับส่งสัญญาณข้อมูลไปกับแสงได้ การรับส่งข้อมูลเข้าไปในแสงทำได้มากและรวดเร็ว

ผู้จัดทำ ม.3/2

4. เรื่อง I pad

เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยกับ i pad ที่เป็นการผสมผสานระหว่าง i phona กับ Macbook รวมร่างกันจนออกมาเป็ยเจ้า i pod touch ยักขึ้น มากว่าเดิม
ขนาดตัวเครื่องสูง 9.56 นิ้ว กว้าง 7.97 นิ้ว และน้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลกรัม หน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว LED -baeklitglossy widescreen Multi - Touch TPs Technogy 1024*768 pixe ได้มาให้เลือกแบบ WiFi และ WiFi +3G

ผู้จัดทำ -

5.เทคโนโลยีใหม่ๆ

psp

สินค่าตัวนี้มีระบบการทำงานทำงานคล้าย playstacon 2 สามารถเล่นเกม ดูหนังฟังเพลง และสามารถติดกล้องโทรศัพท์ได้ และสินค้าตัวนี้รองรับ Mp 4 , Mp 3 ,andio ,iso ข้อดีของสินค้านี้คือการสามารถพกพาได้อย่างสะดวก ราคา 7,900 บาท แถมฟิมร์กันรอย ,memory sandiskagb

ผู้จัดทำ -

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สวัสดีครับ

ผมชื่อ ด.ช.ธาดา บัวพุ่ม อายุ 15

เรียนอยู่ชั้นมัธยม3/2 โรงเรียนมหาไถ่ศึกษา

กรุงเทพมหานคร

อาหารที่ชอบ ข้าวมันไก่

สิ่งที่ชอบ เกม การตูนร์

สีที่ชอบ สีฟ้า ดำ

วิชาที่ชอบ เลข สังคม ภาษาไทย วิทย์

............................................................................................

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คู่ปริศนา บทที่13 ตัวแทนแห่งรอยแค้น

บทที่ 13
ตัวแทนแห่งรอยแค้น


ณ ห้องโถงใหญ่ สถานที่ชุมนุมของผู้เข้าร่วมแข่งขัน
“ว่าไงนะ คืนนี้จะไปตรวจดูชั้นลอยของหอนาฬิกา?” ซิงเยี่ยมองหลิงหลงด้วยความประหลาดใจ
“ครับ พวกเราอยากจะจำลองสถานการณ์ในตอนนั้นดู ฉะนั้นคืนนี้ทุกคนจะต้องกลับเข้าห้องนอนแล้วล็อกประตูให้ดี อย่าเปิดให้ใครเข้าไปเป็นอันขาด!” หลิงหลงย้ำคำสั่งเดิม
ซิงเยี่ยรู้สึกเป็นกังวล “แต่ว่า...มันจะได้ผลจริงเหรอ”
“ต้องเลียนแบบเหตุการณ์จริงจึงจะคลี่คลายคดีได้งั้นเหรอ? พวกแกคิดว่านี่เป็นนิยายสืบสวนรึไง” ซิงหลางไม่อยากจะพูด
“นั่นสิ ใจกล้าเกินไปมั้ง เกิดเรื่องแบบนี้กลับไม่มีกลัวเลยซักนิด นี่ยังคิดจะคลี่คลายคดีอีก...ดูหนังมากไปรึเปล่า นี่เรื่องจริงนะไม่ใช่ละคร!” เหอหุ้ยพูดขึ้น
“สำหรับฉันขอรอเป็นกองหนุนดีกว่า ส่วนปริศนามังกรไขได้ก็ดีไม่ได้ก็แล้วไป ไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินสามพันล้านนั่นฉันก็อยู่ได้” ว่าแล้วไอโกะก็ดูดบุหรี่ พ่นควันฉุย
“ไม่เอาน่า อย่าเถียงกันเลย ไม่แน่พวกเขาอาจหาตัวฆาตกรเจอจริงๆ ก็ได้” คริสเริ่มเห็นด้วย
“ใช่ ไม่แน่ พวกเราอาจพบอะไรเข้าก็ได้” คำพูดแฝงความนัยของลู่กั้ว ทำเอาคนบางคนว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที
แย่แล้ว! จะให้พวกมันเห็นของชิ้นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!



..............................



พลบค่ำ
“รุ่นพี่...จะได้ผลจริงเร้อ” ลู่กั้วถามไม่หยุดขณะเดินย่องไปยังหอนาฬิกา
“ไม่รู้สิ!” อันที่จริงหลิงหลงไม่ได้คิดอะไรมาก เขาอยู่ในแวดวงการสืบสวนมานาน ย่อมเรียนรู้ว่าสิ่งใดควรทำและไม่ควรทำ คราวนี้พวกเขาจงใจปิดบังเวลาที่จะไปหอนาฬิกาไม่ให้คนอื่นรู้อีกเดี๋ยวแค่แสดงละครสักฉากก็เป็นอันใช้ได้
จิ้งฉีเตรียมพร้อมแล้วหันไปทางลูกั้ว “เงียบหน่อยได้ไหม ใครมาเห็นเข้าก็จบเห่กันพอดี”
“เฮ้อ...บอกตัวเองให้แสดงให้ดีก่อนเหอะ ถ้าเจ้าฆาตกรนั่นไม่โผล่มา นายโดนเหยียบมิดแน่” ลู่กั้วไม่วายที่จะกวนประสาท
“วางใจเถอะ จิ้งฉีไม่พลาดแน่” หลิงหลงเชื่อมั่น
รอจนหลิงหลงและลู่กั้วหลบฉากออกไปแล้ว จิ้งฉีจึงเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ แล้วเอ่ยปากถามป้าอ้วนเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
“ป้าอ้วน มีอะไรกินบ้างครับ”
“หิวอีกแล้วเหรอ” ป้าอ้วนหัวเราะ
“ครับ หิวนิดหน่อย” จิ้งฉีกวาดสายตามองดูโดยรอบ ทุกคนยังอยู่กันครบ ดีมากเป็นไปตามแผนเป๊ะ
“มีขนมปังเหลืออยู่ จะเอามั้ยล่ะ”
“ดีครับ เอ่อ...แล้วก็ขอนมเพิ่มให้ลู่กั้วด้วยครับ”
“นี่พวกนายคิดจะเลิกจำลองเหตุการณ์แล้วรึไง ทำไมยังมาหาของกินอยู่อีก” ซิงหลายอดถามไม่ได้
“พวกเราต้องเตรียมพร้อมกันก่อนน่ะ ตอนนี้กำลังให้ลู่กั้วทบทวนเหตุการณ์อยู่ เจ้านั่นความจำไม่ค่อยดี หยิบโน่นผสมนี่ ป่านนี้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย” จิ้งฉีพูดอย่างไม่อินังขอบใดๆ
“งั้นก็ไม่น่าจะไปพิสูจน์อะไรแล้ว เสี่ยงอันตรายซะเปล่าๆ ฆาตกรอาจซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้” เหอหุ้ยเตือน
“ใช่แล้วครับ หากพวกคุณเป็นอะไรไป พวกเราจะคอยแย่ไปด้วย” พ่อบ้านพูด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องเสี่ยงๆ แบบนี้แหละ น่าตื่นเตนดี” จิ้งฉีตอบ
“เท่านี้พอรึเปล่า” ป้าอ้วนจัดสำรับหนึ่งถาดใหญ่ยื่นมาให้
“ครับ...เดี๋ยวผมเอาถาดมาคืน ขอบคุณนะครับ” จิ้งฉีก้มหัวขอบคุณ แล้วหันตัวจะกลับออกไป
“จิ้งฉี!” ซิงเยี่ยเรียกไว้เสียก่อน หญิงสาวหน้าแดงก่ำเดินเข้ามาข้างกายเขา ท่าทางอึกอักลังเลซักพัก แต่สุดท้ายก็หลุดคำพูดออกมาจนได้
“ช่วย...ช่วยบอกหลิงหลงให้ระวังตัวด้วย”
“อ้อ...ได้ครับ”
คุณหนูซิงเยี่ยชอบรุ่นพี่นี่เอง เอ...แต่น่าจะเป็นรุ่นพี่ชอบคุณหนูมากกว่าไม่ใช่เหรอ ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับเราซักหน่อย


จิ้งฉีทำตามแผนได้อย่างดีเยี่ยม เขานำอาหารกลับเข้าไปในห้องหลิงหลง พอเข้ามาได้ เสียงของลู่กั้วก็ดังขึ้นทันที
“มาซะป่านนี้ ฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว”
“หิวนักทำไมไม่ไปเอาเองละ” จิ้งฉีตอบอย่างมีอารมณ์โมโห
“อย่าพึ่งกัดกันเลย กินก่อนเหอะ” หลิงหลงบอก


ปัง!...
ประตูปิดเสียงดัง หน่วยพิเศษทั้งสามจับกลุ่มกันอยู่ในห้อง
สายตาวาววับคู่หนึ่งจ้องมองพวกเขาจากหลังเสาต้นใหญ่
“ตกลงจะได้ผลรึเปล่าเนี่ย” ลู่กั้วซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังหอประตูนาฬิกา กระซิบถามหลิงหลงที่ซ่อนอยู่อีกด้านหนึ่ง
“อือ...ได้ผลแน่” หลิงหลงมองลอดผ่านช่องประตูรอดูสถานการณ์ด้านนอก “สักพัก พอมีคนเข้ามาปั๊บ พวกเราก็ลงมือเลย โอเคนะ”
“รับทราบ!” ลู่กั้วเริ่มคันไม้คันมือ
“มาแล้ว!” หลิงหลงเห็นเงาตะคุ่มๆ เดินรี่เข้ามา ท่าทางลับๆล่อๆ แต่ด้วยความมืด จึงมองเห็นไม่ชัดว่าเป็นใคร
ทั้งสองกลั้นหายใจพร้อมกัน เงาดำนั้นค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาอีกแค่สองก้าวก็จะอยู่ในวงรัศมีของแสงไฟจากหอนาฬิกา ไม่มีทางที่มันจะหลบหนีไปได้
เข้ามาเลย!
เหงื่อซึมเป็นสายออกจากฝ่ามือลู่กั้ว
แต่ทว่า เสี้ยวเวลาที่คนๆ นั้ กำลังจะก้าวเข้ามาในวงแหวนของแสงไฟ เสียงเด็กผู้ชายก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังพวกเขาเสียก่อน
“เอ๋ ...พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่...จับแมวรึไง” ลูซิเฟอร์นั่งเท้าคางอยู่บนบันไดหอนาฬิกา มองมายังหลิงหลงกับลู่กั้วด้วยสายตาเย็นยะเยือก


เจ้าหมอนี่มาได้ยังไง...
ความคิดปราดแรกของหลิงหลงผุดขึ้นมาทันที แต่ไม่ทันไรก็ถูกลูซิเฟอร์จับข้อมือเอาไว้ เสียวแปล๊บไปทั้งแขนเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าช็อตอย่างแรง
“อ๊ะ!” เจ้าของเงาดำเมื่อกี้หายไปเสียแล้ว ลู่กั้วคิดจะไล่ตามแต่ไม่ทันการณ์
“นายต้องการอะไรกันแน่” หลิงหลงมองลูซิเฟอร์อย่างคาดคั้น สงสัยหมอนี่ต้องไม่ใช่เด็กธรรมดาแน่ๆ!
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ฉันก็แค่อยากดำเนินเกมต่อไปอีกซักหน่อยนี่ กำลังสนุกอยู่เลย”
“ขำอะไร แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ได้ฆ่าคน แล้วมาทำบ้าอะไรแถวนี้” ลู่กั้วโมโห เห็นๆ อยู่ว่ากำลังจะจับฆาตกรได้อยู่แล้วเชียว ถ้าเจ้าเด็กผีนี่ไม่มาก่อกวนซะก่อน
“ถูกต้อง แต่ฉันก็บอกด้วยนี่ว่า ห้ามพวกแกมาก่อความวุ่นวายในเกมของฉันเด็ดขาด” ลซิเฟอร์รู้ถึงพลังต่อต้านของหลิงหลง
“ฮ่าๆ เจ้าหนู นายมีพลังแข็งแกร่งดีนี่ มาเป็นผู้ช่วยฉันมั้ยล่ะ” หลิงหลงพูดแหย่

ไอ้หนูนี่น่าจะเป็นฝ่านมารระดับสูงที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลกนี้เป็นแน่ ทำไมตอนนั้นถึงเล็ดลอดมาได้นะ
“ฮะๆ ถ้าไปเป็นคนแบบแก ฉันคงเบื่อแย่ แล้วการทำอะไรตามคำสั่งคนอื่นก็ไม่ใช่นิสัยของฉันซะด้วย”
“ฮ่าๆ งั้นเรอะ...”
เจ้าเด็กนี่ต้องไม่ใช่ฝ่านมารระดับธรรมดาแน่ๆ แต่ว่าพวกฝ่ายมารระดับสูงก็ถูกกักขังอยู่ไม่สามารถออกมาก่อความวุ่นวายอะไรได้ ในฝ่ายเทพเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเจ้าเด็กคนนี้มาก่อนเลย จริงๆ แล้วมันเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่กันแน่
หลิงหลงยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย
ลูซิเฟอร์ปล่อยข้อมือหลิงหลง แต่จะพูดว่าปล่อยก็ไม่ถูกซะทีเดียว ต้องพูดว่าพลังของหลิงหลงทำให้เขาจำเป็นต้องปล่อยมือถึงจะถูก
เด็กน้อยวางท่าไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วหัวเราะ “ฮ่าๆ ทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ลาก่อนละกัน”
“เฮ้! หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!” ลู่กั้วร้องเรียกเสียงดัง แต่ก็ทำได้เพียงแค่มองเงาร่างของลูซิเฟอร์ที่ค่อยๆ สลายไปในม่านหมอกความมืด
“รุ่นพี่...ทำไมไม่หยุดมันไว้หล่ะ!”
หลิงหลงยกข้อมือขึ้นดู รอยนิ้วมือทั้งสี่แดงเป็นปื้นอยู่เป็นวงรอบ
“ถ้าเกิดการต่อสู้กันขึ้น ที่นี่ต้องถูกทำลายจนย่อยยับแน่ๆ อีกอย่างเขตเวทมนตร์ก็ถูกมันตรึงไว้ ยังไงฉันก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ” พูดจบก็เดินออกจากหอนาฬิกาไปทันที
“อา! นี่พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอรุ่นพี่ ต้องปล่อยมันไปแบบนี้อ่ะนะ” ลู่กั้วเดินตามรุ่นพี่ไม่ห่าง


ฉันต้องไม่ทำให้ที่นี่เสียหายไปมากกว่านี้ เพราะฉัน เป็นเพราะฉัน เส้าหวิน...เธอ
หลิงหลงนึกถึงคนที่เขาคิดถึงมาตลอดสองปี ในใจเกิดปวดแปลบขึ้นมา
มองดูท้องฟ้ายามเอนเด่นดาวดับ ช่างอ้างว้างเสียเหลือเกิน เส้าหวิน...เธออยู่ที่ไหน...


ลูซิเฟอร์หลบอยู่ในเงามืด มองดูหลิงหลงและลู่กั้วเดินออกจากหอนาฬิกาไปอย่างเยบเชียบ ก้มลงมองฝ่ามือที่จับข้อมือขวาของหลิงหลงเอาไว้เมื่อครู่ มันบวมแดงราวกับถูกเพลิงอัคคีเผา เจ็บแสบปวดร้อนอย่างมาก เลือดสีเข้มค่อยๆ ไหลซึม หยดลงบนพื้นทีละหยดๆ
“ไอ้เจ้านั่น” เสียงลิดไรฟันออกมาอย่างอาฆาตแค้น


“ซิงหัวก็คือลูซิเฟอร์”
จิ้งฉีพึมพำเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของหลิงหลง
“พวกนายเคยประมือกับเขามาก่อนเหรอ” หลิงหลงรู้สึกว่าเรื่องมันชักจะวุ่นวายกว่าที่คิด นี่ถ้าหากลูซิเฟอร์ไม่ออกมาขัดขวาง พวกเขาก็คงจะรู้ไปแล้วว่าฆาตกรเป็นใคร
“ยิ่งกว่าเคยซะอีก! ถ้าไม่ใช่เพราะคนเก่งๆ อย่างฉัน เจ้าปอดแหกนั่นก็คงตายไปนานแล้ว!” ลู่กั้วยิ่งคิดยิ่งโมโห เมื่อนึกถึงครั้งที่ประมือกับลูซิเฟอร์ “ฉันรึอุตส่าห์สู้แทบเป็นแทบตาย แต่ไอ้หมอนี่กลับเอาแต่ยืนนิ่ง ไม่ทำอะไรซักอย่าง”
“ที่แย่ก็คือ พลังของเขาไม่รู้ว่าจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมามากน้อยแค่ไหน” หลิงหลงสำทับ
“ถ้าไม่ถือโอกาสกำจัดมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ล่ะก็ ต่อไปน่ากลัวจะยาก” จิ้งฉีเสริม
“ถูกต้อง”
“ก็ฉันบอกแล้ว ทำไมเมื่อกี้รุ่นพี่ไม่จัดการให้เรียบร้อยไปซะเลยก็ไม่รู้” พอพูดถึงการต่อสู้ ลู่กั้วก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“ที่นี่ถูกกักพลังเวทเอาไว้ ฉันใช้พลังได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนพวกนาย... อีกอย่างฉันไม่อยากให้คนอื่นๆ ต้องมาบาดเจ้บล้มตายไปด้วย” หลิงหลงอธิบาย “พวกเราค่อยๆ คิดหาหนทางแก้กันดีกว่า” ในใจของหลิงหลงยังเป็นห่วง
หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ ที่นี่คงหนีไม่พ้น ต้องถูกทำลายอย่างย่อยยับเป็นแน่
“อืม” จิ้งฉีพยักหน้า
ส่วนลู่กั้ว แม้จะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ยอมรับในสิ่งที่หลิงหลงพูด “แต่...แผนการที่ล้มเหลววันนี้ได้แหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้ว บวกกับเจ้าลูซิเฟอร์ที่เป็นปัญหาอยู่ พวกเราคงต้องรีบคิดกันหน่อยแล้วล่ะ”
“ใช่ แต่ฉันคิดว่าแผนการที่ล้มเหลววันนี้ คงจะทำให้ฆาตกรระวังตัวมากขึ้น”
“ใช่ๆ ดูท่าทางตกตะลึงของมันแล้ว ฉันคงว่ามันไม่กล้าทำอะไรตอนนี้หรอก” ลู่กั้วยืนยัน


“กรี๊ดดด.....”
เสียงกรีดร้องแหลมดังมาจากด้านนอก
ทั้งสามพุ่งออกจากท้องอย่างรวดเร็ว วิ่งไปยังที่มาของเสียงทันที
หน้าห้องซิงหลาง ทานากะ ไอโกะนั่งช็อกเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น ริมฝีปากเต้นระริกตาเหลือกค้าง ตัวสั่นไม่หยุด แม้แต่เรี่ยวแรงที่ใช้กรีดร้องก็เหือดหายไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น!” คนอื่นๆ ต่างรุดเข้ามาดูอย่างพร้อมหน้า พวกเขามองตามมือของไอโกะซึ่งชี้เข้าไปในห้อง... น่าสยดสยองเหลือเกิน ห้องของซิงหลางแดงฉานไปด้วยเลือด ร่างของเจ้าของห้องนอนนิ่งอยู่บนพื้นศีรษะกับตัวถูกฟันขาดกระเด็นออกจากกัน
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้...” เหอหุ้ยยืนตัวสั่น
“คุณอา...” น้ำตาของซิงเยี่ยไหลทะลักออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“ทุกคนสงบสติไว้ก่อน ลู่กั้วนายพาพวกเขาไปที่ห้องโถงใหญ่เร็วเข้า ฉันกับจิ้งฉีจะตรวจดูที่เกิดเหตุก่อน” หลิงหลงกำชับ
“ครับ!”
“เหอะๆ...” ก่อนไป ซิงหัวหรือลูซิเฟอร์ เผยอยิ้มอย่างเยือกเย็น หรือจะเป็นฝีมือของเจ้าหมอนี่ จิ้งฉีมองแผ่นหลังของลูซิเฟอร์พลางครุ่นคิด
“รีบทำงานเร็วเข้าเถอะจิ้งฉี” หลิงหลงดึงความคิดฟุ้งซ่านของจิ้งฉีกลับมา
“ใช่ฝีมือเขารึเปล่า...”
“เป็นไปไม่ได้” หลิงหลงเริ่มตรวจดูบาดแผลของซิงหลาง “หากเป็นเขาจะไม่ตัดศีรษะของเหยื่อด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยการใช้มีดตัดเอาดื้อๆ แบบนี้หรอก” พวกฝ่ายมารนั้นเหี้ยมโหดเกินกว่าใครจะคาดคิด พวกมันไม่จัดการเหยื่ออย่างรวดเร็วและง่ายดายเช่นนี้
“แปลก ที่นี่มีแต่เลือดเต็มไปหมด แต่ทำไมไม่มีรอยเทาเลยล่ะ” จิ้งฉีเช็ดรอยเลือดบนพื้น “เวลาที่ซิงหลางตายน่าจะอยู่ราวครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้” วินิจฉัยจากระดับการแข็งตัวของเลือดที่นองอยู่ที่พื้น
“ไม่ถูก!” หลิงหลงหันหลับ “ดูจากรอยจ้ำบนตัวและสภาพเลือดในตัวศพ น่าจะตายมาแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง”
“เป็นไปได้ไง หรือว่า...”
หลิงหลงและจิ้งฉีคิดเหมือนกัน
“ที่นี่ไม่ใช่ที่เกิดเหตุ!!”



..........................



ในห้องโถงใหญ่
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้....” ครูโซ่ คริสเดินไปเดินมาไม่หยุด
“พวกเรา...พวกเรามาแข่งขันตามคำเชิญของท่านซิงแท้ๆ แล้วทำไม...ทำไมต้องมาถูกฆ่าไปทีละคนๆ อย่างนี้ล่ะ” เหอหุ้ยไม่เข้าใจ
“หึ...วิญญาณร้ายอาจจะตามมาแก้แค้นแล้วก็ได้” ซิงหัวพูดเสียงเย็นชา
“ไร้สาระ!”
หน้าตาของไอโกะดูเหมือนจะแก่ลงไปอีกเกือบยี่สิบปี นัยน์ตาแดงไปด้วยเส้ยเลือด
“ขอให้ทุกคนทำใจให้สงบ ตอนนี้พวกเราต้องอยู่รวมกลุ่มกันไว้ อย่าแยกไปไหนมาไหนตามลำพังเด็ดขาด” ซิงเยี่ยยังคงเศร้าใจ
“ใช่แล้ว การอยู่คนเดียวตามลำพังก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ฆาตกร ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ทุกคนก็พักรวมกันที่นี่ไปก่อนละกัน” ลู่กั้วพูดบ้าง
ทุกคนนิ่งเงียบ บรรยากาศอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“คุณหนูซิงเยี่ย” จิ้งฉีกลับมาแล้ว
“เป็นไงบ้างคะ” ซิงเยี่ยคิดว่าคงได้บทสรุปแล้ว
“มีเรื่องอยากขอร้องน่ะครับ” เด็กหนุ่มดึงซิงเยี่ยแยกตัวออกมาอีกด้านหนึ่ง
“เราอยากได้กุญแจสำรองของทุกห้องในตึก”
“กุญแจสำรองหรือคะ ลุงพ่อบ้านเป็นคนดูแล...เดี๋ยวฉันจะไปเอาให้ก็แล้วกันค่ะ”
“คุณไอโกะครับ” จิ้งฉีไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ระหว่างรอซิงเยี่ยก็หันไปคุยกับไอโกะ “ตอนนั้นคุณไปหาคุณซิงหลางที่ห้องทำไม”
“ฉัน...ฉัน...” ไอโกะเงียบไปชั่วขณะ อ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะตอบ “ฉันมีเรื่องจะปรึกษากับเขาก็เลยไปหา”
“แล้วจากนั้นเป็นยังไงครับ” จิ้งฉีสังเกตเห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“พอไปถึงเห็นด้านในเปิดไฟอยู่ เลยเคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบ ฉันเห็นประตูไม่ได้ล็อกจึงผลักเข้าไปเบาๆ แล้ว...แล้วก็เห็น..”
พอนึกถึงภาพอันน่าสลดใจนั้น ไอโกะก็รู้สึกหวาดหวาขึ้นมา อยากจะวิ่งหนีออกไปให้พ้นๆ จากที่นี่เสียเดี๋ยวนั้น
“ก่อนหน้านี้คุณกับคุณซิงหลางสนิทกันมากใช่ไหมครับ” จิ้งฉีคาดเดา
“ก็...สนิท...” แววตาของไอโกะดูล่องลอย
“คุณจิ้งฉีคะ...นี่กุญแจ” ซิงเยี่ยนำกุญแจมาให้แล้ว
“ขอบคุณครับ” จิ้งฉีรับกุญแจแล้วเร่งรีบจากไป



.............................




