บทที่ 12
เกมแห่งความตาย
เกมแห่งความตาย
สายฝนที่เทกระหน่ำอยู่ภายนอก มิได้ทำให้ความร้อนใจของผู้คนในคฤหาสน์ตระกูลซิงเย็นขึ้นเลยซักนิด ความตึงเครียดแผ่กระจายอยู่ในห้องโถงใหญ่อันเป็นสถานที่รวมตัวของทุกคนในเช้านี้
ซิงหลางนั่งอัดบุหรี่อยู่ด้านหนึ่ง ทานากะ ไอโกะเดินกระสับกระส่ายไปมา ส่วนคริสกับเหอหุ้ยก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา ท่าทางเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง ใกล้ๆ กันนั้นพ่อบ้านกำลังกดโทรศัพท์ไม่หยุดโดยมีซิงเยี่ยนั่งลุ้นอยู่ข้างๆ มีเพียงซิงหัวเท่านั้นที่ดูจะไม่ร้อนใจเหมือนคนอื่นๆ เด็กน้อยเพียงแต่นั่งอยู่ข้างปล่อยไฟคอยสังเกตกิริยาอาการของทุกคนในห้องยู่เงียบๆ
เด็กหนุ่มสองคนเพิ่งจะเดินมาถึง ยังไม่ทันได้นั่ง จิ้งฉีก็ถามขึ้น
“เป็นไงบ้าง?”
“ยังไม่กลับกันมาเลย” พ่อบ้านตอบ
“เกิดอะไรขึ้น เอ๊ะ! แล้วหลิงหลงกับหวังซิ่งล่ะ” ลู่กั้วขยี้ผมสีเงินของตัวเองไปมา ท่าทางยังไม่ค่อยตื่นดี
“เมื่อกี้ตอนฟ้าผ่า อิฉันว่าจะไปเก็บผ้าห่มที่ตากไว้ตรงลานหน้าตึก แต่พอเดินผ่านหอนาฬิกาก็...ก็..” คุณป้ารูปร่างอ้วนท้วน แม่บ้านที่รับใช้ตระกูลซิงมากว่าสิบปีตัวสั่น
“แล้วไงต่อล่ะ” ลู่กั้วสนใจ กระตือรือร้นสดชื่นขึ้นมาทันที
“อิฉัน...อิฉันเห็นคนยืนอยู่บนหอนาฬิกา คิดว่าคงเป็นใครละเมอปีนขึ้นไป เลยรีบไปตามพ่อบ้าน แต่ว่า...พอขึ้นไปถึง ก็เห็นหวังซิ่งนอนตายอยู่บนนั้น” ป้าอ้วนยังหวาดผวาไม่หาย
“หา?!”
ลู่กั้วตกตะลึง สิ่งที่ตนเห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝันเสียแล้ว
“ป้าพอจะจำได้ไหมว่าตอนนั้นกี่โมง” จิ้งฉีถาม
“ประมาณตีสามครึ่งเจ้าค่ะ ช่วงนี้พ่อบ้านกำชับว่าให้หมั่นดูนาฬิกา อิฉันเลยจำได้แม่นว่าประมาณตีสามครึ่งไม่ผิดแน่” ป้าอ้วนยืนยันหนักแน่น
“ใช่ๆ!” ลู่กั้วรีบเสริม “ฉันก็เห็นเหมือนกัน ตีสามครึ่งจริงๆ ตอนนั้นยังนึกว่าตัวเองตาฝาดไปซะอีก”
“ตาฝาด? นี่นายไม่รู้สึกตื่นตระหนกตกใจเลยซักนิดรึไง” จิ้งฉีฉุน “ถ้าหากนายรู้ตัวเร็วกว่านี้สักหน่อยละก็...”
“อะไรกัน ทำไมต้องมาลงที่ฉันด้วย ป้าอ้วนก็เห็นนะเว้ย ใครจะไปรู้ว่าเป็นศพหวังซิ่งล่ะ!”