“ไม่มีห้องลับ ไม่มีร่องรอยหลักฐาน อย่างนี้ก็จบข่าว!” หลิงหลงบ่น “แต่ฉันแน่ใจว่าซิงหลางต้องถูกฆ่าตายจากที่อื่นแน่ๆ”
“วันนี้ฝนไม่ตก การฆาตกรรมไม่น่าเกิดขึ้นข้างนอก พวกเราลองไปตรวจดูห้องอื่นๆ กันเถอะ อาจจะได้ร่องรอยอะไรบ้าง”
“จากรอยเลือดบนพื้นกับสภาพศพ สามารถวิเคราะห์เวลาตายได้ต่างกันครึ่งชั่วโมง แสดงว่า...” จิ้งฉีพูด “เวลาครึ่งชั่วโมงนี้ เป็นเวลาที่ฆาตกรใช้จัดการลบร่องรอยทุกอย่างให้เรียบร้อย”
“ใช่ แต่ฉันเชื่อว่าเขาไม่สามารถเก็บร่องรอยได้หมดร้อยเปอร์เซนต์หรอก คนที่ถูกตัดหัว เลือดจะพุ่งกระฉูดได้สูงสุดประมาณสามเมตร ฉันไม่เชื่อว่าหมอนั่นจะเช็ดเลือดทุกหยดได้หมดจด ต้องมีร่องรอยอะไรเหลืออยู่แน่ๆ”
“ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เขาเกือบถูกพวกเราจับได้ เขาต้องมีความกังวลใจในเรื่องนี้อยู่บ้างอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น มันต้องมีความผิดพลาดที่เขามองข้ามไปหลงเหลืออยู่ชัวร์ๆ พวกเราต้องค้นหาร่องรอย อันนั้นให้เจอให้ได้” หลิงหลงกล่าวอย่างจริงจัง


“ครับ”
รุ่นพี่ฉลาดจริงๆ เราเองเสียอีกที่มัวแต่คลำทางสะเปะสะปะไปเรื่อย
จิ้งฉีรู้สึกผิดหวังในตัวเองอยู่ลึกๆ


“อย่าคิดมากน่า ตอนฉันอายุเท่านาย ยังไม่ประสีประสาอะไรเลยด้วยซ้ำ” หลิงหลงปลอบ “อายุแค่นี้ก็เข้ามาในหน่วยงานพิเศษได้ นายก็ต้องมีอะไรเจ๋งๆ อยู่เหมือนกันล่ะน่า”
“เป็นเพราะโชคช่วยมากกว่าน่ะครับ อย่างตอนทดสอบครั้งแรก...” จิ้งฉีเสียงเบาลง
“ไม่จริงหรอก” หลิงหลงโต้แย้ง “โชคน่ะไม่เข้าข้างใครง่ายๆ หรอกนะ นายต้องมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นอยู่แน่ เพียงแต่ไม่รู้ตัวเท่านั้น”
เขาฉีกยิ้มกว้างให้จิ้งฉี “น้องชาย...ความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมากนะ หญิงรักหญิงหลงก็ตรงนี้ล่ะ! เชื่อพี่ ฮ่าๆ”
“ยังมีอารมณ์มาพูดเรื่องแบบนี้อีกหรือครับ รุ่นพี่” จิ้งฉีรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก
“...เอาน่า ไปเหอะ! ไปดูซิว่าเทพยดาฟ้าดินจะหลงเหลืออะไรให้พวกเราบ้าง” หลิงหลงขยิบตาให้
“ครับผม”



..............................



หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
“เฮ้อ...เหนื่อยจริงๆ!” หลิงหลงมองประตูบานใหญ่ที่ปิดไว้อย่างแน่นหนา ถอนหายใจเฮือกยาว “ห้องพักทุกห้องตรวจดูเกือบหมดแล้ว แต่เบาะแสสักนิดก็ไม่มี”
“ไหงเมื่อกี้รุ่นพี่ยังเชื่อมั่นนักหนา ว่ามันต้องมีเบาะแสไงล่ะครับ” จิ้งฉีเหงื่อตก
“ความเชื่อมั่นน่ะยังเต็มร้อย ถ้าหากว่าที่นี่ไม่ถูกกักพลังเวทไว้ล่ะก็ แค่เรียนซื่อเสิน (เทพแห่งรูปแบบ) มาช่วยวิเคราะห์ พวกเราก็มานอนสรุปได้สบายใจเฉิบแล้ว” หลิงหลงพูด
“งั้น...ที่เหลือผมไปตรวจเองแล้วกัน”
“เฮ่ย จะปล่อยนายทำคนเดียวได้ไงล่ะ?” หลิงหลงลูบหัวจิ้งฉีรู้สึกตัวเองจะพูดมากไป เจ้านี่เลยงอนเอา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมควรจะฝึกฝนให้มากขึ้น ไม่งั้นเจ้าลู่กั้วมันก็จะคอยย้ำว่าไม่เอาไหนอยู่นั่นแหละ” จิ้งฉีหัวเราะ
“งั้นก็คงต้องพึ่งนายแล้วล่ะ...นายนี่เป็นคนดีจริงๆ เลยจิ้งฉี!”
หลิงหลงน้ำตาคลอเบ้า



............................



จิ้งฉีไปตรวจห้องของป้าอ้วนกับซิงเยี่ย แต่ก็ยังไม่พบอะไรน่าสงสัย
แม้จะไม่เก่งกล้าทางด้านเวทมนตร์ แต่เรื่องไหวพริบปฏิภาณและความละเอียดรอบคอบแล้วล่ะก็ จิ้งฉีก็นับว่าไม่เป็นรองใคร หากหมั่นฝึกฝนสักหน่อย รับรองได้ว่าต้องเป็นนักสืบที่เก่งกาจอย่างแน่นอน
หลิงหลงมองดูจิ้งฉีเดินเข้าเดินออกอยู่เงียบๆ ในใจรู้สึกเป็นปลื้มในความมุมานะของรุ่นน้องคนนี้อยู่ไม่น้อย ทว่าปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของจิ้งฉีก็คือการควบคุมความเชื่อมั่นและอารมณ์ของตนเอง ทั้งๆ ที่วินิจฉัยได้ถูกต้องแล้วแม้ๆ แต่กลับไม่มั่นใจที่จะยืนยันออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย คนที่คิดว่าตัวเองไม่เอาไหนอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้
เป็นเพราะอะไร?
หลิงหลงนึกถึงเมื่อครั้งที่พวกเขาร่วมงานกันครั้งแรก มีบางอย่างที่เขายังไม่เข้าใจจนถึงวันนี้
“ไม่พบอะไรเลย” จิ้งฉีหันมารายงาน กลับพบสายตาของหลิงหลงมองนิ่งมายังตน “หืม...มีอะไรผิดพลาดรึครับ รุ่นพี่” เขาคิดว่าตนเองคงปฎิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีพอ
“เปล่าๆ...นายทำได้ดีมาก ห้องซิงเยี่ยไม่มีรังสีฆ่าฟันอยู่แล้วล่ะเออ...ข้างล่างยังมีอีกสองห้องนี่” แม้ยังไม่รู้ว่าใครคือฆาตกร แต่ว่าคนที่ไม่มีทางเป็นฆาตกรได้แน่ๆ นั้น หลิงหลงคิดคำนวณไว้ในใจแล้ว
“ครับ...เป็นห้องของพ่อบ้านกับของอาจารย์ซิงผู้ล่วงลับ” จิ้งฉีพยักหน้ารับ
“ไปดูกันเถอะ!”


ห้องของพ่อบ้านก็ไม่มีเบาะแสน่าสงสัยใดๆ จิ้งฉีชักจะเริ่มท้อแท้ใจแล้วสิ “เหลืออีกห้องไม่ใช่เหรอ ยังไม่ถึงที่สุด อย่ายอมแพ้เด็ดขาด” หลิงหลงปลอบ
“แต่ว่าอาจารย์ซิงตายไปแล้ว...” นัยน์ตาจิ้งฉีลุกวาวขึ้น
“เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองหน่อยสิ ไปดูก่อนค่อยมาพูด!”
“ครับ”
แม้อาจารย์ซิงจะถึงแก่กรรมไปหลายวันแล้ว แต่ห้องของเขาก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม ปราศจากฝุ่นละออง ราวกับรอคอยการกลับมาของเจ้าของ
ห้องรับแขกเล็กที่แม้จะดูไม่เป็นระเบียบไปบ้าง แต่ในความไม่เป็นระเบียบนั้นกลับมีความละเอียดซ่อนเอาไว้ กองเครื่องมือที่วางรวมอยู่กับตั้งหนังสือ แม้จะเหมือนวางเอาไว้ระเกะระกะ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามันวางไว้ใกล้ชั้นวางเครื่องมือที่หยิบจับได้ง่ายที่สุด
“ดูเหมือนอาจารย์ซิงสนใจศึกษาพวกโหราศาสตร์กับเรื่องลี้ลับนะ!” หลิงหลงพูดขณะพลิกดูหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ชอบสะสมของแปลกด้วย” จิ้งฉีกำลังตรวจดูกล่องเก็บของซึ่งข้างในมีของแปลกๆ มากมาย
“เอ๋ เล่มนี้มัน...”
หลิงหลงพลิกมาถึงหนังสือเล่มหนึ่งก็ต้องตกตะลึง
“อา...ดูเหมือนจะเป็นแบบร่างเกมพร้อมคำเฉลยที่เขาเป็นคนออกแบบ!” จิ้งฉีตกตะลึงเช่นกัน
“เฮ้ พอดีเลย ไหนดูซิว่ามีคำเฉลยปริศนามังกรรึเปล่า” หลิงหลงพลิกมาถึงหน้าสุดท้ายซึ่งมีรอยยับย่นคล้ายถูกขยำ
เสียดายที่หน้าสุดท้ายไม่ใช่แบบร่างของปริศนามังกร แต่เป็นแบบร่างของเล่นที่กำลังขายดิบขายดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่นขณะนี้
“นี่ก็เป็นผลงานของอาจารย์ซิงงั้นเหรอ” จิ้งฉีสงสัย
“ดูจากแบบแล้วก็น่าจะใช่ ชิ้นส่วนทุกชิ้นล้วนจดบันทึกวิธีการทำงานเอาไว้อย่างละเอียด แล้วยังเขียนวันที่และแนวคิดในการประดิษฐ์ไว้ด้วย แต่ว่า...” หลิงหลงยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เหตุใดจึงมีรอยขยำ คล้ายจะฉีกแต่ไม่ได้ฉีก
“แต่ฉันจำได้ ตอนเปิดตัวเกมนี้ที่ญี่ปุ่น ไม่ได้บอกว่าเป็นผลงานของอาจารย์ซิง ดูเหมือนจะบอกว่าเป็นผลงานของบริษัทอะไรซักอย่างนี่แหละ...” จิ้งฉีพูดขึ้น
เขาชี้ไปที่แถวตัวหนังสือที่อยู่ด้านบน
“ลองดูประโยคนี้ซิ”


ฉันเป็นเพียงของเล่นชิ้นเล็กๆ แต่สามารถทำให้คุณค้นพบความตื่นเต้นอย่างคาดไม่ถึง


“นี่เป็นคำโฆษณาของเกมนี้ แม้แต่คำโฆษณาก็เหมือนกัน ไม่น่าใช่ความบังเอิญแล้วล่ะ”
“นายดูนี่ วันที่ด้านบนเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แต่อาจารย์ซิงเสียชีวิตไปได้สองสัปดาห์ เกมนี้น่าจะเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา!” แม้หลิงหลงไม่เคยเห็นคำโฆษณา แต่ก็รู้สึกว่ามีความนัยแอบแฝงอยู่
“แปลกจริง” จิ้งฉีก็รู้สึกประหลาด แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน “รุ่นพี่ตรวจในนี้ไปก่อน ผมจะไปดูที่ห้องอาบน้ำ”
“ดี...ฝากด้วยแล้วกัน” หลิงหลงพยักหน้า
ขณะที่กำลังจะเข้าห้องน้ำ วูบหนึ่ง จิ้งฉีรู้สึกเหมือนถูกปะทะด้วยพลังต้านทานอย่างรุนแรง จนเขาเกือบยืนไม่อยู่
“เป็นไร จิ้งฉี” หลิงหลงเห็นจิ้งฉีคล้ายกำลังจะล้ม จึงเข้าไปพยุง
“เปล่าครับ...รู้สึก...เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ” จิ้งฉีสั่นหัว
“...ฉันไปดูเอง”
“ไม่เป็นไรครับ” จิ้งฉีฝืนยิ้ม “ไหนๆ ก็เป็นที่สุดท้ายแล้ว ให้ผมจัดการต่อเลยแล้วกัน”
“อืม เอาเลย”
ห้องอาบน้ำนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงทำให้จิ้งฉีรู้สึกไม่สบายใจไปทั้งตัวคล้ายหนาวสั่นหรือเป็นเพราะคิดมากไปเอง
เขาสะบัดหัว แล้วเริ่มสำรวจ หากการฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นี่ คงจะไม่พบเจออะไรแน่ๆ เพราะที่นี่ง่ายต่อการชะล้างทำความสะอาด แต่...ก็อย่างที่รุ่นพี่ว่า ร้อยถี่มีหนึ่งห่าง เพราะความที่ง่ายต่อการทำความสะอาด ก็อาจจะทำให้ฆาตกรพลาดหลงเหลือหลักฐานอะไรทิ้งไว้ก็ได้



ที่ๆ ฆาตกรคาดไม่ถึง!
จิ้งฉีเริ่มสำรวจตามมุมห้อง ไม่เว้นแม้แต่รอยแตกร้าวของกระเบื้อง
“ไม่มี”
จากการตรวจอย่างละเอียด ไม่พบสิ่งต้องสงสัยแม้เพียงเศษเสี้ยว เขาจึงรู้สึกห่อเหี่ยวหมดกำลังใจลงอย่างมาก ทรุดตัวนั่งพักอยู่ข้างอ่างอาบน้ำ
“หรือพวกเราจะวินิจฉัยกันผิด” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ผมนี่ยังไงก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี” โดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ก๊อกน้ำ
“จิ้งฉี ดูซิว่าฉันเจออะไร” หลิงหลงผลักประตูเข้ามา “เอ๋ นายกำลังทำอะไร”
“ผมคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว” จิ้งฉีหันไปมองหน้าหลิงหลงแล้วยิ้ม
“อะไรนะ แยกกันสอบสวน พวกนายเห็นพวกเราเป็นอะไร นักโทษรึไง” ไอโกะตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง
“ไม่ใช่อยู่แล้วครับ แต่ว่าเรามีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้ว่าฆาตกรก็คือหนึ่งในหมู่พวกคุณ!” หลิงหลงเสียงเข้ม
“ใครกันล่ะ ชี้ตัวออกมาเลยสิ!” เธอยังคงไม่พอใจ
“พวกคุณวางใจได้ อีกสักพักเขาก็จะยืนขึ้นยอมรับเอง” หลิงหลงยิ้มยะเยือก ส่งซิกให้จิ้งฉี
“นี่คือคำถามเกี่ยวกับคดีหฤโหดทั้งสองคดี เดี๋ยวพวกเราจะแจกให้กับทุกคน”
“ว้าว!หาตัวฆาตกรด้วยวิธีแบบนี้ด้วย” ลู่กั้วทึ่ง
“แน่นอน!” จิ้งฉีมองเขาแวบหนึ่ง เป็นการส่งซิกว่าอย่าเสียงดัง “คำถามที่ผมจะแจกต่อไปนี้ เป็นคำถามง่ายๆ ทุกคนน่าจะทำได้ แต่ยังไงก็ตามผมขอเตือนไว้ก่อน อย่าแอบดูคำตอบของคนอื่นโดยเด็ดขาด เพราะคำถามของแต่ละคนไม่เหมือนกัน”
คำถามเหล่านี้ เขากับหลิงหลงช่วยกันคิดหัวแทบแตก “ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ...คำตอบที่คุณแอบดู อาจเป็นของฆาตกรก็ได้”
“มีวิธีแบบนี้ก็น่าจะเอามาใช้แต่แรก” เหอหุ้ยพูดขึ้น
“แค่คำถามชุดเดียวก็สามารถหาตัวฆาตกรได้? ถ้าหาได้แล้วจะอธิบายยังไง หลักฐานแบบนี้พิสูจน์ความผิดใครไม่ได้หรอก!”
คริสกังขา
“ข้อนี้คุณไม่ต้องห่วง” หลิงหลงยิ้มน้อยๆ “จิ้งฉี แจกคำถามให้ทุกคนเถอะ”
จิ้งฉีเริ่มแจกคำถามให้แต่ละคนอย่างเฉพาะเจาะจง
“ลู่กั้ว เสร็จแล้วนายก็ส่งทุกคนกลับห้องเหมือนเดิม จะได้ไม่มีใครหนีไปไหน” หลิงหลงอมยิ้ม
ลู่กั้วปฎิบัติหน้าที่ส่ง ซิงเยี่ย เหอหุ้ย พ่อบ้าน ไอโกะ และป้าอ้วนกลับเข้าห้อง
“ฮึ! ช่างคิดกันจริง...” ขณะรับแผ่นคำถาม ลูซิเฟอร์เอ่ยเสียงเรียบ
“ถ้าไม่ใช่เรื่องของแก ก็อย่ายื่นมือเข้ามาสอด!” จิ้งฉีเตือน
“ฮ่าๆ หากข้าคิดสอดจริง พวกเจ้าอยู่ไม่รอดถึงวันนี้หรอก”
ลูซิเฟอร์ยิ้มเย็นชา
“ถ้าไม่เป็นเพราะนายยื่นมือเข้ามา พวกเราก็คลี่คลายคดีไปนานแล้ว” หลิงหลงเข้ามาสมทบอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน
“มันก็แค่เกม จบเร็วไปก็ไม่สนุกหน่ะสิ” ลูซิเฟอร์ยิ้ม แต่ยังคงตามลู่กั้วกลับไปที่ห้อง
หลิงหลงกับจิ้งฉีมองตากัน คำพูดที่เข้าใจยากของลูซิเฟอร์วนเวียนอยูในห้วงคำนึง



.................................



ยี่สิบนาทีผ่านไป
เงาดำร่างหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ อยู่นอกหน้าต่าง ก่อนจะมองเข้ามาในห้องของอาจารย์ซิง
ดีที่เจ้าเด็กสามคนนั้นยังอยู่ในห้องพัก ไม่มีทางรู้ว่าเราอยู่ในนี้! ชิ ไอ้ลูกหมา อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดนักเลย!


เขาคนนั้นพลิกตัวจากหน้าต่างเข้ามาในห้อง ค่อยๆ ก้าวข้ามกองสารพัดสิ่งของเข้าไปในห้องอาบน้ำ
พอเห็นหลักฐานสำคัญยังอยู่ที่เดิมก็วางใจ


ดีจริง เฮอะ! พวกนักสืบสมัครเล่นอย่างนั้น จะมาพบหลักฐานนี้ได้ยังไง คำถามบ้าบออะไรนั่นแกล้งทำขึ้นมาชัดๆ
เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าออก กำลังเตรียมเช็ดถู พลันน้ำเสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ตอนนี้เป็นเวลาตอบคำถาม คุณมาทำอะไรที่นี่”
คนผู้นั้นตกใจสุดขีด มือไม้สั่น ผ้าเช็ดหน้าหล่นลงบนพื้น
“ฮ่าๆ จิ้งฉี ในที่สุดก็เป็นไปตามที่นายคาด” หลิงหลงหันมายิ้ม “ฆาตกรติดกับเข้าให้แล้วจริงๆ”
คนถูกจับได้รีบยืนขึ้น “พวกคุณรู้ได้ไงว่าเป็นผม”
“ก่อนหน้าที่คุณจะเข้ามา พวกเราไม่รู้หรอก!” หลิงหลงหัวเราะ “ด้วยแผนการอันสลับซับซ้อนของคุณ ใครจะไปเดาได้ว่าใครคือฆาตกร”
“หึ ...คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะต้องมาพบจุดจบด้วยน้ำมือของพวกคุณ” คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็นชา
“เสียดาย...” เขาถอนหายใจนิ่งแล้วจึงขยับปากถาม “พวกคุณรู้ได้ยังไง”
“เป็นเพราะเรื่องนี้...” จิ้งฉีนำหนังสือที่พวกเขาค้นพบออกมา “พวกเราแปลกใจว่าทำไมเกมฝึกสมองที่อาจารย์ซิงบันทึกไว้ในหน้าสุดท้ายถึงเป็นเกมเดียวกันกับเกมใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะวางขายในญี่ปุ่น ตอนเปิดตัวพวกเขาก็ไม่ได้บอกว่านี่เป็นผลงานของอาจารย์ซิง ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวังซิ่งและซิงหลาง! พวกเขายักยอกสิ่งประดิษฐ์ของอาจารย์ซิงไปเป็นของตัวเอง เพราะเหตุนี้อาจารย์ซิงถึงได้โมโหจนอยากฉีกมันทิ้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ลง เพราะมันเป็นเลือดเนื้อเป็นจิตวิญญาณของท่าน ถ้าคิดดูจากช่วงวันเวลาดังกล่าว เป็นไปได้ว่าเรื่องนี้จึงทำให้อาจารย์ซิงล้มป่วยจนทรุดหนักและถึงแก่กรรมในที่สุดดังนั้นสาเหตุของการฆาตกรรม ก็คือเพื่อล้างแค้นให้อาจารย์ซิงและคนที่เหลืออยู่”
“ดังนั้นพวกคุณจึงคิดว่า ผมต้องมาที่นี่” คนผู้นั้นกลับไม่แก้ตัวใดๆ
“คำถามที่แจกให้ทุกคน มีข้อหนึ่งถามว่า ศพของซิงหลางกับรอยเลือดบ่งบอกเวลาเสียชีวิตไม่ตรงกัน แสดงว่าถูกฆาตกรรมในสถานที่อีกแห่งแล้วค่อยเคลื่อนย้ายศพ เช่นนั้นแล้วเขาเสียชีวิตที่ไหน คำถามนี้ทำให้ฆาตกรนึกถึงที่ๆ ตนเองฆ่าซิงหลางว่าอาจหลงเลหือร่องรอยอะไรอยู่ จึงคิดหลบหน้าพวกเรา เข้ามาทำลายหลักฐาน!”
“ผมประเมินพวกคุณต่ำไปจริงๆ” คนผู้นั้นถอนหายใจยาว “พวกคุณพูดถูก เป็นเพราะเรื่องการเปิดตลาดที่ญี่ปุ่น ทำให้โรคหัวใจของอาจารย์ซิงกำเริบ พวกมันนั่นแหละเป็นฆาตกร!”
“เดี๋ยวๆ...” ลู่กั้วฟังจนงงงวย “แล้วตกลงเขาฆ่าหวังซิ่งยังไง”
“เอางี้ ฉันให้ข้อสังเกตกับนาย 3 ข้อ” หลิงหลงยิ้ม
“ข้อ1 นายไม่มีนาฬิกา ฉะนั้นจึงอาศัยนายเป็นพยานในเรื่องเวลาที่เกิดเหตุ
ข้อ2 อาจารย์ซิงชอบศึกษาค้นคว้าเรื่องดินฟ้าอากาศ คนข้างกายของเขาก็พลอยเคยชินและพอเข้าใจอยู่บ้าง
ข้อ3 ศีรษะของผู้เคราะห์ร้ายถูกตัดโดยเข็มสั้นและเข็มยาวที่ถูกเหลาจนแหลมเฟี้ยว!”
“คิดไม่ถึงว่าพวกคุณจะรู้ละเอียดขนาดนี้” คนผู้นั้นถอนใจ
“เสียดายที่ตอนนั้นเกือบจะจับคุณได้อยู่แล้ว แต่ถูกลู...ซิงหัวก่อกวนเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคนอีกคนก็ไม่ต้องมาตาย” จิ้งฉีพูดจริงจัง
“ตอนนี้คุณพร้อมจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้กระจ่างได้รึยังคุณพ่อบ้าน!”
“คุณพูดถูกทุกอย่าง ผมเป็นคนหลอกล่อซิงหลางให้ไปที่ห้องของนายท่าน จากนั้นก็ฆ่ามัน เอาเลือดของมันไปใส่ตู้เย็น เพื่อใช้อำพรางเวลา สร้างความสับสน ไม่คิดว่าพวกคุณจะหาที่เกิดเหตุเจอจนได้ ผมประมาทเกินไปที่ลืมเช็ดรอยนิ้วมือบนก๊อกน้ำ”
“สุดท้ายแล้ว ธรรมะต้องชนะอธรรมวันยังค่ำ...คุณเป็นคนที่มีความจงรักภักดีอย่างยิ่งและก็เป็นคนฉลาดมากอีกด้วย แผนการฆ่าหวังซิ่งของคุณไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย แต่ความผิดพลาดอันใหญ่หลวงก็คือคุณสะกดอารมณ์ตัวเองไม่อยู่นั่นแหละ” หลิงหลงกล่าว
“อะไรนะ” พ่อบ้านตะลึงงัน
“ความจริงพวกเราไม่ได้พบรอยนิ้วมือเลือดของคุณหรอก มันเป็นแค่สิ่งที่ผมเพิ่มเติมขึ้นเองที่หลัง” จิ้งฉีพูด “พวกเราคิดคำถามขึ้นมาถามพวกคุณ ก็เพื่อบอกเป็นนัยให้กับฆาตกรว่า มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ในห้องอาบน้ำ แต่ถ้าคุณไม่โผล่มา พวกเราก็ไม่มีทางจับคุณได้แบบนี้”
พ่อบ้านยืนนิ่งไม่ไหวติง แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะดังลั่น
“ฮ่าๆๆ คิดไม่ถึงว่าคนที่ทำให้เราล้มได้ก็คือตัวเราเอง! ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”



..............................................




“คุณลุง!” ซิงเยี่ยวิ่งตามพ่อบ้านที่กำลังถูกส่งตัวขึ้นรถตำรวจ
“คุณหนู” แม้ถูกใส่กุญแจมือแต่พ่อบ้านก็ยังโค้งให้ซิงเยี่ยด้วยความภักดี “ขอโทษครับคุณหนู ต่อไปลุงคงดูแลคุณหนูไม่ได้แล้ว ลุงทำให้นายท่านต้องผิดหวัง”
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ” ซิงเยี่ยน้ำตายองหน้า “ทำไมลุงถึงทำอย่างนี้ คุณลุงจะลาออกไปเฉยๆ ก็ได้ แต่กลับมาทำเรื่องแบบนี้เพื่อคุณพ่อ”
“คุณหนู พระคุณที่คุณท่านชุบเลี้ยงผมมา แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟลุงก็ยอม ขอแค่ได้ตอบแทนพระคุณของคุณท่าน นี่เป้นเรื่องสุดท้ายที่ลุงทำเพื่อคุณท่าน แต่เสียดาย ...” พ่อบ้านถอนใจยาว
“ลุงพ่อบ้านครับ ผมรู้ว่าลุงเสียใจที่ยังไม่ได้จัดการกับอีกคนที่เหลือ แต่ลุงไม่มีสิทธิ์มาตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นอีกนะครับ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง”
หลิงหลงพูดขึ้นเมื่อได้ยินคำพ่อบ้าน
“คนที่ลุงอยากแก้แค้น ก็หนีไม่พ้นต้องชดใช้ในสิ่งที่เธอก่อไว้”
“ใช่! เสียทีที่ติดตามคุณท่านมาหลายปี อ่านหนังสือก็มากมาย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่เข้าใจ โง่เง่าจริงๆ!” พ่อบ้านถอนหายใจอีกครั้ง
“คุณหนูถนอมสุขภาพด้วย แล้วลืมคนเลวๆ อย่างลุงซะเถิดขอรับ!” พูดจบก็ก้าวขึ้นรถไป
“คุณลุง...” ซิงเยี่ยน้ำตานองหน้า
“วางใจเถอะ ฉันจะขอร้องลุงฟงขอใฟ้ท่านผู้พิพากษาลดหย่อนโทษให้” หลิงหลงปลอบ
“อือ...ขอบคุณค่ะ” ซิงเยี่ยเช็ดน้ำตา
“ล้อลเนน่า!” เสียงตะโกนของลู่กั้วดังเข้ามา “อย่าบอกนะว่าเงินสามพันล้านนั่นก็กุขึ้นมา”
“โง่จริงๆ ยังไม่เข้าใจอีกรึไง ปริศนามังกรเป็นแค่แผนที่ลุงพ่อบ้านวางเอาไว้ เพื่อแก้แค้นแทนอาจายร์ซิง แล้วจะมีสามพันล้านมาให้พวกนายได้ยังไง อย่าว่าแต่สามพันล้านเลย แม้แต่คฤหาสน์หลังนี้ก็เปลี่ยนเจ้าของแล้ว”
หลิงหลงไปพบสัญญาการโอนกรรมสิทธิ์บ้านตระกูลซิงให้คนอื่นเข้า เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านี่เป็นหนึ่งในแผนที่พ่อบ้านวางเอาไว้
“ใช่...” ซิงเยี่ยก้มหน้าลง “แม้แต่ฉัน ลุงพ่อบ้านก็ไม่ยอมบอก เขาคงจะวางแผนแก้แค้นแทนพ่อไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
“ฉันไม่สนใจ!” ลู่กั้วร้องตะโกนด้วยความโกรธ
“นายร้องทำซากอะไร ถึงจะมีสามพันล้านก็จริงเหอะ คนอย่างนายไขปริศนามังกรได้รึไง” จิ้งฉีเอือมระอา
“ทำไมจะไม่ได้ นัดไว้ห้าวัน นี่ยังเหลืออีกตั้งสองวัน ฉันต้องเปิดได้แน่” ลู่กั้วยังไม่ยอม
“น่าขัน อย่าว่าแต่ห้าวันเลย ต่อให้ห้าสิบปี นายก็ไม่มีปัญญาไขมันออกได้” จิ้งฉีพูด ขณะเดียวกันก็แย่งมังกรไม้จากมือลู่กั้ว
“หึ ปริศนามังกร หลอกลวงกันทั้งเพ!” ว่าแล้วก็ขว้างมันลงไปบนพื้น


ผัวะ....!
มังกรไม้แตกออกเสียงดัง
ผู้คนในบริเวณนั้นต่างพากันตกใจ หลังพบว่า แม้จริงแล้วใจกลางของมังกรแน่นตัน ไม่มีกล่องใดๆ ซ่อนอยู่ มิน่าเล่าพวกเขาถึงไม่สามารถไขปริศนาได้สักที
“เฮอะ! ฉันว่าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ตาแก่นั่นจะมีเงินสามพันล้าน” ไอโกะแค่นหัวเราะ
“คุณไอโกะ นอกจากหวังซิ่งกับซิงหลางแลว อีกคนที่ว่าก็คือคุณ!”
หลิงหลงกล่าวเสียงเย็นชา
“แล้ว...แล้วไง” ไอโกะเริ่มวิตก “ฉันจะกลับล่ะ ไม่อยากอยู่เห็นหน้าพวกเธอแล้ว!” พูดจบเธอก็จัดแจงขึ้นรถมัสแตงค์ ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“แย่จริงผู้หญิงคนนี้!” เหอหุ้ยเคือง ก่อนจะหันไปถามซิงเยี่ย “แล้วคุณหนูคิดจะทำยังไงต่อล่ะคะ”
เพราะสามคนนั้นฉ้อฉลหลอกลวง ทรัพย์สมบัติที่อาจารย์ซิงสะสมมาครึ่งชีวิตจึงสูญสิ้นไปหมดแล้ว แม้แต่คฤหาสน์หลังนี้ก็ถูกขายทอดตลาด
“ฉันคงต้องหางานทำน่ะคะ โตขนาดนี้แล้ว ถึงพ่อยังอยู่ก็ไม่ควรพึ่งพาท่านอยู่ดี”
“คุณหนูซิงเยี่ย หากไม่รังเกียจ ไปทำงานที่บริษัทผมได้นะครับ แม้เป็นบริษัทจัดจำหน่ายเกมเล็กๆ แต่ก็อยากจะให้คุณหนูมาร่วมงานด้วย” คริสเสนอ
“ขอโทษค่ะ ฉัน...”
ซิงเยี่ยยังไม่ทันปฎิเสธ หลิงหลงก็พูดตัดหน้าขึ้นมาก่อน “ดีเลยครับ! คุณหนูซิงเยี่ยบอกบ่อยๆ ว่าอยากไปออสเตรเลีย คราวนี้ไม่ใช่แค่ไปเที่ยวนะแต่ยังได้ไปทำงานด้วย ใครจะไม่อยากทำล่ะ แฮ่ม ทำไมผมไม่โชคดีอย่างคุณหนูซิงบ้างน้า...”
“คุณหลิงหลง...” ซิงเยี่ยมองหลิงหลงอย่างประหลาดใจ เหมือนไม่เชื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากเขา
“คุณหนูซิงเยี่ย...” หลิงหลงรู้ว่าซิงเยี่ยคิดอะไรอยู่
“ผมมาที่นี่ก็เพราะเห็นข่าวการถึงแก่กรรมของคุณพ่อคุณและได้เห็นรูปถ่ายของคุณบนหน้าหนังสือพิมพ์ คุณคล้ายกับเพื่อนคนหนึ่งของผมมาก ผมถึงได้เจาะจงมาที่นี่เพื่อมาดูให้แน่ใจว่าใช่เธอหรือเปล่า แต่น่าเสียดาย...”
นัยน์ตาหลิงหลงฉายแววของความปวดร้าว “แม้คุณจะไม่ใช่เธอแต่ผมก็หวังว่าคุณจะพบกับความสุข”
“อา...รุ่นพี่ที่แท้ก็...” ลู่กั้วกำลังคิดจะพูดอะไร แต่ถูกจิ้งฉีปิดปากไว้เสียก่อน
“คุณหนูซิงเยี่ย คุณยังไม่รีบตอบผมก็ได้ ลองคิดดูสักพักหนึ่งก่อน ยังไงบริษัทเราก็พร้อมต้อนรับคุณเสมอ”
จิ้งฉีมองหลิงหลง
“ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ”
“อืม ยินดีที่ได้รู้จักพวกคุณ...แล้วค่อยพบกัยใหม่นะครับ...” หลิงหลงบอกลาทุกคน
ซิงเยี่ยมองดูท่าทีของหลิงหลงแล้วก็รู้สึกเหมือนกำลังร้องไห้




..............................





ในรถเก๋งคันเล็กของหลิงหลง ระหว่างทางกลับเมือง TMX
“โอ้... ที่แท้รุ่นพี่ก็เคยถูกหญิงทิ้งนี่เอง...”ลู่กั้วกุมหัวอยู่ที่เบาะหลัง แสดงท่าทางเสียใจอย่างสุดซึ้ง “อ๋อ...รู้แล้ว สงสัยเพราะไปกิ๊กกับหญิงอื่น แฟนมาเห็นเลยโกรธแล้วหนีไป มาตอนนี้รุ่นพี่เลยนึกเสียใจ เพิ่งจะพบว่าเธอคือรักแท้ จึงออกตามหาไปทั่วทุกหนทุกแห่ง...”
“ดูท่านายคงจำมาจากละครน้ำเน่าใช่มั้ย” จิ้งฉีจ้องใบหน้าที่ภาคภูมิใจของลู่กั้วอย่างระอา
“ถูกต้องนะครับ นายนี่เก่งเหมือนกันนะเนี่ย”
หลิงหลงฝืนยิ้ม แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในใจซึ่งเขาเองก็ไม่อยากเอ่ยถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของมัน
“แต่ว่าฉันก็ยังไม่เข้าใจอยุ่ดี ลุงพ่อบ้านฆ่าหวังซิ่งกับซิงหลางยังไง” ลู่กั้วเก็บความสงสัยมานาน
“ฉันก็ให้ข้อสังเกตกับนายไปแล้วนี่ ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ งั้นจะพูดให้ฟังอีกครั้ง ข้อ1 นายไม่มีนาฬิกา ฉะนั้นจึงต้องอาศัยนายเป็นพยานในการมองเห็น ข้อ2 อาจารย์ซิงชอบศึกษาค้นคว้าเรื่องดินฟ้าอากาศและข้อ3 ศีรษะทั้งสองถูกตัดโดยเข็มสั้นและเข็มยาวที่ถูกเหลาจนแหลมเฟี้ยว! จบข่าว...”
นี่แหละจุดเด่นของหลิงหลง ไม่ว่าเวลาใด อารมณ์ไหน เขาก็ยังพูดเล่นได้เสมอ


“กรณีซิงหลางก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ จุดสำคัญที่สุดของคดีทั้งหมดก็คือการเคลื่อนย้ายศพ แค่ไม่ถูกคนอื่นเห็นเข้าก็นับว่าสำเร็จแล้ว” จิ้งฉีเสริม “สำหรับเลือดที่ไหลนองอยู่ในห้องของเขาก็ไม่ยากอะไร พอฆ่าเสร็จก็เอาเลือดไว้ในตู้เย็น พอย้ายศพมาไว้ที่ห้องนั้นแล้วก็นำเลือดที่แช่เย็นไว้มาสาด เพื่ออำพรางว่าห้องของซิงหลางเป็นสถานที่เกิดเหตุ จะได้ทำให้เราคาดการณ์เรื่องเวลาเสียชีวิตไม่ถูก”
“นี่พวกนายพูดให้มันเข้าใจง่ายๆ หน่อยได้มั้ย” ลู่กั้วคิดตามจนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมดแล้ว
หลิงหลงซึ่งกำลังขับรถหันมาหัวเราะ “เรื่องบางอย่างพูดง่ายๆ ก็ไม่สนุกน่ะสิ”
“เฮ้อ...ก็คดีมันคลี่คลายไปแล้ว ฉันก็เลยขี้เกียจคิด” ลู่กั้วยิ้มเย้ย
“เจ้างั่ง” จิ้งฉีก่นด่าเสียงต่ำ
แต่ทว่า ขณะที่เขาหันกลับมาและมองลงไปยังหน้าผาชันริมถนนก็เห็นรถมัสแตงค์คันหนึ่งกำลังลุกไหม้อยู่เบื้องล่าง ถ้าจำไม่ผิดนั่นมันรถของไอโกะนี่นา!


นั่นมัน
จิ้งฉีเกาะกระจก
ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นการพลิกตกลงไป เมื่อครู่รุ่นพี่เพิ่งบอกว่าเธอหนีไม่พ้นต้องชดใช้ในสิ่งที่ก่อ หรือว่า...รุ่นพี่มองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้?
“เป็นไรไป” หลิงหลงสังเกตเห็นจิ้งฉีมีท่าทางแปลกๆ
“ปะ...เปล่า...” เด็กหนุ่มตอบ
ช่างเถอะคงเป็นอย่างที่รุ่นพี่พูด กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง นี่คงเป็นสิ่งที่เธอต้องชดใช้!


“ย้อนกลับมาเรื่องเดิมดีกว่า รุ่นพี่ปฎิเสธคุณซิงเยี่ยไปแบบนั้นมันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ” ลู่กั้วไม่เพียงพูดไม่คิด ยังอดไม่ได้ที่จะถาม “ก็ตอนแรกรุ่นพี่เป็นคนจีบเธอก่อนไม่ใช่เหรอ”
แรกเริ่มเขาก็คิดว่าหลิงหลงชองซิงเยี่ย ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้
“ฮ่าๆๆ” หลิงหลงหัวเราะ “ผู้หญิงแค่ผ่านมาแล้วผ่านไป ความพอเพียงสิทำให้เราสงบสุขอย่างแท้จริง นี่ล่ะแนวทางการใช้ชีวิตของฉัน”
“ความพอเพียงทำให้เราสงบสุข? ดีล่ะ! ผมไม่ชอบสงบสุข ส่งเงินทั้งหมดมาให้ผมเดี๋ยวนี้!” ลู่กั้วไม่พูดเปล่าเริ่มทึ้งเสื้อหลิงหลงไปมา
“หวา” พอถูกลู่กั้วยื้อ มือของหลิงหลงก็เขยื้อน ไม่นิ่งพอ พวงมาลัยหมุนออกนอกทิศทาง
“ไอ้หมาบ้า แกทำอะไร! คนกำลังขับรถอยู่นะเฟ้ย!”
“ให้ตายเหอะลู่กั้ว ถ้านายอยากตายนักก็กระโดดลงไปเองสิ ไม่ต้องมาลากพวกเราไปด้วย” จิ้งฉีบ่นการกระทำที่ไร้ความคิดของลู่กั้ว
“ฉันยังไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเลย ไม่ได้การ ครั้งนี้ถูกต้มซะเปื่อย ต้องหาโอกาสเอาคืนซะแล้ว”
พอคิดถึงเงินสามพันล้านที่ถูกหลอก อารมณ์ขุ่นเคืองก็ตามมาไม่หยุด
“นายนี่ปัญญาอ่อนรึเปล่า คนเราตายไปก็ไม่ได้ใช้เงิน แล้วจะมีประโยชน์อะไรอีก ไอ้คนขี้งกเอ๊ย เห็นแก่เงินมากกว่าชีวิตหรือไงเนี่ย!”
จิ้งฉีด่าว่า
“ฉันไม่สน แกยืมตังค์ฉันไปคราวก่อน ตอนนี้บวกดอกเบี้ยเข้าไปแล้ว ก็แค่แสนแปดเอง”
อะไรที่เกี่ยวกับเงิน ลู่กั้วล้วนจำแม่น
“แสนแปด แกบ้าหรือเปล่า นั่นมันปล้นกันแล้ว!” จิ้งฉีรู้สึกหน้าชาเสียจนอยากถีบลู่กั้วลงข้างทางซะเดี๋ยวนั้น
“ไม่สนเฟ้ย! เอามาให้ฉันสักหน่อยเป็นการปลอบขวัญก็ยังดี”
ลู่กั้วร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง
ลูซิเฟอร์ยืนอยู่บนหน้าผา มองดูรถคันเล็กที่แล่นเลี้ยวไปมาเหมือนไส้เดือนบนผืนทราย แค่นเสียงเย็นชาอยู่ในลำคอ
“หึ...ถ้าไม่เพราะพลังของข้ายังไม่กลับคืน...” เขามองดูบาดแผลที่กลางฝ่ามือ “คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้ยังหลงเหลือคนที่พลังสูงส่งขนาดนี้อยู่อีก”
“ยังไงก็ตามแต่ ตอนนี้ข้ามาแล้ว เจ้าหนีชะตากรรมไม่พ้นหรอก ไม่ต้องรีบร้อน รอให้หา ‘กุญแจ’ พบก่อนเถอะ เมื่อนั้นแหละ...ฮ่าๆ” เขาแสยะยิ้มก่อนจะหายตัวไปในอากาศ


ทั่วทั้งห้องแดงฉานไปด้วยเลือด
ร่างของเจ้าของห้องนอนนิ่งอยู่บนพื้น
ศีรษะกับตัวถูกฟันขาดกระเด็น
ออกจากกัน

คู่ปริศนา บทที่12 เกมแห่งความตาย

บทที่ 12
เกมแห่งความตาย


สายฝนที่เทกระหน่ำอยู่ภายนอก มิได้ทำให้ความร้อนใจของผู้คนในคฤหาสน์ตระกูลซิงเย็นขึ้นเลยซักนิด ความตึงเครียดแผ่กระจายอยู่ในห้องโถงใหญ่อันเป็นสถานที่รวมตัวของทุกคนในเช้านี้
ซิงหลางนั่งอัดบุหรี่อยู่ด้านหนึ่ง ทานากะ ไอโกะเดินกระสับกระส่ายไปมา ส่วนคริสกับเหอหุ้ยก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา ท่าทางเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง ใกล้ๆ กันนั้นพ่อบ้านกำลังกดโทรศัพท์ไม่หยุดโดยมีซิงเยี่ยนั่งลุ้นอยู่ข้างๆ มีเพียงซิงหัวเท่านั้นที่ดูจะไม่ร้อนใจเหมือนคนอื่นๆ เด็กน้อยเพียงแต่นั่งอยู่ข้างปล่อยไฟคอยสังเกตกิริยาอาการของทุกคนในห้องยู่เงียบๆ
เด็กหนุ่มสองคนเพิ่งจะเดินมาถึง ยังไม่ทันได้นั่ง จิ้งฉีก็ถามขึ้น
“เป็นไงบ้าง?”
“ยังไม่กลับกันมาเลย” พ่อบ้านตอบ
“เกิดอะไรขึ้น เอ๊ะ! แล้วหลิงหลงกับหวังซิ่งล่ะ” ลู่กั้วขยี้ผมสีเงินของตัวเองไปมา ท่าทางยังไม่ค่อยตื่นดี
“เมื่อกี้ตอนฟ้าผ่า อิฉันว่าจะไปเก็บผ้าห่มที่ตากไว้ตรงลานหน้าตึก แต่พอเดินผ่านหอนาฬิกาก็...ก็..” คุณป้ารูปร่างอ้วนท้วน แม่บ้านที่รับใช้ตระกูลซิงมากว่าสิบปีตัวสั่น
“แล้วไงต่อล่ะ” ลู่กั้วสนใจ กระตือรือร้นสดชื่นขึ้นมาทันที
“อิฉัน...อิฉันเห็นคนยืนอยู่บนหอนาฬิกา คิดว่าคงเป็นใครละเมอปีนขึ้นไป เลยรีบไปตามพ่อบ้าน แต่ว่า...พอขึ้นไปถึง ก็เห็นหวังซิ่งนอนตายอยู่บนนั้น” ป้าอ้วนยังหวาดผวาไม่หาย



“หา?!”
ลู่กั้วตกตะลึง สิ่งที่ตนเห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝันเสียแล้ว
“ป้าพอจะจำได้ไหมว่าตอนนั้นกี่โมง” จิ้งฉีถาม
“ประมาณตีสามครึ่งเจ้าค่ะ ช่วงนี้พ่อบ้านกำชับว่าให้หมั่นดูนาฬิกา อิฉันเลยจำได้แม่นว่าประมาณตีสามครึ่งไม่ผิดแน่” ป้าอ้วนยืนยันหนักแน่น
“ใช่ๆ!” ลู่กั้วรีบเสริม “ฉันก็เห็นเหมือนกัน ตีสามครึ่งจริงๆ ตอนนั้นยังนึกว่าตัวเองตาฝาดไปซะอีก”
“ตาฝาด? นี่นายไม่รู้สึกตื่นตระหนกตกใจเลยซักนิดรึไง” จิ้งฉีฉุน “ถ้าหากนายรู้ตัวเร็วกว่านี้สักหน่อยละก็...”
“อะไรกัน ทำไมต้องมาลงที่ฉันด้วย ป้าอ้วนก็เห็นนะเว้ย ใครจะไปรู้ว่าเป็นศพหวังซิ่งล่ะ!”
ลู่กั้วโมโห
เขาไม่ใช่พระเจ้าซักหน่อย จะไปหยั่งรู้ได้ยังไงว่ามีคนตายอยู่บนหอนาฬิกา
“นี่นาย!” จิ้งฉีขบฟันแน่นอยากจะต่อว่าอีกหลายประโยค แต่ติดที่มีผู้อื่นอยู่ด้วย
“แล้วรุ่นพี่หลิงหลงล่ะ” ลู่กั้วโกรธจนไม่อยากจะพูดกับจิ้งฉี จึงหันไปถามคนอื่นแทน
“ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วค่ะ ตอนนี้ขอให้ทุกคนอยู่ในนี้ก่อนอย่าพึ่งออกไปไหน” ซิงเยี่ยบอก
“แต่ฉันจะไป” ลู่กั้วไม่ฟัง บึ่งออกไปทันทีโดยไม่ได้หยิบร่มไปด้วย
“เจ้างั่ง!” จิ้งฉีจนปัญญาจะทัดทาน



หนอย ไอ้เวรตะไลไป๋จิ้งฉี ฉันไม่ได้มีตาทิพย์นะเว้ย จะได้รู้ว่าที่ยืนอยู่นั่นมันเป็นคนตาย!
ลู่กั้วก่นด่าอยู่ในใจ วิ่งฝ่าสายฝนตัวเปียกโชก
ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องซักอย่าง แถมยังคอยบสั่งโน่นนี่ อยู่กลุ่มเดียวกับเจ้าบ้านี่ต้องโชคร้ายไปสิบแปดชาติแน่ๆ!


วิ่งเข้าไปในประตูเล็กด้านขวาของหอนาฬิกา ภายในมีบันไดวนขดสูงขึ้นไป ลู่กั้วแหงนหน้าขึ้นมอง เห็นมีแสงตะเกียงสลัวๆ อยู่บนนั้น จึงตะโกนเรียก “รุ่นพี่หลิงหลง...อยู่บนนั้นใช่มั้ยครับ”
เงียบวังเวง ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ในใจลู่กั้วฉุกคิดขึ้น หรือว่า...
ขณะจะก้าวเท้าลงบนขั้นบันได พลันก็รู้สึกมีลมสงบไร้ทิศทางพัดวาบเข้าที่ด้านหลัง ขนลุกซู่ไปทั้งตัว เส้นประสาทเข็มงเกลียวขึ้นทันที กำลังจะหันไปดูให้แน่ใจ ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็วางลงบนบ่าของเขา



“เหวอ!”
ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ เสียงของลู่กั้วก็แผดลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วหอนาฬิกา แล้วเงาร่างหนึ่งก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า
“เฮ้ย นี่ฉันเอง! นายร้องหาพระแสงอะไร” เสียงแปดหลอดของลู่กั้วทำเอาหลิงหลงตกใจไปด้วย
“อยู่ๆ ก็โผล่มาแบบไม่ให้ซุ้มให้เสียง ใครจะไม่ตกใจบ้างเล่ารุ่นพี่!” ลู่กั้วเอามือกุมตรงหัวใจที่ยังเต้นแรงของตนเอง
“ฮ่ะๆ อยากจะรู้นัก ถ้าเป็นปีศาจจริง นายจะรับมือทันรึเปล่า แค่นี้ก็ตกใจซะ” หลิงหลงสงสัย
“ได้อยู่แล้ว เมื่อกี้ผมแค่ตื่นเต้นไปหน่อยเท่านั้นเอง” ลู่กั้วตอบสวนมาอย่างเร็ว “แล้วรุ่นพี่ไปไหนมาล่ะเนี่ย”
“ไปที่ห้องหลังซิ่ง อยากไปหาหลักฐานเพิ่มเติม” หลิงหลงพูดพลางเดินขึ้นบันไดไปข้างบน
“หวังซิ่งตายแล้วจริงๆ เหรอ แล้วตายยังไงล่ะ โดนวิญญาณแค้นฆ่าเอารึเปล่า” ลู่กั้วเดินตาม
“ในขั้นต้นสันนิษฐานว่าเป็นการฆาตกรรม” หลิงหลงหันมามองผู้ตามด้วยสายตาแฝงความนัย
“ฆาตกรรม?”
“อืม ใช่ หลังจากที่ตัดหัวของหวังซิ่งออก แล้วก็มัดศพให้เหมือนกับยืนติดอยู่บนหอนาฬิกา”
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”
“ไม่รู้สิ!”



ที่ห้องใต้หลังคาของหอนาฬิกา ศีรษะของหวังซิ่งวางนิ่งอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ตอนหลิงหลงขึ้นมาครั้งแรกก็เห็นมันวางอยู่แบบนั้นแล้ว ส่วนตัวศพเอียงกระเท่เร่อยู่บนพื้น แต่ตอนนี้ถูกปิดคลุมไว้ด้วยผ้าขาว
“หยื้ย...” ลู่กั้วเปิดผ้าขาวผืนนั้นดูแวบหนึ่งแล้วก็ต้องรีบปิดลงทันที สภาพศพของหวังซิ่งช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
“หลิงหลงๆ...” ทันใดนั้นเสียงของซิงเยี่ยก็ดังมาจากข้างล่าง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่กล้าขึ้นมา
“มีอะไรงั้นรึ”
“เกิดเรื่องแล้ว รีบกลับไปที่ห้องโถงใหญ่เร็วเข้า” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความร้อนรน
หลิงหลงกับลู่กั้วสบตากับวูบหนึ่ง แล้วจึงรีบเร่งตามซิงเยี่ยออกจากหอนาฬิกาไปทันที

บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ดูเคร่งเครียดกว่าปกติ เสียงตะคอกของซิงหลางดังไปถึงข้างนอก
“ใคร! ใครตัดสายโทรศัพท?! บอกมานะ!”
“สายโทรศัพท์ขาดงั้นเหรอ” หลิงหลงตระหนก ที่นี่ไม่มีสัญญาณมือถือซะด้วย ถ้าอย่างนี้แปลว่าพวกเขาไม่เหลือเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ได้เลยซักชิ้นเดียว ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
“ถ้าใช้เส้นทางเดิม ก็น่าจะออกไปจากที่นี่ได้ไม่ยาก” จิ้งฉีเสนอ สีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ฝนตกหนักแบบนี้ หินถล่มดินทลาย อันตรายมากนะขอรับ!” พ่อบ้านแนะ
“นายไปตรวจสอบมาแล้วใช่ไหม ตกลงหวังซิ่งตายยังไง แล้วใครเป็นคนฆ่า!?” ไอโกะออกอาการหุนหัน
“ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นคือเขาถูกฆาตกรรม ส่วนใครจะเป็นฆาตกรต้องพิสูจน์กันอีกที” หลิงหลงกวาดตามองทุกคน
“ฆาตกรรม?...” เหอหุ้ยตะลึง เซถอยหลังไปหลายก้าว
“เป็นไปได้ว่าฆาตกรอาจจะอยู่ในกลุ่มพวกเรานี่แหละ ฉะนั้นขอให้ทุกคนระมัดระวังตัว ทางที่ดีอย่าพยายามไปไหนมาไหนคนเดียว”
“พูดบ้าอะไรน่ะ!” ซิงหลางตวาด “รู้ๆ อยู่ว่าฆาตกรอยู่ในหมู่พวกเรา ฝนหยุดตกเมื่อไหร่ฉันจะไปจากคฤหาสน์ปีศาจนี่! เปิดกล่องมังกรได้แล้ว ค่อยกลับมาบอกพวกนายทีหลังก็ไม่เห็นเป็นไร”
“ไม่ได้ครับ” พ่อบ้านส่ายหัว “นายท่านเคยสั่งไว้ก่อนตายว่าปริศนามังกรต้องถูกเปิดเผยในคฤหาสน์หลังนี้เท่านั้น ถ้าจากไปก็ถือว่าสละสิทธิ์”
“เกิดเรื่องแบบนี้แล้ว พวกคุณยังอยากจะอยู่ต่อกันอีกเหรอ?!” จิ้งฉีไม่เข้าใจ
“ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสามพันล้านนั่น ผมคงจะออกจากที่นี่ไปนานแล้ว” คริสผงกหัวยอมรับ
“แต่ฉันไม่กลัว” ลู่กั้วโพกศีรษะไปพูดไป “สามพันล้านนั่นต้องเป็นของฉัน!” ท่าทางมั่นใจ
“ถ้างั้น ฉันก็ไม่ควรประมาทปีศาจน้อยอย่างพวกนาย” ซิงหลางสวนทันควัน
มีเพียงไอโกะเท่านั้นที่ไม่ยอมพูดอะไร สีหน้าของเธอเรียบเฉนคล้ายลังเลใจ
“เฮ้อ...ถ้าไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไร ก็ไม่ต้องกลัวภูตผีมาเคาะประตูตอนกลางดึก” ซิงหัวพูดขึ้นเสียงเย็นๆ
“ใช่ๆ อาจารย์ซิงต้องคุ้มครองพวกเราแน่นอน” แม้เหอหุ้ยไม่รู้ความหมายในคำพูดของซิงหัว แต่ก็เห็นด้วยอย่างชื่นชม
“ป้าอ้วน ป้าลองนึกทบทวนเหตุการณ์นั้นอีกครั้งได้มั้ยครับ” จิ้งฉีถามแม่บ้านที่สติยังไม่กลับคืนมา
“เจ้าค่ะ คือ...อิฉันได้ยินเสียงฟ้าร้องก็รู้ว่าฝนต้องตกแน่ๆ เลยรีบไปเก็บผ้าห่มหน้าตึก พอเดินผ่านหอนาฬิกาก็เห็นประตูเล็กด้านข้างเปิดอยู่ ก็เลยมองขึ้นไป ตอนนั้นท้องฟ้ามืดมาก แต่ก็พอจะเห็นเงาตะคุ่มๆ ของใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างบน ยังนึกว่า...เป็น...” ป้าอ้วนเหลือบมองไปที่พ่อบ้านกับซิงเยี่ย แล้วก็ตัดสินใจไม่พูดคำสุดท้ายออกมา “อิฉันไปตามพ่อบ้านให้ขึ้นไปดูข้างบนด้วยกัน แล้วก็เห็น...หัวของคุณหวังวางอยู่บนโต๊ะ”
“เวลาตอนนั้นคือตีสามครึ่ง?” หลิงหลงถามต่อ
“ตอนนั้นพ่อบ้าเตือนให้อิฉันดูเวลาไว้ให้ดี จำได้ว่าเป็นตีสามสี่สิบหก แต่ว่าตั้งแต่ตื่นไปเก็บผ้าจนเห็นเหตุการณ์แล้ววิ่งไปบอกพ่อบ้าน ก็เสียเวลาไปประมาณตีสามครึ่งกว่านิดๆ” ป้าอ้วนคิดคำนวณอย่างละเอียด
“ตีสามครึ่งนั่นแหละถูกแล้ว” ลู่กั้วย้ำอย่างมั่นใจ “ตอนนั้นฉันก็ดูนาฬิกา เห็นเงาคนแว็บผ่านไปตอนตีสามครึ่งแน่ๆ”
“ไม่นะคะ ราวตีสามครึ่ง อิฉันก็ดูนาฬิกาอยู่เหมือนกันไม่เห็นมีคนเดินผ่านไปเลย” ป้าอ้วนพูดขึ้น
“ป้าบอกว่า ราว ตีสามครึ่ง งั้นก็แสดงว่ายังไม่น่ใจ” ลู่กั้วโต้กลับ
“เอาอย่างนี้ พวกเราลองมาช่วยสอบปากคำดีกว่า ป้าอ้วนเธอก็ลองนึกทบทวนสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดในตอนนั้นอีกครั้ง แล้วพวกเราก็ช่วยกันดูว่าจริงๆ แล้วใช้เวลาไปเท่าไหร่กันแน่ อย่างนี้ก็จะสามารถนับย้อนไปเวลาที่แม่บ้านเห็นศพครั้งแรกได้” พ่อบ้านเสนอความเห็น
“อืม...ก็ดีค่ะ” ป้าอ้วนพยักหน้า



...........................



หลังจากสอบปากคำป้าอ้วนเรียบร้อยแล้ว หลิงหลงก็กลับเข้าห้องของตัวเอง ด้านจิ้งฉีและลู่กั้วหลังจากส่งคนอื่นๆ กลับห้องไปหมดแล้วก็เข้ามาหารุ่นพี่เหมือนเคย
“ใช้เวลาสิบเอ็ดนาที”
“หมายความว่า ครั้งแรกที่ป้าอ้วนเห็นศพก็คือ ตีสามสามสิบห้านาที!” ลู่กั้วร้องเสียงดัง “เห็นมั้ย...ฉันว่าแล้วตีสามครึ่งจริงๆ”
“เดี๋ยวๆ” จิ้งฉีคิดขึ้นมาได้ “ตอนที่นายเห็นนั่นน่ะ จริงๆ แล้วน่าจะเป็นตอนที่ฆาตกรกำลังเคลื่อนย้ายศพของหวังซิ่งมากกว่า!”
“แล้วไง” ลู่กั้วรู้สึกว่าตัวเองพลาดไปเต็มเปา แต่ปากก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี
“ยังมาแล้วไงอีก ไม่เสียดายโอกาสบ้างรึไง ถ้าตอนนั้นนายระแวงซักนิดก็จับฆาตกรได้แล้ว” จิ้งฉีโมโห
“แต่ตอนนั้นนายก็นอนหลับอุตุเหมือนกัน เพราะงั้นไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันแบบนี้” ลู่กั้วคำรามใส่จิ้งฉี
“กัดกันไปก็ไร้ประโยชน์ เรามาช่วยพิจารณาคดีนี้กันอีกครั้งดีกว่า” หลิงหลงเตือนสติ “ลู่กั้ว ไหนนายลองทบทวนเหตุการณ์ตอนนั้นอีกทีซิ”
“อืม...” พอพูดกับหลิงหลงน้ำเสียงของลู่กั้วก็อ่อนลงมาก “ตอนนั้นผมได้ยินเสียงฟ้าผ่า จึงรู้ตัวว่าดึกแล้ว แต่ผมไม่มีนาฬิกาก็เลยมองไปที่หอนาฬิกาข้างนอก ตอนนั้นเป็นเวลาตีสามครึ่งจริงๆ นะครับ รุ่นพี่...แล้วผมก็เหนื่อยด้วย ก็เลยไม่ได้ใส่ใจ นอนหลับไป จนไอ้หมอนั่นมาเรียกนั่นแหละ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เวลาในการตายของหวังซิ่งก็น่าจะเป็นประมาณตีสามครึ่ง แล้วฆาตกรก็คงจะต้องหนีออกมาในเวลานั้นเหมือนกัน” จิ้งฉีสรุป
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้ อะไรกันเนี่ย!” ลู่กั้วงง กระฟัดกระเฟียดขึ้นมา
“พวกนายไม่รู้สึกแปลกเลยรึไง” หลิงหลงตั้งข้อสังเกต “เวลาที่ลู่กั้วเห็นต่างกันเพียงห้านาที แต่จากบนหอนาฬิกาลงมาข้างล่างใช้เวลาแค่สองนาที แล้วเจ้าฆาตกรนั่นก็ยังเล็ดลอดออกไปได้ ไม่ถูกป้าอ้วนพบ พวกนายว่าเป็นไปได้รึเปล่าล่ะ”
“เขาคงบินหนีไปมั้ง” ลู่กั้วตอบ
“พวกนายจำได้ไหมว่าฝนเริ่มตกตอนไหน” จิ้งฉีไม่สนใจเพื่อนคู่หู
ลู่กั้วทำหน้าตายียวน “เกี่ยวอะไรกับฝนตก”
“ป้าอ้วนบอกว่าตอนไปตามพ่อบ้านฝนก็เริ่มตกแล้ว ถ้าฆาตกรหนีไปตอนที่ป้าอ้วนไปตามพ่อบ้านก็ต้องเปียกฝน จิ้งฉี ตอนที่นายไปเรียกพวกเขามารวมตัวกันเห็นใครตัวเปียก ผมเปียกบ้างมั้ย”
“ไม่มีครับ ผมจำได้ ตอนนั้นมีไอโกะคนเดียวที่ดูเหมือนจะยังไม่ได้นอน คนอื่นๆ ก็ถูกผมปลุกให้ตื่นกันทั้งนั้น ไม่มีใครตัวเปียกเลยซักคน” จิ้งฉีตอบ
“อ๋อ เข้าใจแล้ว” ลู่กั้วเหมือนพึ่งจะตามทัน “งั้นก็แสดงว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเลยซักคนใช่ไหม”
“ตอนนี้ยังต้องถือว่าไม่ใช่ พวกเขาเป็นเพียงผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์เท่านั้น” หลิงหลงตอบ
“แล้วจะทำไงดีล่ะ รุ่นพี่ ดูท่าแล้วหากยังไม่ได้มรดกของคุณซิง พวกเขาไม่มีทางออกไปจากที่นี่แน่ๆ” ลู่กั้วยักไหล่
“คนที่อยากจะได้เงินสามพันล้านจนตัวสั่นอย่างนาย ยังมีหน้าไปว่าคนอื่นอีก!” จิ้งฉีจ้องตาลู่กั้ว
“พอทีน่า ฉันยังมีเรื่องแย่ๆ อีกเรื่องที่ยังไม่บอกพวกนาย” หลิงหลงหยุดนิดหนึ่ง “ที่นี่ถูกตรึงเอาไว้แล้ว”
“อะไรนะ?” จิ้งฉีกับลู่กั้วตกใจตาโตขึ้นมาพร้อมกัน
“ตอนที่พบว่าลู่กั้วไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของฉันที่หอนาฬิกา ฉันก็รู้สึกแปลกใจ มันเป็นไปไม่ได้ว่าคนของหน่วยพิเศษจะแยกแยะสัมผัสระหว่างคนกับปีศาจไม่ออก และเมื่อกี้ฉันลองทดสอบดูแล้วใช้เวทมนตร์ไม่ได้เลย แสดงว่ามีการสร้างขอบเขตตรึงพลังเวทมนตร์เอาไว้ น่ากลัวว่าจะมีใครบางคนร้ายกาจมากอยู่ที่นี่ด้วย” หลิงหลงสูดหายใจเข้าเหมือนรวบรวมพลัง
“ต้องเป็นเจ้าซิงหัวแน่ๆ มันคือลูซิเฟอร์ นั่นแหละ!” ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ลู่กั้วก็รู้สึกว่าเจ้านั่นต้องเป็นลูซิเฟอร์ที่เคยเจอเมื่อก่อนนี้
“อือ...ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเป็นลูซิเฟอร์ก็ไม่น่าจะโตเร็วขนาดนี้” ยากนักที่ความเห็นของลู่กั้วกับจิ้งฉีจะตรงกัน
“ลูซิเฟอร์?” เป็นครั้งแรกที่หลิงหลงได้ยินชื่อนี้ “ชื่อเหมือนกับจอมมารของประเทศตะวันตกเลยแฮะ”
“อืม เขาน่าจะเป็นพวกฝ่ายมารน่ะ รุ่นพี่ แต่แปลกที่เขาจะเรียกตัวเองว่าเจ้าแห่งความกลัว” จิ้งฉีว่า


แปลกแฮะ...ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ในบรรดาคนของฝ่ายมารเลย!
หลิงหลงคิดในใจแต่ไม่พูดออกมา
“ฉันจะไปหาเจ้านั่นเอง! หากเป็นฝีมือมันจริง อย่าหวังเลยว่าจะหนีรอดไปได้” ลู่กั้วรู้สึกเสียดายที่ครั้งก่อนไม่ได้กำจัดลูซิเฟอร์ให้สิ้นซาก
“อย่าพึ่งวู่วาม ถ้าเขาเป็นคนบงการเรื่องทั้งหมดนี่จริง เขาก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งมากๆ เลยทีเดียว” เมื่อครู่หลิงหลงได้ลองสลายขอบเขตตรึงเวทมนตร์แล้วแต่ไม่เป็นผล แสดงว่าคนที่สร้างขอบเขตขึ้นมาจะต้องมีพลังไม่ด้อยไปกว่าเขา
“ใช้เวทมนตร์ไม่ได้แบบนี้ มันก็ไม่มีทางดิ้นหลุดหรอกน่า พวกเรามีตั้งสาม ชนะขาดแหงๆ” ลู่กั้วมั่นใจเต็มร้อย
“โง่อีกแล้ว! ไม่รู้รึไง คนที่ตรึงเขตเวทมนตร์ไว้ถ้านึกจะถอนออกเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้ว” จิ้งฉีทั้งกังวลทั้งโมโหต่อสมองของลู่กั้ว
“ถ้ามันถอนออก พวกเราก็ใช้เวทมนตร์ได้ ยังไงก็สามต่อหนึ่งอยู่ดี” ลู่กั้วเชื่อมั่นในเหตุผลนี้เป็นอย่างยิ่ง
“ฉันขี้เกียดจะพูดกับคนสมองนิ่มอย่างนายแล้ว”
“ฉันต่างหากที่ขี้เกียจพูดกับนาย การต่อสู้ครั้งก่อนเห็นเอาแต่ยืนหลบมุมตัวสั่นงกๆ ต้องพึ่งฉันถึงเอาชีวิตรอดมาได้ ไม่อยากไปก็บอกสิ ไอ้ขี้ขลาด”
“ลู่กั้ว พูดอย่างนี้แรงไปแล้ว!” หลิงหลงตักเตือน “จิ้งฉีพูดถูกระมัดระวังไว้หน่อยก็ดี ตอนนี้พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ฝ่ายตรงข้ามอยู่ที่มืด ก่อนที่อะไรๆ จะชัดเจน ไม่ควรบุ่มบ่ามทำอะไรที่ไม่ไตร่ตรองจนไปติดกับดักของคนร้ายเข้า”
“ชิ!” แม้ปากของลู่กั้วจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจยังคงแข็งขืนไม่ยอมรับ
กลางดึก ลู่กั้วนอนไม่หลับ ได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นตรงออกไปที่ห้องของซิงหัวอย่างเงียบเชียบ แต่ขณะเดินผ่านห้องซิงหลาง เขาก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน
“หวังซิ่งตายแล้ว นายว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นรึเปล่า” เป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง
“ไม่รู้...ฉันไม่อยากได้แล้ว ไอ้เงินสามพันล้านนั่น พอฝนหยุดตกฉันจะไปทันที” ซิงหลางเสียงสั่นเล็กน้อย
“ก็แล้วแต่นาย แต่ฉันคิดดีแล้ว ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!” เสียงผู้หญิงไม่พอใจ
“เฮอะ ฉันกำลังคิดว่าตาแก่นั่นจะมีสามพันล้านอยู่จริงเรอะ” คำพูดของซิงหลางบอกชัดว่าไม่คุ้มค่า
“ทำไมจะไม่มี...เฉพาะคฤหาสน์นี่ก็กว่าพันสองร้อยล้านแล้ว”
“กลัวว่าจะมีวาสนาได้มา แต่ไม่มีวาสนาได้ใช้มันนะสิ”
หญิงสาวเงียบเสียงลง


แย่แล้ว ถ้าหากซิงหลางออกไป ซิงหัวก็ต้องตามออกไปด้วยน่ะสิ เห็นท่าต้องชิงลงมือก่อนเสียแล้ว!
ลู่กั้วคลำทางไปในความมืด จนมาถึงหน้าห้องของซิงหัว ขณะกำลังคิดจะแอบมองลอดช่องประตูเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นประตูไม้บานใหญ่ก็เปิดออกลู่กั้วที่ไม่ทันได้ยึดเท้าให้มั่น ก็พุ่งล้มไปข้างหน้าอย่างไม่เป็นท่า
“ฮ่าๆ รู้อยู่แล้วว่าแกต้องมา!” น้ำเสียงซิงหัวเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“แกรู้ งั้นเหรอ!” ลู่กั้วค่อยๆ ยันกายขึ้น ท่ามกลางความมืด เขาจ้องเข้าไปในตาซิงหัว ตานั่นเป็นสีดำ ครั้งก่อนที่ปะทะกัน ตาของลูซิเฟอร์ก็เป็นสีดำก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง
“หวัดดี พวกเราเคยพบกันมาก่อนใช่มั้ยล่ะ”
“หึๆ สายตาแหลมคมดีนี่” ซิงหัวหัวเราะ
“อา! แกคือลูซิเฟอร์จริงๆ ด้วย” ลู่กั้วอึ้ง เซถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว “ทำไมแกถึงโตเร็วแบบนี้”
“การเจริญเติยโตของข้ากับมนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่เหมือนกัน” ลู่ซิเฟอร์ไม่คิดปิดบัง
“แกฆ่าหวังซิ่งใช่มั้ย!” ลู่กั้วตั้งท่าพร้อมรับมือกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
ลูซิเฟอร์แสยะยิ้ม “หึๆ เพื่อนอีกคนของแกไม่ได้บอกหรือว่าที่นี่ถูกข้าปิดผนึกเอาไว้แล้ว ตอนนี้เจ้าก็ไม่ต่างจากมดปลวกที่จะขยี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้”
“ชิ! คนอย่างฉันสะกดคำว่า “กลัว” ไม่เป็นหรอกเฟ้ย!”
“ฮ่าๆ วางใจได้เลย ครั้งนี้ข้าไม่ได้มาเอาชีวิตพวกแก มันยังไม่ถึงเวลาของพวกแกทั้งสามคนหรอก ยิ่งสำหรับคนธรรมดาพวกนั้นยิ่งไม่ควรจะให้ข้าลงมือด้วยซ้ำ ฮ่าๆ...”
“แกคิดจะทำอะไรกันแน่?!” ลู่กั้วรู้ดีว่าปีศาจอย่างลูซิเฟอร์คงไม่ได้มาเที่ยวเล่นแน่ๆ “แล้วที่บอกว่าเป็นลูกของซิงหลางล่ะ”
“ข้อก็แค่สร้างความทรงจำใหม่ให้พวกเขา ก้เท่านั้น วางใจเถอะ ข้าแค่อยากจะเข้ามาดูอะไรสนุกๆ เท่านั้น แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นห้ามพวกแกก่อความวุ่นวายเด็ดขาด!”




....................................




“อา...” ลู่กั้วสะดุ้งตื่นพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง มองไปรอบๆ จึงรู้ว่านี่เป็นห้องของตร
แปลกจริง เมื่อคืนเขาไปหาซิงหัวนี่หน่า แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ หันไปมองหอนาฬิกาที่อยู่ด้านนอก “เฮ้ย! เลยสิบโมงแล้วนี่!” เขาพลิกตัวลงจากเตียงอย่างรีบร้อน
เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ ลู่กั้วก็พบกับความวุ่นวายเข้าอีกแล้ว จิ้งฉีกับหลิงหลงที่มาถึงก่อนกำลังมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ลู่กั้วไม่รอให้จิ้งฉีเปิดปาก รีบถามออกไปก่อน
“ทำไมนายไม่เรียกฉัน”
“นายมันชอบใส่ความคนอื่นก่อนอยู่เรื่อย! นอนเป็นหมูตายซากอย่างนั้น เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น” จิ้งฉีเขม้นมอง
“ชิ!” ลู่กั้วไม่พอใจ พาลตัดสินใจจะไม่บอกเรื่องเมื่อคืนกับจิ้งฉี ลงแบบนี้แล้วเขาต้องคลี่คลายคดีด้วยตัวเองให้ได้!
“ตอนนี้ทุกคนยังคงออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น สิ่งที่ควรจะทำคือรวมกลุ่มกันไว้ อย่าให้ฆาตกรมีโอกาสทำร้ายเราได้” หลิงหลงพูดขึ้น
“ออกไปไม่ได้?” ลู่กั้วพึ่งจะมาถึง จึงไม่รุ้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อือ...ภูเขาถล่มทำให้ทางขาด ต้องรอซ่อมแซมประมาณสามวัน” ซิงเยี่ยบอก
“เฮอะ นี่แสดงว่าฆาตกรอยู่ในกลุ่มพวกเรา ถูกไหม” ซิงหลางแค่นหัวเราะ
เงียบ ไม่มีคำตอบ
คริสเห็นบรรยากาศเริ่มตึงเครียดจึงเสนอไอเดีย “ฉันว่า เรามาหาข้อมูลจากกล่องปริศนามังกรกันดีกว่า”
“เกี่ยวอะไรกับปริศนามังกร” ลู่กั้วไม่เข้าใจ
“มันทำจากไม้หวู่ถง” พ่อบ้านพูดขึ้น
“อา...ไม้หวู่ถง” ลู่กั้วรีบล้วงสมุดเล่มเล็กออกมาจด
แต่คนอื่นๆ รู้สึกว่าข้อมูลนี้ไม่มีประโยชน์อะไร จึงไม่มีใครสนใจจะจำ
“ผมว่าจะไปสำรวจดูที่หอนาฬิกาหน่อย” จิ้งฉีหันไปบอกกับหลิงหลง
“อืม ก็ดี...ไปด้วยกันไหมลู่กั้ว” หลิงหลงก็คิดจะไปเช่นกัน แต่ในพวกเขาสามคน จำต้องเหลือใครคนใดคนหนึ่งไว้สังเกตการณ์ในห้องโถงใหญ่
“ผมไม่ไปกับเจ้ากะเทยนั่นหรอก!” ลู่กั้วต้องการอยู่ที่นี่เพื่อค้นหาปริศนามังกรมากกว่า
“นี่...ฉันไปด้วยได้รึเปล่า” ซิงเยี่ยถาม
“ได้สิ! ฝากทางนี้ด้วยนะลู่กั้ว” หลิงหลงรู้สึกผิดคาด
“ไม่มีปัญหา” หึหึ ลู่กั้วยิ้มน้อยๆ อาศัยคำสนทนาของคนในห้องนี้ อาจจะช่วยไขปริศนามังกรได้เป็นคนแรกก็ได้



จิ้งฉี หลิงหลง และซิงเยี่ยไปที่หอนาฬิกาด้วยกัน
ศพของหวังซิ่งถูกนำออกไปแล้ว แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาเป็นแนวเฉียง ทำให้ความน่ากลัวลดลงไปมาก จิ้งฉีสำรวจโดยรอบแต่ก็ไม่พบบริเวณต้องสงสัย
“บนนี้มีชั้นลอยที่ต่อเนื่องกับห้องใต้หลังคา หวังซิ่งถูกฆาตกรลากขึ้นชั้นลอยแล้วมัดไว้ แต่แปลกมากที่...” หลิงหลงบ่นพึ่มพำ
“รอยเลือดใช่ไหมครับ” จิ้งฉีถาม
“อืม ก่อนอื่นเราต้องสำรวจว่าเหยื่อถูกทำร้ายที่ไหน แต่ในห้องนี้ไม่มีเลือดให้เห็นซักหยด ตอนเคลื่อนย้ายศพไปห้องใต้หลังคาน่าจะมีรอยเลือดให้สังเกตเห็นได้บ้าง แต่ก็ไม่มี”
“ผมคิดว่าน่าจะเป็นตรงนี้ เพราะถ้าเคลื่อนย้ายศพจากที่อื่นมาก็น่าจะมีรอยลากให้เห็นบ้าง อีกอย่างจะเสียเวลามากด้วย”
“คุณหนูซิงเยี่ย หวังซิ่งเป็นคนยังไงเหรอครับ” หลิงหลงให้ซิงเยี่ยมาด้วยเพื่อถามเรื่องบางอย่างเพียงลำพัง
“เรื่องนี้...ฉันก็ไม่รู้ค่ะ” ซิงเยี่ยส่ายหัว “พ่อไม่ชอบให้ฉันถามเรื่องเกี่ยวกับเขา เหมือนท่านจะไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่ ครั้งก่อนฉันได้ยินพ่อคุยโทรศัพท์กับเขา น้ำเสียงของท่านโมโหมาเลยล่ะ”
“ทำไมล่ะครับ” จิ้งฉีถามอีก
“ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของการเข้าไปลงทุนในตลาดญี่ปุ่น” ซิงเยี่ยย้อนคิด “แต่พอฉันถามพ่อ พ่อก็บอกว่าไม่มีอะไรทุกที”
“พ่อของคุณ...” จิ้งฉีอยากถามว่า ‘เสียชีวิตแล้วจริงหรือ’ แต่รู้สึกว่าการถามเช่นนี้ดูจะโหดร้ายเกินไป จึงได้แต่เก็บไว้ในใจ
“พ่อเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ตอนนั้นฉันกับพ่อบ้านก็อยู่ด้วย” คนสุขุมแกมฉลาดอย่างซิงเยี่ยมีหรือจะไม่รู้ทันความคิดของจิ้งฉี “อีกอย่าง พ่อไม่มีวันทำเรื่องแบบนี้ได้หรอกค่ะ พ่อเป็นคนใจบุญใจกุศลมาโดยตลอด ไม่มีทางฆ่าคนได้อย่างเด็ดขาด”
“พวกเราก็รู้ว่าอาจารย์ซิงเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม แต่คดีฆาตกรรมครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับคนในตระกูล วางแผนสร้างสถานการณ์ หวังฮุบเงินสามพันล้านก็เป็นได้” หลิงหลงสรุป
“หมายความว่าผู้เคราะห์ร้ายรายต่อไปอาจเป็นหนึ่งในพวกเรา” ซิงเยี่ยหน้าเครียด
“อืม ใช่ ผมจึงขอให้ทุกคนสามัคคีกันไว้ เพื่อปกป้องชีวิตของตนเองให้ปลอดภัยยังไงล่ะ” หลิงหลงพยักหน้า
“ทำไมฆาตกรต้องมาก่อเหตุที่นี่ด้วย” จิ้งฉีโพล่งขึ้น “การฆ่าคนในที่แบบนี้ถือว่าเสี่ยงมาก แถมยังเสี่ยงต่อการถูกพวกเราพบเห็นด้วย อีกอย่างเขาเคลื่อนย้ายศพไปห้องใต้หลังคาเพื่ออะไร”
“ผมว่า เรื่องนี้ต้องไม่ใช่การฆ่าคนโดยบังเอิญ แต่เป็นการฆ่าโดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว!”
“ถูกต้อง” หลิงหลงเห็นด้วยกับจิ้งฉี “แต่นี่เป็นเพียงการสันนิษฐานไม่มีหลักฐานอื่นๆ”
“ครับ...” จิ้งฉียอมรับ เขาคิดทบทวนอีกครั้ง


ใช่...ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นผู้ต้องสงสัย ไม่เว้นแม้แต่ซิงเยี่ยฉะนั้น ไม่ควรให้เธอรู้ความเคลื่อนไหวหรือความคืบหน้าของพวกเรา


“พอกันทีๆ...!” ลู่กั้วลูบศีรษะตะโกนก้อง
“เป็นไรไป?” คนทั้งห้องหันมามองเขาเป็นตาเดียว
“เจ้าปริศนามังกรนี่ทำให้ฉันคิดจนผมหงอกไปหมดแล้ว!” ลู่กั้วคิดแทบหัวระเบิด แต่ก็ยังหาวิธีเปิดกล่องไม่ได้
“ผมของนายก็หงอกอยู่แล้วนี่” ซิงหัวยิ้มเยือกเย็นอยู่อีกมุมหนึ่ง
“แก...” ลู่กั้วคิดจะด่า แต่ก็กลืนถ้อยคำหยาบคายทั้งหมดลงไปเสียก่อน
“ชิ ไม่เล่นแล้ว! กล่องไม้บ้าบออะไรไม่รู้ ของเล่นปัญญาอ่อนแบบนี้โยนทิ้งดีกว่า!” เขาหยิบกล่องไม้ขึ้นทำท่าจะเขวี้ยงทิ้ง
“อย่านะครับ!” พ่อบ้านยับยั้งไว้ “สิ่งที่อยู่ด้านในเป็นชีวิตจิตใจของนายท่าน หากคิดถอนตัวก็ขอให้ส่งกลับคืนมาดีๆ อย่าทำเสียหายเลยครับ!”
“ใครบอกว่าผมจะถอนตัวเล่า” ที่แท้ลู่กั้วคิดจนปวดหัวเลยอยากจะระบายอารมณ์ออกมาตามวิสัยหมาป่าเจ้าอารมณ์ แต่ไม่ยอมเสียเงินสามพันล้านง่ายๆ
น่าเสียดาย การกระทำของเจ้าหมอนั่นอาจทำให้เห็นส่วนประกอบที่อยู่ข้างในก็ได้! คนอื่นๆ ในห้องต่างก็คิดพ้องต้องกัน
“สามพันล้านไม่ใช่จะหามาได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีความอดทนก็ไม่มีทางได้หรอก ลู่กั้ว!”
หลิงหลงกับจิ้งฉีแม้อยู่ห่างไกลก็ยังได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของลู่กั้วในห้องโถงใหญ่ ทั้งน่าโมโหทั้งน่าขำจริงๆ
“ถึงจะมีความอดทน แต่ถ้าไม่มีมันสมอง ยังไงๆ ก็ไม่มีทางได้สามพันล้านนั่นหรอก!” จิ้งฉีประชดประชัน
“เฮ้! เรื่องมันสมองน่ะ หากฉันเป็นที่สองในใต้หล้า ก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่งแล้ว!” ลู่กั้วตบอกพูดฉะฉาน
“นายพูดถึงหมูอยู่งั้นเหรอ” ซิงหัวพูดขึ้นมาหน้าตาเฉย
“ฮ่าๆๆๆ...” ทุกคนหัวเราะกันครืน บรรยากาศที่ตึงเครียดมานานจึงผ่านคลายลงไปบ้าง


บัดซบ! ไม่คิดเลยว่าเจ้ากะเทยไป๋จิ้งฉีจะช่วยศัตรูเล่นงานพวกเดียวกัน ร่วมงานกับเจ้าลูซิเฟอร์ทำร้ายเรา!
ลู่กั้วโมโหจนอกแทบระเบิด
คอยดูเหอะ! ครั้งนี้ฉันจะต้องไขปริศนามังกรให้ได้ และต้องคลี่คลายคดีนี่ได้ด้วย ขอเอาทรัพย์สินส่วนตัวเป็นประกัน!



ความฝันมักสวยงามกว่าความเห็นจริงเสมอ ที่นี่ถูกลูซิเฟอร์ใช้พลังบางอย่างปิดกั้นขอบเขตไม่ให้สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ตอนนี้ลู่กั้วก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา คิดคลี่คลายคดีร่วมกับหลิงหลงและจิ้งฉีก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเมื่อใช้เวทมนตร์ไม่ได้ พวกเขาก็ต้องใช้วิธีธรรมดาแก้ปัญหานี้ให้ได้
“ฉันจะไปบ้าง!” ลู่กั้วประท้วง “ทำไมพวกนายสองคนต้องไปตรวจที่เกิดเหตุด้วยกันแล้วทิ้งฉันไว้คนเดียวทุกทีเลยล่ะ”
“นายไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ” จิ้งฉีไม่สนใจ
“แกไปได้ประโยชน์กว่างั้นสิ โธ่เอ๊ย ก็ไม่เห็นจะได้เรื่องอะไรกลับมา” ลู่กั้วเคือง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า นายสองคนไปเถอะ” หลิงหลงสรุป เขารู้สึกว่าการตัดสินใจครั้งนี้ เขาควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพโดยแท้
“ฉันไม่ไปกับไอ้กะเทย!” ลู่กั้วไม่ยอม
“ขอโทษด้วย ฉันก็ไม่ได้อยากไปกับหมาป่าที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนนักหรอก!” จิ้งฉีก็เหมือนกัน



สองพระหน่อเมื่อไหร่จะสามัคคีกันได้หนอ?
หลิงหลงครุ่นคิดพลางมองไปที่ใบหน้ามู่ทู่ของทั้งสอง
“งั้น...ฉันยอมเสียเปรียบให้กับแกก็ได้ แต่รุ่นพี่หลิงหลงต้องไปด้วย ฉันจะได้ไม่ต้องอยู่กับแกตามลำพัง” ลู่กั้วยอมอ่อนข้อตกลงมองหลิงหลงพลางขอความเห็น
“พวกเราไปด้วยกันสามคนไม่ได้ อย่างน้อยต้องมีคนหนึ่งอยู่คอยดูพวกเขา”
“งั้น...ผมอยู่เอง!” จิ้งฉีอาสา เพราะลู่กั้วทำวุ่นวายแท้ๆ เขาจึงต้องอยู่
“อืม..ก็ดี...” หลิงหลงพยักหน้า
หลิงหลงกับลู่กั้วไปที่หอนาฬิกาแล้ว จิ้งฉีอยู่ในห้องโถงใหญ่ ใช้ความคิดอยู่เงียบๆ
“ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกประหลาด” ลู่กั้วมองไปรอบห้องแคบๆ ในหอนาฬิกา
“ก็เพราะไม่มีอะไรแปลกประหลาดนี่สิจึงน่าสงสัย” ครั้งก่อนซิงเยี่ยอยู่ หลิงหลงกับจิ้งฉีเลยไม่ได้สำรวจอย่างละเอียด ดังนั้นจึงมีพื้นที่อีกหลายจุดที่ยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ
“เอ๋ นี่อะไร” ลู่กั้วชี้ไปที่หน้าต่างบานเล็กบนหน้าปัดนาฬิกา
“น่าจะเป็นหน้าต่างห้องเครื่อง” หลิงหลงตอบพลางสำรวจดูฟันเฟือง
“หน้าต่างห้องเครื่อง?” ลู่กั้วสงสัย เปิดหน้าต่างบานเล็กออกแล้วยื่นศีรษะออกไป
“อา! จริงด้วย!” เขาร้องบอกขณะมองดูเข็มใหญ่ยักษ์ของนาฬิกา
แต่ขณะที่คิดจะหดหัวกลับเข้าไป ก็พบว่าดึงออกไม่ได้ หัวของลู่กั้วติดคาอยู่แบบนั้น “รุ่นพี่ๆ ช่วยด้วย!” เขาร้องเรียกหลิงหลงเสียงดัง
เสียงของเครื่องจักรที่ดังกลบสรรพเสียงอื่นๆ ทำให้หลิงหลงที่กำลังสำรวจดูฟันเฟืองอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่ได้ยินเสียงเรียกของลู่กั้ว
“เร็วเข้า ฉันติดอยู่บนนี้ ช่วยด้วย!” ศีรษะของลู่กั้วยื่นอยู่ด้านนอก จึงเป็นการยากที่เสียงจะสะท้อนกลับเข้ามาด้านใน เขาจึงได้แต่ใช้แรงกำปั้นเคาะตีหน้าปัดนาฬิกา ขณะเดียวกันก็มองไปยังเข็มยาวซึ่งชี้ที่เลข 4 แล้วเอี้ยวศีรษะมองเข็มสั้นซึ่งชี้ที่เลข 2 “หวา...”


ในที่สุดหลิงหลงก็ได้ยินเสียงและรีบมาช่วย “ไม่เป็นไรใช่มั้ย!”
คิดไม่ถึงว่าจะบ้ายื่นหัวออกไปแบบนั้น เจ้าหมอนี่มันประสาทจริงๆ

“ไม่เป็นไร โชคดีที่รุ่นพี่ลากผมเข้ามาได้ แต่แปลก... เข็มยาวกํบเข็มสั้นแหลมเปี๊ยบเลย น่ากลัวชะมัด นาฬิกาทั่วไปเป็นแบบนี้รึเปล่า”
“แหลมเปี๊ยบเหรอ” หลิงหลงขมวดคิ้ว
“ครับ”
หลิงหลงเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขายื่นศีรษะออกไปบ้าง และแล้ว! ปริศนาที่ว่าเหตุใดฆาตกรรมต้องเกิดที่หอนาฬิกาก็กระจ่าง ถ้าเช่นนั้นฆาตกรก็คือ...
“เป็นไงบ้างครับ รุ่นพี่ สังเกตเห็นอะไรบ้างรึเปล่า” ลู่กั้วเห็นหลิงหลงสีหน้าเครียด ก็รู้ว่าต้องได้เรื่อง
“อือ ครั้งนี้ต้องชมนายเลยแหละ” หากลู่กั้วไม่คิดยื่นหัวออกไป เขาก็คงไม่รู้วิธีการของฆาตกรที่ทำให้ลู่กั้วกับป้าอ้วนเห็นศพในเวลาเดียวกัน
“จริงเหรอ?” ลู่กั้วยินดีแกมสงสัย เหอๆๆ บอกแล้วว่าครั้งนี้ต้องพึ่งพาเขาในการคลี่คาลยคดี
เห็นรึยังล่ะ ไป๋จิ้งฉี!



.............................



“อ๊ะ!” จิ้งฉีฟังคำอธิบายประกอบท่าทางของหลิงหลง ก็เข้าใจเรื่องราวทันที
“เป็นอย่างนี้นี่เอง! มีฆาตกรอยู่ในหมู่พวกเขาจริงๆด้วย” การสันนิษฐานว่าฆาตกรเป็นคนนอกและทฤษฎีการแอบแฝงเข้ามาในคฤหาสน์ที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้เป็นอันล้มพับไป
“แต่นี่ก็ยังใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ อีกอย่าง ถึงจะรู้วิธีการฆ่า แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าฆาตกรเป็นใคร”
“แต่เราวางหลุมพรางให้ฆาตกรมาติดกับได้นี่”
“แต่...” จิ้งฉียังรู้สึกว่าไม่ควรจะทำเช่นนั้น
“จิ้งฉี บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องรอการตัดสินว่าใครคือฆาตกร แล้วค่อยคลี่คลายคดี ตอนนี้ฆาตกรอาจมีเป้าหมายที่สอง ที่สามก็เป็นได้ แม้ไม่รู้ว่าใช้อะไรฆ่า แต่การฆ่าคนเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง พวกเราจะนิ่งดูดายไม่ได้ ต้องรีบหาตัวฆาตกรให้เร็วที่สุด!”
“ใช่ๆ ขืนมัวแต่ใจอ่อนปวกเปียกอย่างนายก็ไม่มีทางหาตัวฆาตกรได้หรอก ถึงเวลานั้นก็ต้องมาพึ่งลูกพี่ลู่กั้วตามเคย!” ลู่กั้วได้ทีตอกย้ำ
“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว” หลิงหลงพูดแทนจิ้งฉี “ความคิดของจิ้งฉีใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่บางครั้งเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยดวงและความกล้าหาญ กับการพลิกแพลงเล็กๆน้อยๆ”
“ความจริงพวกเรายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้ชัดว่าใครคือฆาตกร แต่ฆาตกรยังไม่รู้ตัว เขาต้องวางใจว่าจะไม่มีใครเปิดเผยฐานะของเขาได้ ฉะนั้นพวกเราต้องเริ่มต้นจากจุดนี้แหละ”
“อืม ครับ”
จิ้งฉีรู้สึกว่าคำพูดของหลิงหลงมีเหตุผล
ลูซิเฟอร์มองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านเงาในห้องน้ำ ก่อนยิ้มเย็นยะเยือก “หึ ฉลาดไม่เบาเจ้าพวกนี้ แต่ข้า ลูซิเฟอร์ไม่มีทางปล่อยให้พวกแกได้สมหวังง่ายๆ แน่!”


ใช่...ทุกคนในที่นี้
ล้วนแต่เป็นผู้ต้องสงสัย
ฉะนั้นไม่ควรให้เธอ
รู้การเคลื่อนไหวของพวกเรา

คู่ปริศนา บทที่11 ปริศนาผนึกมังกร

บทที่ 11
ปริศนาผนึกมังกร


ฉันเป็นเพียงของเล่นชิ้นเล็กๆ แต่กลับสร้างความสนุกสนานได้อย่างไม่คาดฝัน


“มันอะไรกันเนี่ย” ลู่กั้วมองดูทั้งทางซ้ายและขวาเห็นต้นไม้ต้นเล็กๆ ตั้งเรียงรายห่างกันประมาณครึ่งเมตร พอพวกเขาก้าวเท้าเดินไปหนึ่งก้าว ต้นไม้พวกนั้นก็จะขยับขึ้นครั้งหนึ่ง พวกเขาติดอยู่ในค่ายกลต้นไม้พวกนี้ วนไปวนมาอยู่หลายรอบแล้ว
“ค่ายกลแปดทิศ”
จิ้งฉีพูดขึ้นสีหน้าเครียด ค่ายกลชนิดนี้เขาเคยได้ยินมาจากอาจารย์ถีเอ่อแต่เพิ่งจะเคยเจอจริงๆ เป็นครั้งแรกนี่แหละ
“อา ที่แท้ก็เป็นค่ายกลหินนี่เอง” ลู่กั้วคิดขึ้นได้ทันที สมัยก่อนอาจารย์ถังเฉาก็เคยสร้างค่ายกลแบบนี้ให้เขาฝึกซ้อมอยู่บ่อยๆ แต่ทว่าเขาไม่เคยจำชื่อมันได้เลย หินเอย ต้นไม้เอย ล้วนแต่เป็นส่วนประกอบของค่ายกลได้ทั้งนั้น ที่สำคัญคือถ้าหากไม่รู้วิธีที่จะออกไปก็จะถูกขังอยู่ในนั้นจนตาย ในอดีต ค่ายกลชนิดนี้มีไว้เพื่อป้องกันศัตรูที่จะบุกรุกเข้ามาทำร้าย แต่ว่าทำไมสถานที่หลิงหลงนัดให้ไปถึงมีค่ายกลอยู่ด้วยละ
“วะ ฮ่าๆๆ เรื่องจิ๊บจ๊อย” เมื่อครั้งเรียนกับอาจารย์ถังเฉาเขาได้ฝึกฝนหาทางออกจากค่ายกลแบบนี้จนชำนาญแล้ว ว่าแล้วลู่กั้วก็พาจิ้งฉีออกมาได้อย่างรวดเร็ว ตรงสุดทางเบื้องหน้าของพวกเขา มีคฤหาสน์ทรงจีนหลังใหญ่ปรากฎอยู่ ลู่กั้วเดินเข้าไปเคาะประตูอย่างแรง
“เปิดหน่อย”
แต่เงียบสงัด
ไร้สรรพเสียงตอบกลับมา
“แปลก ทำไมประตูนี้ไม่มีรูกุญแจ ไม่มีมือจับ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีกริ่ง แล้วอย่างนี้คนข้างในจะรู้ได้ยังไงว่ามีคนมา” จิ้งฉีพูดเบาๆ
“เอ๊ะ นี่อะไร?” ลู่กั้วสังเกตเห็นทางขวามือมีกล่องสีเหลี่ยมที่มีรอยบุ๋มลึกเข้าไป ภายในกล่องมีเครื่องตอบรับอยู่ ข้างบนมีจุดอยู่ 9 จุด ข้อความเขียนกำกับไว้ว่า

กรุณาขีดเส้นตรง 4 เส้น ให้ทั้ง 9 จุดเชื่อมต่อกัน ระวัง! เส้นทั้ง 4 ต้องทำให้สำเร็จในครั้งเดียว


“หมายความว่าไง?”
“ง่ายมาก ก็ขีดเส้น 4 เส้น เชื่อมต่อทั้ง 9 จุด และในขณะที่ขีดเส้นทั้ง 4 จะยกปากกาขึ้นไม่ได้ไงล่ะ” จิ้งฉีอธิบาย
“เรื่องแค่นี้ เดี๋ยวลูกพี่จัดการเอง” ลู่กั้วยกมือขึ้นลากเส้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นมาอันหนึ่ง ถึงเส้นตรงทั้ง 4 จะเขียนเสร็จภายในครั้งเดียว แต่เขากลับไม่ได้ลากผ่านจุดตรงกลางเลยแม้แต่ครั้งเดียว เครื่องตอบรับจึงไม่ตอบสนอง”
“เฮ้อ โง่ตามเคย”
จิ้งฉีกำลังคิดหาวิธีอยู่ แล้วก็รู้ด้วยว่ามันไม่ง่ายอย่างที่ลู่กั้วคิด
“แกมาลองดูสิ” ลู่กั้วพยายามอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ได้ซักที ส่วนจิ้งฉีคิดซักพักก็ลงมือลากเส้นผ่านทั้ง 9 จุด ทันทีที่เขียนเสร็จเครื่องตอบรับก็ส่งเสียงดังขึ้น ประตูเปิดออกแล้ว
“ดวงดีล่ะว้า” ลู่กั้วไม่อยากจะยอมแพ้
“นี่เป็นการยืนยันว่าฉันคืออัจฉริยะ ส่วนนายมันก็แค่ไอ้ติ๊งต๊องคนหนึ่ง” จิ้งฉีเบื่อที่ลู่กั้วไม่ยอมรับในความสามารถของตน
“แก” ลู่กั้วโมโหกำลังจะต่อปากต่อคำ แต่กลับเห็นผู้สูงอายุคนหนึ่งเดินมาเบื้องหน้าเสียก่อน ชายชราแต่งตัวเหมือนพ่อบ้าน สายตาจ้องตรงมาที่พวกเข่
‘ป่านนี้เพิ่งจะโผล่หน้าออกมา พวกเราเข้ามาเองได้แล้วล่ะ’ ลู่กั้วคิดว่าผู้เฒ่าคนนี้จะออกมาเปิดประตูรับ
“ขอแสดงความยินดีที่คุณทั้งสองผ่านด่านเข้ามาได้ ฉันเป็นตัวแทนของคุณซิง ออกมาต้อนรับคุณทั้งสองคน”
“คุณซิง?” ติ้งฉีสะดุ้ง “หรือว่าจะเป็นคุณซิงเทียนกวางที่เพิ่งจะเสียไป” ตอนนั้นหลิงหลงเพียงแต่ให้ที่อยู่มา พร้อมกับบอกว่าที่นี่มีเรื่องสนุกรออยู่ ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องอะไร
“ใครกัน?” ลู่กั้วจำได้แต่ใบหน้าคนที่อยู่ในธนบัตรเท่านั้น ไม่รู้จักว่าคนๆ นี้คือใคร
“ท่านเป็นอัจฉริยะนักค้นคว้าเกมประลองปัญญา ถือว่าเป็นผู้นำด้านคิดค้นเกมเลยทีเดียว” ดังนั้นจึงไม่แปลกที่รอบบ้านเขาจะมีของประหลาดอยู่มากมาย
“ใช่แล้ว เกมประลองปัญญาที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่านก็คือ ลูกแก้วมังกรทั้ง 9 ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้” เมื่อพูดถึงคุณซิงพ่อบ้านจะดูปลาบปลื้มชื่นชมเป็นอย่างมาก
“ได้ยินว่ามีหลายด่าน ทั่วโลกมีเพียง 5 คนเท่านั้นที่เล่นผ่านด่านสุดท้ายได้” จิ้งฉีก็เพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น
“ไม่ลึกลับขนาดนั้นหรอกมั้ง เจ้าตัวก็ตายไปแล้ว ยังจะให้ทุกคนมารวมตัวกันอีกทำไม” เรื่องทดสอบไอคิวแบบนี้ลู่กั้วไม่ชอบเอาเสียเลย
“สิ่งที่คุณท่านเสียดายที่สุดก็คือไม่มีผู้รับช่วงต่อ ดังนั้นทุกคนที่มารวมกันที่นี่ก็เพื่อร่วมการทดสอบเพื่อหาผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของท่าน” พ่อบ้านอธิบาย
“ชิ เล่นอะไรไร้สาระแบบนี้ ผมไม่อยากจะสนุกด้วยหรอก” ลู่กั้วตอบอย่างเบื่อหน่าย
“ผู้ชนะ นอกจากจะได้ตึกใหญ่หลังนี้แล้ว ยังจะได้สมบัติอีก 3 พันล้าน” พ่อบ้านพูดต่อ
“หา! 3 พันล้าน
เสียงตะโกนของลู่กั้วดังสะท้อนไปทั่ว แววตาเปลี่ยนเป็นเครื่องหมาย $ ขึ้นมาทันที “ตกลงๆ ผมจะเข้าแข่งด้วย” ดึงคอเสื้อของพ่อบ้านเข้ามาบอกเสียงดัง
“เชิญทั้งสองท่านรออยู่ที่ห้องรับแขกก่อน เตรียมรับโจทย์ปัญหา” พ่อบ้านผายมือทำท่าเชิญ
“ถามหน่อยครับ ในนี้มีคนชื่อหลิงหลงรึเปล่า?” จิ้งฉีถาม
“เออ...ที่พวกคุณถามหาใช่ลูกชายของสารวัตรหลิงรึเปล่าครับ รู้สึกว่าเขาจะมาติดพันคุณหนูของที่นี่อยู่นะ” พอเอ่ยชื่อ พ่อบ้านก็สาธยายความเสียยืดยาว
“สารวัตรหลิง!” ลู่กั้วและจิ้งฉีหันมาจ้องตากัน
“คุณพ่อของเขาเป็นสารวัตร พวกคุณไม่รู้หรือ?” พ่อบ้านแปลกใจ


มิน่าไอ้หมอนั่นถึงได้เข้าร่วมหน่วยสืบสวน TMX ที่แท้มีพ่อเป็นถึงระดับสารวัตรตำรวจนี่เอง
สารพัดคำถามที่วิ่งวนอยู่ในใจของลู่กั้วและจิ้งฉีกระจ่างในทันที
บ้านตระกูลซิงนี่แปลก กลางสวนดอกไม้มีหอนาฬิกาตั้งอยู่ด้วย เสมือนเป็นตัวแบ่งระหว่างสองตึกที่รูปแบบเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ลู่กั้วแหงนหน้าขึ้นมองหอนาฬิกา ที่มีเถาไม้เลื้อยพันอยู่เต็มไปหมด “มันจะเดินตรงมั้ยเนี่ย” ปกติเขาไม่ชอบใส่นาฬิกาอยู่แล้ว ได้แต่อาศัยดูของคนอื่นเป็นประจำ
“เที่ยงตรง” พ่อบ้านตอบ



.............................



เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ลู่กั้วและจิ้งฉีก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง ที่นี่ตกแต่งสไตล์ยุโรป มีเตาผิงขนาดใหญ่อยู่ติดกำแพง เปลวไฟที่อบอุ่นกำลังพวยพุ่งอยู่ภายใน เหนือขึ้นไปมีหัวกวางแขวนอยู่ หน้าเตาปูด้วยหนังหมีขาวจากขั้วโลกเหนือ
“เฮอะ ไม่นึกว่าวันสุดท้ายยังจะมีคนมาเพิ่มอีก” บนโต๊ะน้ำชา มีคนนั่งอยู่ 4 คน พวกเขากำลังเล่นไพ่กันอยู่
“คิดว่าจะมีแค่พวกเรา 6 คนซะอีก” ผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาคล้ายแม่มด จ้องมองมาที่ลู่กั้วและจิ้งฉีอย่างพินิจพิเคราะห์
“ดูท่ายังเด็กอยู่เลยนี่” อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 30 ปีเห็นจะได้
“ก่อนอื่นผมขอแนะนำหน่อย” พ่อบ้านพูดกับเด็กหนุ่มทั้งสอง “คุณคนนี้ชื่อครูโซ่ คริส มาจากฝรั่งเศส เป็นคนที่นับถือท่านซิงมากและทำลายสถิติเกมหลงฟ่งได้เร็วที่สุด” เขาผายมือไปยังผู้ชายที่พูดขึ้นเป็นคนแรก
“ท่านผู้นี้คือคุณทานากะ ไอโกะ เพื่อนของท่านซิง เป็นคนญี่ปุ่น ผลงานของท่านซิงเข้าบุกเบิกในตลาดญี่ปุ่นได้ก็เพราะท่านนี้แหละ” คราวนี้ผายมือไปทางหญิงสาวที่หน้าเหมือนแม่มด จากนั้นเลื่อนไปที่ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม แล้วแนะนำ
“เขาคือคุณหวังซิ่ง เป็นหุ้นส่วนของท่านซิง เพราะเขานี่แหละ เกมหลายเกมจึงติดตลาดได้อย่างรวดเร็ว”
“ฉันชื่อเหอหุ้ย เป็นผู้ช่วยของท่างซิง” หญิงวัยกลางคนที่ดูสุภาพเรียบร้อยลุกขึ้นจับมือกับทั้งสอง
“สวัสดีครับ”
ในกลุ่มนั้นไม่มีคนรู้จักอยู่เลย จิ้งฉีรู้สึกอึดอัดอย่างไรไม่รู้
“และมีอีกสองท่านอยู่ในนี้ด้วย คนหนึ่งพวกคุณรู้จักดีแล้วคือ คุณหลิงหลง ส่วนอีกคนเป็นน้องชายของท่านชื่อซิงหลาง”


ว้า ผู้เข้าแข่งขันเยอะขนาดนี้ เงิน 3 พันล้านคงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว
ลู่กั้วอ้าปากค้าง
“จริงสิ ท่านซิงก็มีลูกสาวนี่ ทำไมไม่ยกสมบัติให้ลูกล่ะครับ” จิ้งฉีประหลาดใจ “ทำไมต้องหาคนมาเล่นเกมชิงสมบัติกันด้วย?”
“ความหวังของคุณซิงคืออยากให้กิจการของท่านมีผู้สืบทอด ส่วนคุณหนูท่านได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว ถึงคฤหาสน์หลังนี้จะไม่ได้ยกให้คุณหนู แต่ท่านก็ซื้อบ้านที่เมือง TMX เตรียมไว้ให้ พร้อมกับเงินก้อนใหญ่ที่สามารถใช้ได้อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต”
“ครึกครื้นกันจัง” เสียงใสอ่อนเยาว์ดังมาจากด้านหลัง เขาคือคุณชายซิงหัว พ่อบ้านรีบก้มหัวทำความเคารพ
“แก” ลู่กั้วร้องเสียงหลงชี้ไปที่เด็กคนนั้น
“หือ เราเคยพบกันมาก่อนเหรอ?” คุณชายซิงหัวอายุประมาณ 7-8 ขวบ บนใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นเหมือนปีศาจ รูปร่างหน้าตาเหมือนกับลูซิเฟอร์ยังไงยังงั้น


หรือจะเป็นลูซิเฟอร์จริงๆ? เป็นไปไม่ได้น่า พบกันคราวก่อนเจ้าหมอนั่นยังอายุประมาณ 5 ขวบอยู่เลย ถึงจะเป็นปีศาจก็ไม่น่าจะโตเร็วขนาดนี้
จิ้งฉีคิดในใจ
“เขาเป็นลูกของซิงหลางน่ะ เคยพบกันมาก่อนหรือคะ” ไอโกะถามด้วยความประหลาดใจ
“หน้าตาคล้ายเหมือนคนรู้จักน่ะ” จิ้งฉีตอบเบาๆ
“หึหึ” ซิงหัวมองลู่กั้วและจิ้งฉี แล้วหัวเราะอย่างมีเลศนัย
“หิวจัง มีอะไรกินบ้าง?” ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหน้า ทันทีที่สิ้นเสียง หลิงหลงก็เดินเข้ามา “อ้าว มากันแล้วเหรอ?” ผ่านไปหลายวันเขาคิดว่าทั้งสองจะมาไม่ได้เสียอีก
“เพิ่งมาถึงน่ะ ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีเงินรออยู่” ลู่กั้วเอาแต่คิดถึงเงิน 3 พันล้าน น้ำลายแทบจะไหลย้อยออกมา
“เงินนั่นไม่ได้ระบุเจ้าของสักหน่อย” หวังซิ่งไม่พอใจ
“เรื่องนั้นเป็นไงมั่ง” หลิงหลงไม่สนใจหวังซิ่ง หันไปถามลู่กั้วกับจิ้งฉี
“เรียบร้อย มีลูกพี่ลู่กั้วอยู่ทั้งคน ทุกอย่างต้องเรียนร้อยอยู่แล้ว ถึงแม้จะมีบางคนแทบเอาชีวิตไม่รอดก็เหอะ” ลู่กั้วตบหน้าอกตัวเองอย่างผยอง
“ฮ่าๆ ปิดเรื่องได้เร็วอย่างนี้ถือว่าเยี่ยมยอดไปเลยนะเนี่ย รายละเอียดเดี๋ยวไว้ค่อยคุยทีหลังนะ” หลิงหลงยิ้ม ในเวลาเดียวกันก็ส่งซิกไม่ให้ทั้งสองเปิดเผยตัวเอง
“นี่พวกคุณรู้จักกันเหรอ?” เหอหุ้ยประหลาดใจ
“ใช่ พวกเรามาหาหลิงหลง ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีเรื่องสนุกอย่างนี้”
“ถ้างั้นพวกคุณก็ไม่ได้มาเพราะเรื่องท่านซิงน่ะสิ” คริสแปลกใจ
“ก่อนมานี่ ผมไม่รู้จักเขาเลย” ลู่กั้วตอบตรงไปตรงมา
“ฮ่าๆ ไอ้น้องชาย นายชวด 3 พันล้านแล้วล่ะ” ไอโกะหัวเราะเสียงดัง
“หมายความว่าไง” ลู่กั้วตกใจ
“คนที่ไม่เคยรู้จักท่านซิง ไม่น่าจะหาวิธีแก้ไขปริศนาผนึกมังกรได้” พ่อบ้านตอบ
จิ้งฉีงง “ปริศนาผนึกมังกรอะไรกัน?”
“มันคือโจทย์ปัญหาที่ท่านซิงทิ้งเอาไว้ ผู้ที่ไขปริศนานี้ได้ถือเป็นผู้ชนะ มีสิทธิ์ได้รับสมบัติทั้งหมด”
โอ้ ลู่กั้วรู้สึกเหมือนเพียงชั่วพริบตาตัวเองก็ตกลงไปอยู่ในขุมนรกเสียแล้ว จุกในอกเหมือนมีขนมปังติดอยู่ยังไงยังงั้น
“ต๊าง ต๊าง ต๊าง...”
เสียงนาฬิกาดังขึ้น 6 ครั้งติดต่อกัน พ่อบ้านเริ่มประกาศ
“ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมตอบปัญหาผนึกมังกรมีเพียงไม่กี่ท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ แน่นอนมีคุณซิงหัวรวมอยู่ด้วย แต่คุณซิงหัวจะไม่แข่งขัน เพียงแต่ต้องการความสนุกเท่านั้น มีผู้เข้าร่วมแข่งขันเพิ่มอีกสองคน ทุกท่านคงจะได้พบแล้ว”
ขณะนั้นเองมีหญิงหน้าตาสะสวย ท่าทางสง่างาม เดินเข้ามาอายุอานามน่าจะไล่เลี่ยกับเด็กหนุ่มทั้งสอง เธอผู้นี้คือคุณหนูซิง
“คุณหนูซิงมีอะไรจะให้ผมช่วยหรือครับ” หลิงหลงเก็กหล่อ เดินตรงเข้าไปจับมือคุณหนูซิงไว้
“ฉันแค่จะมาแจ้งให้ทุกคนทราบว่า ได้เวลาทานอาหารแล้ว” คุณหนูซิงสีหน้าขัดเขินแต่ไม่ได้ปฎิเสธหลิงหลง
“เชิญทุกท่านตามมาทางนี้ ผมจะประกาศกฎกติกาของการแข่งขันให้ทราบภายหลัง” พ่อบ้านทำท่าเชิญไปยังโต๊ะอาหาร
เมื่อถึงเวลาอาหาร ซิงหลางก็ปรากฎตัวขึ้น ท่าทางของเขารุ่มร่ามไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าการแต่งตัวไม่เรียบร้อย เชิ้ตที่ใส่ก็ติดกระดุมผิด สูงๆ ต่ำๆ กางเกงก็หลวมโครก เมื่อเทียบกับการแต่งตัวของลูกชายแล้วดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ใครเห็นก็ไม่เชื่อว่าเป็นพ่อลูกกัน
“มาเร็ว มากินข้าวกันได้แล้ว” ซิงหลางเรียกทุกคน จากนั้นก็ยื่นมือจะไปคว้าอาหารบนโต๊ะ
“ไร้มารยาท คุณทำแบบนี้พวกเราจะกินลงได้ยังไง?” ไอโกะโมโหขึ้นทันที
“คุณอา” คุณหนูซิงเยี่ยถึงจะเป็นหลาน แต่ก็ไม่คิดจะต่อว่าคุณอาไปมากกว่านี้ ถึงมันจะเป็นกิริยาที่แย่จริงๆ ก็เถอะ
“เชอะ ทำเป็นหยิ่งยโส สิ่งประดิษฐ์ของพี่มันก็แค่ขยะกองหนึ่งเท่านั้นแหละ” ซิงหลางสบประมาท
“นี่เขากล้าดูถูกพี่ชายตัวเองขนาดนี้เชียวเหรอ?” ลู่กั้วถามหลิงหลง
“เขาเป็นน้องชายของซิงเทียนกวางน่ะ ไม่ได้ทำงานทำการอะไรหรอก ได้ยินว่าช่วงแรกๆ เขาเสนอให้ท่านซิงเอาเกมเข้ามาขายในตลาดก็เลยได้เป็นผู้จัดการน่ะ” หลิงหลงตอบ
“ทุกท่านเชิญนั่ง” พ่อบ้านเชื้อเชิญ การทานข้าวร่วมกับคนไม่คุ้นเคยช่างเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดอะไรเช่นนี้
ขณะที่การทานอาหารใกล้จะสิ้นสุดลง พ่อบ้านได้เอามังกรไม้ออกมา 8 ตัว แต่ละตัวยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ขนาดใหญ่เท่าท่อนแขน
“นี่คือสิ่งที่จะใช้แข่งขัน มังกรเหล่านี้ดูแล้วก็ธรรมดาแต่ที่จริงมันคือกล่องใบหนึ่ง ทุกท่านเพียงแต่หาวิธีเปิดมันออกให้ได้ มรดกของคุณท่านจะเป็นของคนที่เปิดออกได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”
“ง่ายยังงั้นเลยเหรอ?” ลู่กั้วเอ่ยขึ้น ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเข้าใจหรือไม่เข้าใจคุณซิงเลยซักนิด
“จะพูดว่าง่ายก็คงไม่ง่าย หากไม่เคยเล่นเกมในกลุ่มมังกรล่ะก็ คงจะหาทางเปิดออกได้ยาก” พ่อบ้านกล่าว “แต่ว่าทางเราจะไม่สนใจเรื่องวิธีการเปิดของพวกท่าน ขอแค่เพียงเปิดออกมาได้เท่านั้นก็พอแล้ว”
“แค่เปิดออกก็ใช้ได้งั้นรึ” ซิงหลางแย่งมังกรจากพ่อบ้านไปตัวหนึ่ง
“ใช่ แต่ห้ามทำลายมันเด็ดขาด เพราะถ้าหากมังกรถูกทำลายหรือชำรุด จะถูกตัดสิทธิ์ในการแข่งขันทันที เมื่อทุกคนได้รับมังกรแล้วขอให้สลักชื่อของแต่ละคนติดไว้ด้วย หรือจะทำเครื่องหมายสัญลักษณ์แทนก็ได้” พ่อบ้านส่งมีดให้กับทุกคน ซิงหลางรับไปอย่างรวดเร็ว ซิงหัวยิ้มแหยๆ ให้พ่อของตน
“บอกใบ้หน่อยได้มั้ย”
คริสถือมังกรไว้ในมือ เขาลองสำรวจดูแล้ว แม้แต่เกล็ดก็ยังมีขนาดเท่ากัน หาจุดเปิดไม่ได้เลยจริงๆ
“ไม่ได้ครับ” พ่อบ้านตอบ “เราให้เวลาในการแข่งขัน 5 วัน หลังจากนั้นหากไม่มีใครไขปริศนาในตัวมังกรได้ มรดกและคฤหาสน์จะถูกยกให้แก่มูลนิธิทันที” เมื่อเห็นว่านอกจากหลิงหลงกับจิ้งฉีแล้ว คนอื่นๆ กำลังสนใจพิจารณามังกรของตนอย่างละเอียด เขาจึงหยุดพูดไปพักหนึ่ง
“ทั้งสองท่าน ผมได้จัดที่พักไว้ใกล้กับห้องคุณหลิงหลงแล้ว อีกสักครู่ผมจะพาไป” พ่อบ้านพูดกับลู่กั้วและจิ้งฉี
“รบกวนด้วยครับ” จิ้งฉีรับทราบ
“เอาล่ะ สุดท้ายเรามาตั้งนาฬิกาให้ตรงกันก่อน” พ่อบ้านพูด
“ผมเข้าใจว่า ทุกๆท่านคงอยากจะออกไปศึกษาหาวิธีไขปริศนากันเต็มแก่แล้ว นับจากนี้ไปอีก 5 วัน เวลา 1 ทุ่มตรงการแข่งขันจะยุติลง” ทุกคนหันมองออกไปที่หอนาฬิกาแล้วตั้งเวลาให้ตรงกัน มีเพียงลู่กั้วคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้จะทำไงดี
“ผมไม่มีนาฬิกา ทำยังไงดีล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วงครับ ที่หอนาฬิกามีหน้าปัดอยู่ทั้ง 4 ด้าน ไม่ว่างจะอยู่ที่ไหนคุณก็สามารถดูเวลาได้” พ่อบ้านตอบ
หลังอาหารค่ำ พ่อบ้านพาจิ้งฉีและลู่กั้วไปที่ห้องพักที่จัดให้อยู่ติดกับหลิงหลง คฤหาสน์ของตระกูลซิงเป็นอาคารสองกลุ่มที่เหมือนกัน แบ่งฝั่งด้วยหอนาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ห้องพักของพวกเขาอยู่ทางด้านซ้ายของหอนาฬิกา เรียงลำดับตามห้องคือ หลิงหลง, จิ้งฉี, ลู่กั้ว, ซิงหลางและซิงหัว ส่วนอีกด้านมี ครูโซ่, คริส, เหอหุ้ย, หวังซิ่งและทานากะ ไอโกะ ส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับห้องซิงหัวเป็นห้องว่าง
สำหรับคนในตระกูลซิงจะพักอยู่อีกด้านของหอนาฬิกา ซึ่งมีอยู่ 4 ห้อง หลังจากที่ซิงเทียนกวางเสียชีวิตไปแล้ว ก็มีแต่ซิงเยี่ย พ่อบ้านและป้าอ้วนแม่บ้านอยู่กันคนละห้อง
หลังจากพ่อบ้านจากไปแล้วลู่กั้วก็รีบเล่าเรื่องการฆ่าตัวตายในวิทยาลัยให้หลิงหลงฟัง แน่นอนคำพูดที่หลุดจากปากของเขาหนีไม่พ้นการเป็นอัศวินของตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจิตแพทย์”
หลิงหลงไม่มีเวลาพอที่จะสืบสาวราวเรื่องเกี่ยวกับคดีนี้ ดังนั้นเบื้องหลังเบื้องลึกต่างๆ เขาจึงไม่รู้แม้แต่น้อย
“เวลานิดเดียวก็หาตัวฆาตกรได้ พวกนายเก่งไม่เบาเหมือนกันนะ” หลิงหลงเอ่ยปากชมจากใจจริง
“แน่นอนอยู่แล้ว มีลูกพี่ลู่กั้วอยู่ทั้งคน จะมีคดีไหนที่ปิดไม่ได้” ลู่กั้วกระหยิ่มยิ้มย่อง
“แต่ว่าคดีนี้พวกเราไม่ได้เป็นคนคลี่คลาย...” จิ้งฉีพูดเสียงอ่อยๆ
“ที่จริงคนเราก็ต้องอาศัยโชคช่วยกันบ้างแหละน่า” หลิงหลงเข้าใจความคิดของจิ้งฉี “พวกนายใช้เวทมนตร์ทำให้หมอนั่นยอมปริปากออกมาได้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว”
มาถึงตรงนี้แล้ว ลู่กั้วจึงเอ่ยปากขึ้น “ไป๋จิ้งฉี แกก็ฉลาดไม่เบานะ ที่คิดปิดประตู ให้เขาคิดว่าเป็นการกระทำของพี่ชาย”
“ไม่ใช่ฉัน นั่นมันฝีมือพี่ชายเขาจริงๆ” จิ้งฉีส่ายหัว
“ชิ ว่าแล้ว ถึงแกอยากจะทำแต่คงไม่มีพลังพอหรอก” ลู่กั้วรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
“จริงสิ หลิงหลงคุณมาที่นี่เพื่อเงิน 3 พันล้านนั่นจริงเหรอหรือว่าเพราะคุณหนูซิงเยี่ยกันแน่”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ฉันมาเพื่อจะยืนยันเรื่องๆ หนึ่งเท่านั้น” สีหน้าของหนุ่มเจ้าเสน่ห์เครียดขึ้นทันตา
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องมันนานมาแล้ว” หลิงหลงแกล้งลากเสียงยาว “ความลับน่ะ”
“ช่างเถอะ” ลู่กั้วกุมขมับ
“แค่ฉันเปิดกล่องนี่ออกก็จะได้เงิน 3 พันล้านแล้ว” ในหัวนึกวาดภาพความเป็นอยู่ที่สุขสบายหลังได้เงินก้อนโต ด้านจิ้งฉีก็มองมังกรไม้ในมืออย่างใช้ความคิด


ทั้งสองคุยเล่นอยู่ในห้องของหลิงหลงจนดึกมากแล้วจึงแยกย้ายกันกลับห้องของตน ลู่กั้วเมื่อกลับมาถึงห้องแล้วก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย เหมือนได้นั่งอยู่บนกองเงินแล้วอย่างนั้น


เขาหลับตาเห็นภาพสาวๆ ที่ห้อมล้อมอยู่ไม่ห่าง อาหารเลิศรสวางกองอยู่ตรงหน้า จิ้งฉีถือกล่องมังกรคุกเข่าอยู่แทบเท้า ฮ่าฮ่า...
ลู่กั้วควบคุมตัวเองไม่ได้เสียแล้ว
แต่เวลานี้จะมัวมาหัวเราะอยู่ไม่ได้ นั่งฝันตอนนี้ดูจะเร็วไปหน่อย ลู่กั้วเอามังกรไม้ออกมาพิจารณา แปลก แม้แต่บนเกล็ดมังกรก็ยังไม่เห็นจะมีจุดแตกต่างกันเลย ดูเหมือนกันไม่หมดทั้งตัว

ครืน..เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว เป็นสัญญาณเตือนว่าฝนกำลังจะตกแล้ว ลู่กั้วตื่นจากความคิดเรียกสติกลับคืนมาจากการหาวิธีเปิดกล่องมังกร เงยหน้ามองหอนาฬิกา “โอ๊ะ! ตีสามครึ่งแล้วหรือเนี่ย เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ” ขณะนั้นเองเขาก็เห็นเงาคนแวบผ่านอยู่บนหอนาฬิกา ขยี้ตามองซ้ำอีกครั้ง แต่ไม่มีแล้ว


เป็นไปไม่ได้มั้งดึงขนาดนี้แล้ว ใครจะบ้าไปยืนอยู่บนนั้น ฮ้าว... ง่วงแล้ว นอนดีกว่า ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 4 วันค่อยๆ คิดแล้วกัน
ว่าแล้วก็เปลี่ยนชุดนอนแล้วกระโดดขึ้นเตียง



..............................



ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ในความงัวเงีย ลู่กั้วได้ยินเสียงคนเคาะประตู เขาลูกขึ้นขยี้ตาแล้วถามออกไป
“ใคร?”
“ฉันเอง จิ้งฉี”
“มีอะไร” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวทันที “แกจะรีบฆ่าหมูไปส่งตลาดรึไง”
“เกิดเรื่องแล้ว ทุกคนไปที่ห้องโถงใหญ่กันหมดแล้ว นายรีบๆ ตื่นแล้วออกมาเร็วเข้า”
หา! หรือว่าจะมีใครเปิดกล่องได้แล้ว ลู่กั้วตัวชาเหมือนถูกน้ำเย็นราดลงมาทั้งตัว สติสตังแจ่มชัดขึ้นทันที


โอ้! ความฝันที่สวยงามสลายลงแล้วหรือนี่?
“พระเจ้า ขออย่าเพิ่งให้มีใครเปิดกล่องมังกรได้เลย” ทว่าท่าทางของจิ้งฉีเหมือนกับมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นแล้วอย่างนั้นแหละ


“แค่เปิดออกก็ใช้ได้งั้นรึ”
“ใช่ แต่ห้ามทำลายมังกร
แต่ละตัวลงอย่างเด็ดขาด”
จิ้งฉีก้มมองมังกรไม้ในมืออย่างใช้ความคิด

คู่ปริศนา บทที่10 เมฆหมอกแห่งความอาลัย

บทที่ 10
เมฆหมอกแห่งความอาลัย


วันต่อมา
คุณครูหลินเดินวนอยู่ในห้องอาจารย์ใหญ่ กำลังคิดว่าจะเข้าไปยื่นหนังสือลาออกดีหรือไม่ ถ้าลาออก ครูใหญ่ต้องถามแน่ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เหลืออีกแค่สองเดือนก็จะเกษียณแล้วแท้ๆ แต่มันน่ากลัวจริงๆ สอดมือเข้าไปในกระเป๋า กำกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ ในนั้นมีตัวหนังสือเลือดเขียนไว้ว่า
“ฉันรู้นะ 10 ปีก่อนแกไปทำอะไรไว้ ถ้าไม่อยากตายให้รีบมาหาฉันที่เดิม ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกทุกคน ไม่ให้แกมีหน้าไปพบใครอีก”
คุณครูหลินรู้สึกถึงความเย็นวาบกำลังไต่ขึ้นมาตามกระดูกสันหลังแทบจะไม่ได้คิด เขารีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึกเรียนทันที
ข้างบนลมพัดแรง คุณครูหลินยืนหันซ้ายขวามองไปรอบๆ ไม่เห็นใครสักคน ถึงตอนนี้จะเป็นช่วงกลางวันแต่ความกลัวก็ปลุกขนทุกเส้นของเขาให้ลุกชัน หรือจะมีคนแกล้ง? เป็นไปไม่ได้ นอกจากพวกเราทั้งห้าคนก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ คิดจะกลับลงไป ทว่า


“ปัง!”
ประตูดาดฟ้าถูกปิดเสียแล้ว เขารีบวิ่งเข้าหาประตูใช้พละกำลังทั้งหมดทั้งดึงทั้งเขย่าแต่ประตูเจ้ากรรมก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดลง ลมปั่นป่วนปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าของตึกเรียน เสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ มันเป็นเสียงผู้หญิง
“ฉันมารับแล้ว...”
“ไม่ ไม่นะ ไม่” คุณครูหลินร้องเสียงหลง สองมือกุมหัวตัวเองไว้ “ไม่นะเหวินลี่ อย่าฆ่าฉันเลย อยากให้ทำอะไรฉันก็จะทำ แต่อย่าฆ่าฉันเลยนะ ฉันอยากจะไถ่บาป ขอร้องล่ะเหลินลี่”
“ไถ่บาป สิ่งที่พวกแกทำกับฉัน อภัยให้ไม่ได้” เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นดุดัน
“เธอกระโดดลงไปเอง พวกเราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”
“แกก็รู้นี่ว่าฉันกระโดดลงไปทำไม”
“พวกเราแค่ล้อเล่น ไม่คิดจะทำร้ายเธอเลย เด็กคนนั้น....คนที่เธอชอบฉันก็ไม่ได้ฆ่า เขาสืบรู้ความจริงเข้า พวกเขาก็เลย...ผลักลงไป...ฉันห้ามแล้วแต่ แต่ไม่มีใครฟัง ฉันก็เลย...ขอร้องล่ะเหวินลี่ อย่าฆ่าฉันเลยนะ”
“เจ้าพวกบาปหนา พวกแกไม่เพียงแต่ทำให้ฉันต้องตายอย่างทรมาน พวกแกยังไปฆ่าเขาอีก” สุ้มเสียงของเธอเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ฉันสำนึกผิดแล้ว พวกเราทำผิด ตอนนั้นทุกคนเมาก็เลยคิดจะล้อเธอเล่น ไม่ได้อยากจะทำอะไรจริงๆ จังๆ หรอก...คิดไม่ถึงว่าเธอจะกระโดดลงไป พวกเราก็เลยห้ามไม่ทัน”
“เหอๆๆ ล้อเล่นงั้นเหรอ?” น้ำเสียงเย็นยะเยือก
“ใช่ ใช่แล้ว” เหงื่อเย็นชื้นเต็มฝ่ามือคุณครูหลิน เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ “พวกฉันไม่คิดว่าเธอจะแค้นขนาดนี้ ถึงขนาดทำให้คนตายไปมากมาย”
“ดี ในเมื่อแกสารภาพมา ฉันก็จะปล่อยแกไป แต่แกต้องรีบไปสารภาพความจริงกับตำรวจ ไม่งั้นฉันจะให้แกตายอย่างทุเรศที่สุด”
“ได้ๆ ฉันจะไปสารภาพความจริงกับตำรวจ” ในชั่วโมงนี้คุณครูหลินไม่ใส่ใจกับเรื่องศักดิ์ศรีหรือชื่อเสียงอีกแล้ว ขอเพียงมีชีวิตรอดกลับไปได้ก็พอ
“ไปสิ” เสียงผุ้หญิงตะคอกดัง ทันใดนั้นกลุ่มเมฆดำและลมแรงก็สลายตัวไปในพริบตา แล้วประตูดาดฟ้าก็เปิดออกเองโดยอัตโนมัติ นี่มันการกระทำของภูตผีแท้ๆ
“ได้ๆ” ครูหลินวิ่งออกจากประตูไปทั้งที่ยังสั่นทั้งตัว
“ชิ ปอดแหกชะมัด”
ลู่กั้วและจิ้งฉีออกมาจากที่ซ่อนตัว สิ่งที่คุณครูหลินเห็นทั้งหมดเป็นฝีมือของลู่กั้วนี่เอง ตอนนี้พวกเขาก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในปีนั้น
“ถึงเวลาต้องสวดส่งวิญญาณแล้ว” จิ้งฉีเตือน แม้จะยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุและจุดจบที่แท้จริง แต่ก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นโรคอะไร การจ่ายยาก็จะง่ายขึ้น เรื่องสวดส่งวิญญาณก็ไม่ลำบากอีกต่อไป
“รู้แล้วน่า ไม่ต้องมาสั่ง” ลู่กั้วบ่น
เจ้าผมเงินเดินไปกลางดาดฟ้าเตรียมที่จะท่องคาถา ทันใดนั้นครูหลินก็กลับขึ้นมาอีกครั้ง
“โอ๊ะ!”
ทั้งสองสะดุ้งตกใจ คิดไม่ออกว่าการแสดงแหกตาเมื่อกี้ผิดพลาดตรงไหน คุณครูหลินถึงได้รู้เรื่องเข้า
แต่ทว่าคุณครูกลับดูเหม่อลอย สายตาเฉยเมย เดินตรงไปข้างหน้าราวหุ่นยนต์ ริมฝีปากขยับเหมือนพูดอะไรอยู่ พลางค่อยๆ เดินไปจนถึงริมดาดฟ้า
“เฮ้ จะทำอะไรน่ะ” ลู่กั้วรู้สึกแปลก จึงตะโกนออกมา
ครูหลินเหมือนจะไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา หรือว่า...จิ้งฉีเริ่มรู้สึกแล้ว
“คุณครูหลิน” เขาพุ่งตัวไปหาอย่างรวดเร็ว แต่ร่างกายของคุณครูร่วงหล่นลงดาดฟ้าไปแล้ว จิ้งฉีใช้ความไวกระโดดคว้าขาเขาเอาไว้
“ไอ้หมูเอ๊ย” ลู่กั้วจับขาของจิ้งฉีไว้อีกที ทั้งสามคนห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ลู่กั้วพยายามดึงทั้งสองคนขึ้นมา
“ตอนนี้ครูหลินเป็นพยานปากสำคัญ จะปล่อยให้เกิดเรื่องไปก่อนไม่ได้” จิ้งฉีที่ยังห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศพูดขึ้น
“ชิ ไม่บอกก็รู้น่า” ลู่กั้วสวนออกมา แต่ตอนนี้ทั้งสามคนถูกแขวนอยู่แบบนี้ มีแต่ขาของลู่กั้วเท่านั้นที่เกี่ยวพื้นดาดฟ้าเอาไว้ จะดึงคนอื่นขึ้นไปมันใช่เรื่องง่ายเสียเมื่อไหร่ เขาพยายามคิดหาวิชาคาถาที่จะช่วยแก้ปัญหานี้
“พลังลม” จิ้งฉีรีบพูด รู้ดีว่าถ้าอาศัยพลังเวทของเขาก็คงจะช่วยตัวเองได้คนเดียวเท่านั้น
“ฉันรู้น่า ไม่ต้องให้แกมาสอนหรอก” ลู่กั้วเคือง



“เจ้าแห่งลมจงฟัง ขอยืมพลังของเจ้า นำพาพวกข้าสู่ที่ปลอดภัยเดี๋ยวนี้”
เงียบสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อะไรกัน หรือว่าที่นี่จะเป็นเขตต้านพลังเวท” ลู่กั้วร้อนรน
“เอาเถอะน่า หาทางอื่นช่วยตัวเองกันก่อนตอนนี้ชีวิตของพวกเราเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย รอให้คนมาช่วยไม่รู้จะไหวรึเปล่า”
“ก็เพราะแกนั่นแหละ ไม่มีพลังเวทจะช่วยเหลือคนอื่น ทำให้ฉันต้องมาเดือดร้อนไปด้วย ฉันไม่เหมือนกับกะเทยอย่างนายหรอก”
“ห้องอยู่แบบนี้ รีบหาทางแก้ดีกว่า” จิ้งฉีตัดบท
จะทำอย่างไรดี ที่จริงถ้าเพียงแต่ลู่กั้วปล่อยมือ เขาก็จะสามารถพลิกตัวกลับขึ้นไปบนดาดฟ้าได้ ดังนั้น ตอนนี้สิ่งที่พอจะสามารถทำได้มีอยู่ทางเดียว
ลู่กั้วสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด
“ช่วยด้วย! มีใครอยู่มั้ย ช่วยด้วย! จะตายอยู่แล้ว ช่วยด้วย!”
“ไอ้โง่ ลมแรงขนาดนี้ แถมชั้นห้าก็เป็นห้องธุรการสมาคมและตอนนี้ก็เป็นชั่วโมงเรียนจะมีใครอยู่เล่า มีคนได้ยินก็แปลกแล้ว” จิ้งฉีคิดว่าลู่กั้วทำเป็นแต่เรื่องโง่ๆ
“ใช่ แถวนี้คนน้อย ตะโกนไปก็ไม่มีใครสนใจ” ลู่กั้วไม่ได้ฟังจิ้งฉีพูดให้จบ “แต่เอาเถอะ อาจจะมีปาฎิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”
“มาเร็ว สาวสวยแก้ผ้าอยู่ มาดูเร้ว” ลู่กั้วตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“อะไรกันหมอนี่” จิ้งฉีบ่นไม่มีเสียง
“เอ๊ะ? ไม่เห็นจะมีใคร” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากดาดฟ้า ลู่กั้วจึงตะโกนอย่างดีใจ “มีคนมาแล้ว”
“ทางนี้ พวกเราอยู่ทางนี้” นี่เขาได้ยินจริงๆ เหรอเนี่ย จิ้งฉีมึนงง หลังจากนั้นห้านาที ทั้งสามคนก็ถูกฉุดขึ้นมาจากความเป็ยความตาย
“ขอบคุณครับ” จิ้งฉีขอบคุณผู้ช่วยชีวิตที่นั่งหายใจหอบอยู่บนพื้น
“เหอะๆ ฉันว่าแล้ว ตะโกนว่าผู้หญิงแก้ผ้าได้ผลกว่า” ลู่กั้วภูมิใจ
“ทำไมพวกเธอเล่นอะไรอันตรายอย่างนี้”
“ก็ครูหลินนั่นแหละ”
“ครูหลิน?” เขาคนนั้นมองไปที่ครูหลินซึ่งนั่งอยู่อีกด้าน “ครูเป็นไงบ้าง?”
“ฉันมันไร้ประโยชน์ ฉันมันคนไร้ค่า...” จิ้งฉีมองอย่างตกใจ คุณครูพึมพำเป็นคำพูดเดียวกับผู้หญิงคนนั้น
“เขาไปกระแทกถูกอะไรตรงไหนรึเปล่า?”
ผู้มีบุญคุณถาม เห็นคุณครูหลินที่นั่งอยู่ตาเหลือกขึ้นมา
“เอ๊ะ คุณเป็นหมอเหรอครับ?” ลู่กั้วถาม
“ใช่ ฉันเป็นหมอประจำอยู่ที่โรงเรียนนี้ พวกเธอเรียกว่าหมอหลิวก็ได้ จริงสิ ทำไมพวกเธอไม่เข้าเรียน มาอยู่ที่นี่ทำไม”
ลู่กั้วพูดไม่ออก
“ผมจะมาชกกับไอ้หมอนี่ว่าใครเจ๋งกว่ากัน” จิ้งฉีตอบแบบถูไถไม่รู้จะอธิบายว่ายังไง
“ใช่ๆ จู่ๆ ครูหลินเดินขึ้นมาแล้วก็ทำท่าจะกระโดดลงไป พวกเราก็เลยช่วยกันดึงเอาไว้” ลู่กั้วไหลตามน้ำ
“สภาพของครูหลินแปลกมาก พวกเธอรีบไปเรียนหนังสือกันก่อนเถอะ ทางนี้ฉันดูแลเอง” คุณหมอหลิวประคองครูหลินให้ลุกขึ้น
แต่เด็กหนุ่มทั้งสองยังอยากจะดูแลครูเอง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันจะแจ้งเรื่องที่พวกเธอช่วยคนเอาไว้ให้ ไม่ปิดบังหรอก” คุณหมอยิ้ม
“ดีครับ ถ้างั้นก็รบกวนคุณหมอด้วยแล้วกัน” ลู่กั้วเห็นว่าหมอคนนี้เป็นคนดีที่ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ ก็เลยไม่คิดระแวง แต่ว่า...ตรงข้ามกับความคิดของจิ้งฉีอย่างสิ้นเชิง
“พวกเธอไปเรียนกันเถอะ ถ้าใครถามก็บอกว่าฉันดูแลคนไข้อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” คุณหมอรีบตัดบท
ขณะที่ทั้งสองเดินลงมาจากดาดฟ้า จิ้งฉีเอาแต่ต่อว่าลู่กั้วไม่หยุดปาก
“ทำไมปล่อยให้คนสำคัญขนาดนั้นไปอยู่ในมือคนอื่น”
“ดูท่าทางครูหลินน่าจะมีปัญหา อีกอย่างเขาเป็นคนช่วยชีวิตพวกเรานะ” ลู่กั้วทำสีหน้าไร้เดียงสา
“ครูหลินเป็นพยานปากเอก ทำไมนาย...”
“แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่ปฎิเสธไปเล่า”
“ก็นายพูดซะขนาดนั้นแล้ว ฉันจะปฎิเสธได้ไง” จิ้งฉียังรู้สึกละล้าละลังอยู่จึงไม่ได้เอ่ยในสิ่งที่อยากจะพูด
“เกิดอะไรขึ้นฉันจะรับผิดชอบเอง เป็นแบบนี้โอเคม่ะ” ลู่กั้วเริ่มอารมณ์เสีย เดินออกจากประตูใหญ่ของตึกเรียน เสียงพูดเงียบลงแล้ว แต่ทว่า



“ตุ้บ!”
บางสิ่งบางอย่างหล่นลงมาต่อหน้าต่อตาพวกเขา ลู่กั้วและจิ้งฉียืนนิ่งตกใจอยู่อย่างนั้น สิ่งที่ตกมาคือ ครูหลิน
ลู่กั้วเอานิ้งแตะที่จมูกของครู พูดออกมาเสียงแผ่ว “สายไปแล้ว”
ทันใดนั้นจิ้งฉีก็คิดอะไรขึ้นมาได้ รีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า
“ไอ้บ้าเอ๊ย” ลู่กั้วเพิ่งจะได้สติ ตามจิ้งฉีไปทันที
คุณหมอหลิวนั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ท่าทางเหมือนเสียสติ อ้าปากกว้างจนยัดไข่เข้าไปได้ทั้งลูก พอเห็นจิ้งฉีและลู่กั้วกลับขึ้นมา ก็ชี้นิ้วที่สั่นเทาไปข้างหน้า พูดออกมาเสียงสั่น “ขะ...เขา เขา”
“พวกเราเห็นแล้ว เรื่องมันเป็นยังไง?” จิ้งฉีหน้าเครียด
“ฉันกำลังจะพยุงเขากลับไปที่ห้องพยาบาล แต่ว่าครูหลินเสียสติ ผลักฉันล้มลงแล้วกระโดดลงไป”
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้” ลู่กั้วตะโกน
“คำสาป คำสาปแน่ๆ” หมอหลิวตะโกนลั่น “เมื่อก่อนฉันไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้เลย แต่ตอนนี้มีคำสาปเท่านั้นที่อธิบายได้ คิดดูสิ คนดีๆ อย่างครูหลินจะเปลี่ยนไปกกะทันหันอย่างนี้ได้ยังไง? ต้องเป็นคำสาปแน่ๆ”
หรือจะเป็นคำสาปจริงๆ แต่จิ้งฉีก็ยังรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่ดี



............................




ไป๋จิ้งฉีเงยหน้าขึ้นมองป้ายหน้าประตูที่เขียนว่า ..ห้องพยาบาล.. ในใจยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“เอ๋...เธอเมื่อวาน...” คุณหมอกำลังจะออกไปข้างนอก เห็นจิ้งฉีก็รู้สึกประหลาดใจ “ไม่สบายเหรอ? ทำไมไม่เข้ามาล่ะ” พูดเสร็จก็หันตัวกลับเข้าไปข้างใน
“ขอบคุณครับ” จิ้งฉีตามเข้ามาโดยดี เขามองไปรอบๆ ก่อนจะถามขึ้น “เมื่อวานคุณหมออยู่ตรงนี้ ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากพวกผมเหรอครับ?”
“ไม่หรอก” หมอหลิวชี้ไปที่หน้าต่าง เห็นตึกเรียนหลังนั้นอยู่ข้างนอก “ฉันเห็นนะ ยังคิดว่าตัวเองตาฝาดเลย”
จิ้งฉีเดินตรงไปที่หน้าต่าง ไม่ผิด จากตรงนี้สามารถมองเห็นตึกเรียนหลังนั้นได้อย่างชัดเจน
“ทำไมเหรอ ไม่เชื่อฉันรึไง” หมอหลิวถามยิ้มๆ
“เปล่าครับ แค่รู้สึกแปลกๆ พวกผมหล่นลงมาได้ประมาณ 3 นาทีจากชั้น 5 ของตึกหลังนี้ไปดาดฟ้าของตึกนั่น เวลาแค่นั้นจะวิ่งไปถึงได้ยังไง”
“เธอคิดว่าฉันผลักเขาลงไปงั้นเหรอ” ถึงจะรู้ตัวว่าถูกสงสัยแต่คุณหมอหลิวก็ยังคงยิ้ม


ใช่ ประเด็นนี้น่าจะเป็นไปได้
แต่คนฉลาดอย่างจิ้งฉีไม่บอกความลับกับใครหรอก
“แต่ยังไง ฉันก็คิดไม่ออกว่าคุณครูหลินฆ่าตัวตายทำไม” คุณหมอหลิวพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ


อย่างน้อยที่สุดเราก็ไม่มีหลักฐานพอที่จะยืนยันว่าเป็นฝีมือของเขา อีกอย่างเขาก็ช่วยพวกเราเอาไว้ ถ้าเขาไม่ไปที่นั่นเราอาจจะตายไปแล้วก็ได้...
จิ้งฉีสับสน
“ใช่ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอหลิว” จิ้งฉีส่งยิ้มให้แล้วจากมา
“ไม่เป็นไร” คุณหมอโบกมือยิ้มตอบ
หลังออกมาจากห้องพยาบาลจิ้งฉีมองดูนาฬิกา จากนั้นวิ่งเต็มฝีเท้า ตรงไปยังตึกเรียนข้างหน้า อยากจะลองดูว่าจากตึกนี้ไปตึกนู้นจะใช้เวลาเท่าไหร่ ต้องการแค่ 3 นาที 3 นาทีจริงๆ จิ้งฉีหอบหายใจแฮ่กๆ ยกนาฬิกาข้อมือดู
แต่เดี๋ยว อะไรบางอย่างแวบขึ้นมาในสมอง
ตอนที่คุณหมอหลิวขึ้นมา พูดออกมาว่า ‘ไม่เห็นมีใคร’ ประโยคนี้น่าจะหมายความว่า เขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจึงจะถูก หากว่ามองเห็นจากตึกข้างๆ ล่ะก็ โดยธรรมชาติก็น่าจะวิ่งตรงไปช่วยทันที แล้วคุณหมอพูดแบบนั้นออกมาทำไมกัน?
อีกอย่างเสียงหอบหายใจของเขาก็สม่ำเสมอ ไม่ได้หอบเลย หมอคนนี้น่าสงสัยจริงๆ
“ฮัลโหล ลุงฟงเหรอครับ มีเรื่องให้ช่วยสืบหน่อย” จิ้งฉีโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากหลี่ฟง
ช่วงบ่าย บนดาดฟ้าตึกเรียน
“นี่นายประสาทรึเปล่า อยากจะแกล้งฉันนักใช่มั้ย?” ลู่กั้วโมโหบ่นด่าไปชุดใหญ่ “ถึงนายจะฝีมือห่วย แต่เรื่องกล้วยๆ แค่นี้ก็ทำไม่ได้เลยรึไง ฉันไม่ใช่ค้างคาวนะ จะให้มาห้อยหัวแบบนี้ทำไม?”
“หมอคนนั้นน่าสงสัย ฉันจะให้เขารับสารภาพเอง” จิ้งฉีขีเกียจอธิบายให้มากความ ถึงอธิบายไปเจ้านี่มันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“ไม่มั้ง เขาช่วยชีวิตพวกเราไว้นะ นายยังคิดไปหาเรื่องเขาอีก”
จิ้งฉีไม่ฟังคำส่งเสียงอยู่ในลำคอ ฮึ ไร้เดียงสาซะจริงเจ้าหมาป่า
“นี่นายคิดว่าเขาบังเอิญโผล่มาจริงๆ รึไง”
“หมายความว่าเขาเป็นคนผลักครูหลินลงไปงั้นเหรอ” ลู่กั้วยังไม่เข้าใจ คุณหมอหลิวทำอย่างงั้นทำไมกัน
“มันก็ไม่แน่” จิ้งฉีเสียงต่ำ
“หรือว่าจะถีบลงไป?” ลู่กั้วถามอีก
“ถ้าอยากรู้นักก็ทำตามที่ฉันบอกแล้วกัน”



.............................



จิ้งฉีแอบอยู่อย่างเงียบเชียบ พอคุณหมอหลิวเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า ก็มองไปรอบๆ ไม่เห็นใครสักคน จึงคิดจะกลับลงไป แต่ได้ยินเสียงเรียกเอาไว้เสียก่อน
“ในที่สุดคุณก็มาจนได้” จิ้งฉีและลู่กั้วออกมาจากที่ซ่อน
“นึกว่าใครมาเล่นตลก ที่แท้ก็พวกเธอนี่เอง” คุณหมอหลิวยิ้มเจื่อนๆ
“นี่ไม่ใช่การเล่นตลก” จิ้งฉียิ้มอย่างเยือกเย็น “ตอนที่มาช่วยพวกผมคุณไม่ได้อยู่ที่ห้องพยาบาล แต่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่”
หมอหลิวสั่นเล็กน้อย “ฮ่าๆ พวกเธอคิดได้ยังไงกัน”
“ห้องพยาบาลอยู่ทางขวามือ แต่พวกผมหล่นไปทางด้านซ้ายของดาดฟ้า หรือว่าคุณหมอมีตาทิพย์มองทะลุผ่านตึกได้ละครับ”
หมอหลิวยืนฟังด้วยรอยยิ้ม
“และตอนที่คุณเดินขึ้นมา คุณพูดออกมาว่า ไม่เห็นมีใคร ถ้ามองเห็นพวกเราจากห้องพยาบาลแล้วทำไมคุณถึงพูดออกมาอย่างนั้นล่ะ”
“โอ้” ลู่กั้วตาสว่างขึ้นทันที
“หากว่าคุณวิ่งมาจากห้องพยาบาลจริงล่ะก็ ไม่มีทางที่คุณจะไม่หอบเลยซักนิด ผมจึงมั่นใจว่าเวลานั้นคุณต้องอยู่ในตึกหลังนี้ และก่อนหน้านั้นคุณก็พบครูหลินแล้ว”
“หือ พบครูหลินก่อนแล้ว?” ลู่กั้วงง
“ใช่ นายจำได้ไหม ครูหลินจากไปแล้วพักหนึ่งก็กลับขึ้นมา แล้วท่าทางก็เปลี่ยนไป”
“ใช่ๆ” ตอนนั้นลู่กั้วคิดว่าถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงซะอีก
คุณหมอหลิวพูดออกมาเสียงจืด “มันก็แค่คำสาป”
“คำสาป ถ้าเป็นคำสาปจริงๆ ทำไมครูหลินไม่พูดออกมาว่า ฉันมันเป็นคนเลวล่ะ แต่กลับบ่นว่าฉันมันคนไร้ประโยชน์ ไม่สมเหตุสมผลเลย”
“เรื่องนี้ เธอคงต้องไปถามวิญญาณพวกนั้นดูเองแล้วล่ะ” หมอหลิวพูดขึ้นเสียงเยือกเย็น
“ผมจะเฉลยให้เองก็ได้ ที่จริงมันไม่ใช่คำสาป แต่เป็นการสะกดจิต” จิ้งฉีพูดเสียงดังฟังชัด
“สะกดจิต” ลู่กั้วรู้สึกว่าชักน่าสนใจขึ้นมาแล้ว
“คุณหมอหลิว เมื่อก่อนคุณเป็นนักค้นคว้าที่โรงพยาบาลจิตเวชถูกมั้ย” จิ้งฉีได้ไหว้วานให้หลี่ฟงตรวจสอบมาแล้ว
“เป็นเรื่องปกติ นักเรียนทั่วไปมักจะมีปัญหาด้านสภาพจิต มีจิตแพทย์มาช่วยให้คำปรึกษามันก็เป็นเรื่องดี ดูสิตาของเธอกะพริบถี่แบบนี้ สมัยก่อนคงเคยถูกทำร้ายมา เวลาพูดก็เลยไม่ค่อยจะมองตาคนอื่น นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอขาดความเชื่อมั่นในตนเอง”
“ผมจะเป็นยังไง ก็ไม่เกี่ยวกับคุณ” จิ้งฉีหลบตา
“ฮะ ฮะ ดีนี่ พูดได้ดี ผมไม่เหมือนกับหมอนี่ ดูซิว่าผมเป็นคนยังไง” ลู่กั้วท้า
“เธอก็เหมือนกัน ถึงจะมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง แต่แววตาเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง เหมือนไม่เคยอยู่กับครอบครัวมาก่อน”
“พูดส่งเดช” ลู่กั้วโมโห “บ้านของผมอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน พ่อแม่ฉันน่ะเก่งกาจที่สุดในกลุ่ม ทุกคนรักผมกันหมดแหละ”
“ฮ่าๆ จริงเหรอ?” เห็นได้ชัดเจนว่าหมอหลิวไม่เชื่อ
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง” จิ้งฉีตะคอก “คุณไม่ต้องแก้ตัว พวกเราสืบดูแล้ว คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าตัวตายเมื่อสิบปีก่อน ผู้ชายที่ตายเป็นพี่ชายของคุณ”
“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงจริงๆ นี่พวกเธอสืบจนรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ คงไม่ใช่นักเรียนธรรมดาแล้วมั้งเนี่ย” หมอหลิวพูดปนยิ้ม ไม่กลัวจะถูกเปิดโปงความลับแม้แต่น้อย
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ผมเป็น...” ลู่กั้วจะบอกสถานภาพที่แท้จริง แต่ถูกจิ้งฉีห้ามไว้ก่อน
“พวกเราจะเป็นใครไม่เกี่ยวกับคุณ ในปีนั้น พี่ชายที่คุณรักตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ แน่นอนคุณต้องสืบสาวหาความจริง จนรู้เรื่องของคนห้าคนที่เป็นต้นเหตุทำให้พี่ชายคุณต้องตาย คุณก็เลยวางแผนที่จะแก้แค้น”
“ฮ่าๆ เอาเลย พูดต่อสิ” คุณหมอหลิวไม่สะทกสะท้าน
“เพราะมีสองคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว คุณจึงเลือกลงมือกับคนในครอบครัวเขาแทน คุณอยากจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของการสูญเสียบ้าง คุณสะกดจิตลูกของพวกเขาให้กระโดดลงไป พวกนั้นจึงได้แต่พึมพำว่า ฉันมันคนไร้ประโยชน์ ฉันมันแค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น”
“ดี เหตุผลไม่เลวเลยล่ะ แต่ที่พวกเธอพูดมานี่มีหลักฐานรึเปล่า พวกเธอมีหลักฐานว่าฉันเป็นคนทำไหม ถึงคนที่ตายไปเมื่อสิบปีก่อนจะเป็นพี่ชายฉัน แต่มันก็ไม่ใช่หลักฐานยืนยันว่าฉันฆ่าคน เรื่องจิตเวชก็เหมือนกัน เป็นหลักฐานไม่ได้ ถึงพวกเธอจะบอกว่าตอนที่ห้อยหัวลงไปฉันไม่มีทางจะเห็นพวกเธอได้จากห้องพยาบาล มันก็ไม่ใช่ข้อยืนยันว่าครูหลิวถูกสะกดจิตจึงกระโดดลงไปตาย”


ไอ้เลว! ไม่เสียทีที่เรียนจิตวิทยามา มัดตัวยากมากเสียจจริง
จิ้งฉีจนปัญญา ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดเขาได้ แล้วทั้งหมดก็เป็นเพียงการคิดวิเคราะห์ตามหลักเหตุผลเท่านั้น ถึงหมอหลิวจะยอมรับ แต่สำคัญที่สุดคือต้องหาเหตุผลที่มีน้ำหนักพอจะเป็นหลักฐานมัดตัวไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้
“แกหมายความว่า พวกเราไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าเราห้องหัวอยู่ ในด้านที่แกมองไม่เห็นใช่มั้ย” ลู่กั้วเหมือนจะคิดอะไรได้
“ฮ่าๆ” หมอหลิวหัวเราะ “ใช่ ยืนยันไม่ได้หรอก ฮ่าๆ”
“ดี ผมจะเอาหลักฐานมาให้ดู” ลู่กั้ววิ่งไปยังด้านที่ตัวเองห้อยต่องแต่งอยู่เมื่อวาน “เมื่อวานผมกินซอสมะเขือเทศ แล้วมันก็หยดอยู่บนรองเท้า ตอนเอาเท้าเกี่ยวพื้นจับพวกเขาสองคนเอาไว้ น้ำซอสก็เลยเปื้อนติดอยู่ตรงนี้ไง” ลู่กั้วชี้นิ้วไปที่คราบซอสมะเขือเทศบนดาดฟ้า “นี่ไงหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าพวกเราตกไปตรงนี้” ที่จริงแล้วมันเป็นรอยใหม่ที่จิ้งฉีให้เขาทำไว้เมื่อกี้นี้เอง ถึงจะเป็นของปลอม แต่ก็น่าจะเป็นหลักฐานมัดตัวหมอหลิวได้
“เฮอะ พวกเธอนี่อ่อนหัดจริงๆ แกล้งเอาซอสมะเขือเทศหยดไว้แล้วคิดว่ามันจะเป็นหลักฐานได้งั้นเหรอ แค่หมอชันสูตรก็รู้แล้วว่ามันติดอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเธออย่ามาใช้วิธีปัญญาอ่อนอย่างนี้เลย ไม่ได้ผลหรอก”
“แก แกรู้ได้ไง” ลู่กั้วผงะถอยหลัง
“หึ คิดแล้วไม่มีผิด” หมอหลิวเบาใจไปเปลาะหนึ่ง อันที่จริงเมื่อครู่เขาก็ตกใจอยู่เหมือนกัน


นี่จะไม่มีวิธีทำให้หมอนี่ยอมจำนนได้เลยหรือ
จิ้งฉีกำหมัดแน่น
“พวกแกยังเด็ก รอสัก 10 ปีค่อยมาว่ากันต่อแล้วกัน” หมอหลิวทำท่าจะจากไป
ทันใดนั้นประตูดาดฟ้าก็ปิดดังปัง ทั้งสามคนตกใจพร้อมๆ กัน
“ไอ้พวกเด็กสารเลว” ถึงหมอหลิวจะใช้พละกำลังอย่างไรก็เปิดออกไปไม่ได้
“ข้างนอกนั่นมีพวกแกอยู่ใช่ไหม บอกให้มันมาเปิดประตูเดี๋ยวนี้” เขาตะคอกใส่ลู่กั้วและจิ้งฉี ถึงสีหน้าจะเรียบเฉย แต่กิริยาท่าทางดูสับสนหวั่นวิตก
‘ไอ้หมอนี่ยังพอจะมีสมองอยู่บ้าง รู้จักติดยันต์ป้องกันไว้ที่ประตู’
ทั้งลู่กั้วและจิ้งฉีมองหน้ากัน ต่างก็คิดว่าอีกฝ่ายติดยันต์เอาไว้
“โชคร้ายกำลังมาเยือนแล้วล่ะคุณหมอ” ลู่กั้วส่งเสียงดีใจ
“ฮึ ผีเผอ คำส่งคำสาปอะไรกัน ไร้สาระ เรื่องพวกนั้นฉันเป็นคนสร้างข่าวขึ้นมาเอง มันจะมีอยู่จริงได้ยังไง” หมอหลิวมองทั้งสองอย่างเหยียดหยาม
“จริงเหรอ? ก่อนหน้านี้มีการเชิญหมอผีมาปราบตั้งหลายครั้ง แต่เห็นว่าพวกนั้นกลายเป็นโรคประสาทกันไปหมด” จิ้งฉียิ้มเยือกเย็น
“ ฮ่าๆ ไอ้พวกลวงโลกพวกนั้นมันถูกฉันสะกดจิตทั้งนั้น” หมอหลิวหัวเราะเสียงดัง “โลกนี้มันมีคำสาปที่ไหนกัน วิญญาณแค้นบ้าบออะไร ทุกอย่างเป็นฝีมือฉันทั้งหมด” หมอหลิวพูดออกมาอย่างหมดเปลือก
“พวกเขาทั้งห้าคน เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด ไม่บอกให้ใครรู้ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าพี่ชายของคุณถูกฆ่าตาย” ลู่กั้วสงสัย
“ในโลกนี้ฉันกับพี่มีแค่กันและกันสองคนเท่านั้น ตลอดมามีอะไรพวกเราก็คุยๆกันทุกเรื่องเสมอ ถึงตอนนั้นฉันจะอยู่ต่างประเทศก็จริง แต่ฉันก็รู้ว่าเขารักอยู่กับครูของตัวเอง แต่อยู่ๆ ครูคนนั้นก็ฆ่าตัวตายอย่างไม่มีสาเหตุ ทีแรกเขาไม่เชื่อว่ามันเป็นการฆ่าตัวตายจริงๆ จึงพยายามสืบจนรู้ความจริง ว่าไอ้พวกนั้นมันจะข่มขืนเธอ เธอจึงเลือกจะกระโดดลงจากที่นี่เพื่อปกป้องตัวเองจากมลทิน พี่ชายของฉันจดทุกอย่างไว้ในบันทึกประจำวัน ฉันไปพบมันเข้าตอนเก็บข้าวของของเขา จากนั้นมาฉันก็สาบานว่าจะแก้แค้นแทนพี่ให้ได้” หมอหลิวดูฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย
“น่าเสียดาย เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว คนพวกนั้นได้ขึ้นเป็นหัวหน้า บางคนได้ย้ายไปที่อื่น ฉันก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ครอบครัวของมันแทน แล้วก็สร้างข่าวบอกกับคนอื่นว่าที่นี่ต้องคำสาป ลมปากคนน่ากลัวเสมอ ยิ่งเล่าปากต่อปากยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายฉันจึงเริ่มลงมือแก้แค้น”
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณหมอนะ แต่ที่คุณแก้แค้นไปนั่นเป็นลูกหลานของเขาทั้งนั้น ไม่รู้สึกว่ามันเกินไปหน่อยรึไง”
“เกินไป? มนุษย์เราตั้งแต่แรกเกิด ตาชั่งชีวิตก็เริ่มลำเอียงแล้ว พี่ชายฉันทำอะไรผิดงั้นเหรอ พวกมันต่างก็ทำเพื่ออนาคตของตัวเอง เพียงแค่ไม่อยากจะถูกสังคมลงโทษก็เลยฆ่าพี่ชายฉัน แค่นี้ก็ถือว่าเมตตาเกินพอแล้วสำหรับพวกมัน ฉันไม่เคยคิดเสียใจที่ทำลงไปแบบนั้นเลย” แววตาของหมอหลิวเย็นชาไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย มีเพียงเปลวเพลิงแห่งความแค้นเท่านั้นที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณก็น่าจะคิดถึงจิตใจของพี่ชายคุณบ้าง” จิ้งฉีเข้าใจแล้วว่าทำไมที่นี่ถึงมีไอหมอกแห่งวิญญาณปกคลุมอยู่ และประตูถึงได้ปิดเอง
“ความรู้สึกของพี่งั้นเหรอ” หมอหลิวคิ้วขมดว ไม่เข้าใจคำพูดของจิ้งฉี
“ได้ฟังแบบนี้แล้ว ผมคงต้องทำให้คุณได้เห็นความในใจของพี่ชายคุณแล้วล่ะ” จิ้งฉีกัดลิ้นตัวเอง เลือดหยดลงบนพื้นพริบตานั้นก็กลายเป็นแสงสีขาวลอยขึ้นมา ท่างกลางกลุ่มแสงสีขาวนวลนั้นปรากฎเงาร่างของใครคนหนึ่ง คุณหมอหลิวนิ่งงันไปทันที
“พี่...”
“หลิวเฉียน...” แววตาของพี่ชายเต็มไปด้วยความปวดร้าว “เพราะพี่แท้ๆ นายถึงต้องทิ้งจิตใจที่ดีงามของตัวเองไป พี่ไม่น่าเลย”
“พี่...” หมอหลิวยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“พี่อยู่ที่นี่มาตลอด อยู่คนละมิติกับพวกนาย พี่เห็นนายฆ่าพวกเขาคนแล้วคนเล่า ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่พวกเขาทำกับพี่เลย”
“พี่ ฉันทำเพื่อพี่” หมอหลิวเสียงแข็งอยู่ในลำคอ
“นายไม่ควรปล่อยให้จิตใจมีแต่ความเคียดแค้นเลย อาเฉียน ที่พี่อยากจะเห็นจริงๆ คือเห็นนายมีแต่ความสุข ที่จริงแค่นายเอาสมุดบันทึกไปให้ตำรวจ พวกนั้นก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ไม่ทำให้จิตวิญญาณของนายต้องสกปรกอย่างนี้”
“ฉันรู้ แต่ฉันยอมไม่ได้หรอกที่จะเห็นพวกมันรับโทษติดคุกกันแค่ 10-20 ปีแล้วกลับมาเสวยสุขใช้ชีวิตกันตามสบายได้อีกครั้ง แต่พี่กับครูต้องตายอย่างทรมาน แม้แต่วิญญาณก็ยังต้องล่องลอยไปสู่สุคติไม่ได้ ทั้งหมดเป็นความผิดของพวกมัน”
“ไม่ ไม่ใช่ว่าพวกพี่ไปไม่ได้ แต่พี่ปล่อยนายไว้อย่างนี้ไม่ได้ต่างหากอาเฉียน พี่เป็นห่วงนายนะ”
“ฉัน...” หมอหลิวงงอยู่อย่างนั้น
“พี่ห่วงนาย รู้ดีว่าถ้านายสืบรู้ความจริงทีหลังว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ นายจะต้องไม่ปล่อยคนพวกนั้นแน่ ดังนั้นพี่จึงเขียนความจริงทั้งหมดลงสมุดบันทึก เพื่อให้นายเอาไปให้ตำรวจ เรื่องทุกอย่างจะได้จบ แต่ไม่นึกเลยว่านายจะ...”
“พี่ ฉัน...ฉันเข้าใจแล้วพี่...” หมอหลิวก้มหน้าลง
“ขอโทษนะพี่ ฉันทำให้พี่ผิดหวัง” เขาค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวๆ จนไปถึงริมดาดฟ้า “ฉันเสียใจจริงๆ ไว้เราไปคุยกันในโลกหน้านะพี่” ขณะพูดหมอหลิวก็พุ่งตัวกระโดดลงเบื้องล่าง
“เดี๋ยว!” ลู่กั้วเห็นท่าไม่ดีกระโดดไปจับตัวหมอเอาไว้
“คิดว่าตายแล้วจะแก้ปัญหาได้งั้นเหรอ อย่าคิดนะว่าฉันจะปล่อยให้แกตายง่ายๆ ไม่มีวันซะหรอก” พูดออกมาอย่างโกรธเคือง
“ฉันอยากตาย แกจะเอายังไงกับฉันอีก”
“ความตายก็ไถ่โทษนายไม่ได้หรอก ถ้าคิดจะไถ่โทษให้ตัวเองก็ต้องกล้ารับกับสิ่งที่จะตามมา” เสียงพี่ชายดังก้องกังวานอยู่บนฟากฟ้า
“เข้าใจแล้ว” น้ำตาใสๆ ไหลออกมาจากสองตาของหมอหลิว



...........................



จิ้งฉีและลู่กั้วพยักหน้าให้กัน มองหลี่ฟงควบคุมตัวหมอหลิวจากไปแล้วถอนหายใจยาวออกมาพร้อมกัน
“จบสิ้นซะที...เฮ้อ”ลู่กั้วพ่นลมออกจากปาก
“ใครบอก พวกเขาอยู่ในโลกมนุษย์นานเกินไปแล้ว ถ้าไม่ช่วยล่ะก็ ไม่มีทางได้ขึ้นสวรรค์แน่” จิ้งฉีเตือน
“รู้แล้วน่า สุดท้ายนายก็ต้องพึ่งลูกพี่ลู่กั้วอยู่ดีล่ะว้า” ลู่กั้วอารมณ์บ่จอย ยืนอยู่กลางดาดฟ้าแล้วท่องคาถา


“เหล่าสัมภเวสีทั้งหลาย วิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์ จงกลับไปสู่ภพภูมิที่ควรจะไปในโลกหลังความตาย ความเคียดแค้น ความเกลียด ความหลงมัวเมา ความเสียใจทั้งหมดทั้งมวลจงสลายไปในแสงสว่างอันเจิดจ้านี้”


แสงสีขาวสองดวงลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า ถึงแม้ภารกิจของเขาจะลุล่วงไปแล้ว แต่ถ้าหากวัดกันในฐานะตำรวจธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขากลับไม่ได้ใช้เหตุผลและหลักฐานที่ตนเองหาได้ มาทำให้ผู้รายยอมจำนน ดังนั้นในข้อนี้พวกเขายังคงพ่ายแพ้อยู่ดี
“ไม่สนแล้ว” ลู่กั้วบิดขี้เกียด “กลับไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทาง”
“เดินทางไปไหน?” เป็นครั้งแรกที่จิ้งฉีคิดตามไม่ทัน
“นายลืมไปแล้วหรือนี่ ก็ดี ลืมแล้วก็อย่าไปเลย” ทันใดนั้นจิ้งฉีก็นึกขึ้นได้ พวกเขานัดหลิงหลงเอาไว้ ถ้าสามารถคลี่คลายคดีนี้ได้ภายใน 1 อาทิตย์ก็ให้รีบตามไปหาเขา ที่นั่นมีเรื่องสนุกรออยู่ จิ้งฉียิ้ม
“เฮ้ย วันนี้แกต้องเลี้ยงข้าวฉันนะ” ลู่กั้วเดินนำอยู่ข้างหน้า หันมาตะโกนบอก
“ก็แล้วมันเรื่องอะไรของฉันล่ะ”
“เพราะฉันไม่มีเงินนะสิ” ลู่กั้วบอกเหตุผล ครั้งที่แล้วหลิงหลงเอาเงินเขาไปกินเหล้าหมดแล้ว ตอนนี้ในบัญชีเงินเก็บของเขาจึงเท่ากับ 0 คิดแล้วก็เจ็บใจ
“ไอ้งี่เง่าเอ๊ย” จิ้งฉีตะโกนไล่หลัง


“ฉันมันไร้ประโยชน์ ฉันมันคนไร้ค่า...”
“คำสาป คำสาปแน่ๆ”
เลือดไหลรินหยดลงไปบนพื้น
พริบตานั้นก็กลายเป็นแสงสีขาวลอยขึ้นมา