ลู่กั้วโมโห
เขาไม่ใช่พระเจ้าซักหน่อย จะไปหยั่งรู้ได้ยังไงว่ามีคนตายอยู่บนหอนาฬิกา
“นี่นาย!” จิ้งฉีขบฟันแน่นอยากจะต่อว่าอีกหลายประโยค แต่ติดที่มีผู้อื่นอยู่ด้วย
“แล้วรุ่นพี่หลิงหลงล่ะ” ลู่กั้วโกรธจนไม่อยากจะพูดกับจิ้งฉี จึงหันไปถามคนอื่นแทน
“ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วค่ะ ตอนนี้ขอให้ทุกคนอยู่ในนี้ก่อนอย่าพึ่งออกไปไหน” ซิงเยี่ยบอก
“แต่ฉันจะไป” ลู่กั้วไม่ฟัง บึ่งออกไปทันทีโดยไม่ได้หยิบร่มไปด้วย
“เจ้างั่ง!” จิ้งฉีจนปัญญาจะทัดทาน
หนอย ไอ้เวรตะไลไป๋จิ้งฉี ฉันไม่ได้มีตาทิพย์นะเว้ย จะได้รู้ว่าที่ยืนอยู่นั่นมันเป็นคนตาย!
ลู่กั้วก่นด่าอยู่ในใจ วิ่งฝ่าสายฝนตัวเปียกโชก
ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องซักอย่าง แถมยังคอยบสั่งโน่นนี่ อยู่กลุ่มเดียวกับเจ้าบ้านี่ต้องโชคร้ายไปสิบแปดชาติแน่ๆ!
วิ่งเข้าไปในประตูเล็กด้านขวาของหอนาฬิกา ภายในมีบันไดวนขดสูงขึ้นไป ลู่กั้วแหงนหน้าขึ้นมอง เห็นมีแสงตะเกียงสลัวๆ อยู่บนนั้น จึงตะโกนเรียก “รุ่นพี่หลิงหลง...อยู่บนนั้นใช่มั้ยครับ”
เงียบวังเวง ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ในใจลู่กั้วฉุกคิดขึ้น หรือว่า...
ขณะจะก้าวเท้าลงบนขั้นบันได พลันก็รู้สึกมีลมสงบไร้ทิศทางพัดวาบเข้าที่ด้านหลัง ขนลุกซู่ไปทั้งตัว เส้นประสาทเข็มงเกลียวขึ้นทันที กำลังจะหันไปดูให้แน่ใจ ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็วางลงบนบ่าของเขา
“เหวอ!”
ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ เสียงของลู่กั้วก็แผดลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วหอนาฬิกา แล้วเงาร่างหนึ่งก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า
“เฮ้ย นี่ฉันเอง! นายร้องหาพระแสงอะไร” เสียงแปดหลอดของลู่กั้วทำเอาหลิงหลงตกใจไปด้วย
“อยู่ๆ ก็โผล่มาแบบไม่ให้ซุ้มให้เสียง ใครจะไม่ตกใจบ้างเล่ารุ่นพี่!” ลู่กั้วเอามือกุมตรงหัวใจที่ยังเต้นแรงของตนเอง
“ฮ่ะๆ อยากจะรู้นัก ถ้าเป็นปีศาจจริง นายจะรับมือทันรึเปล่า แค่นี้ก็ตกใจซะ” หลิงหลงสงสัย
“ได้อยู่แล้ว เมื่อกี้ผมแค่ตื่นเต้นไปหน่อยเท่านั้นเอง” ลู่กั้วตอบสวนมาอย่างเร็ว “แล้วรุ่นพี่ไปไหนมาล่ะเนี่ย”
“ไปที่ห้องหลังซิ่ง อยากไปหาหลักฐานเพิ่มเติม” หลิงหลงพูดพลางเดินขึ้นบันไดไปข้างบน
“หวังซิ่งตายแล้วจริงๆ เหรอ แล้วตายยังไงล่ะ โดนวิญญาณแค้นฆ่าเอารึเปล่า” ลู่กั้วเดินตาม
“ในขั้นต้นสันนิษฐานว่าเป็นการฆาตกรรม” หลิงหลงหันมามองผู้ตามด้วยสายตาแฝงความนัย
“ฆาตกรรม?”
“อืม ใช่ หลังจากที่ตัดหัวของหวังซิ่งออก แล้วก็มัดศพให้เหมือนกับยืนติดอยู่บนหอนาฬิกา”
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”
“ไม่รู้สิ!”
ที่ห้องใต้หลังคาของหอนาฬิกา ศีรษะของหวังซิ่งวางนิ่งอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ตอนหลิงหลงขึ้นมาครั้งแรกก็เห็นมันวางอยู่แบบนั้นแล้ว ส่วนตัวศพเอียงกระเท่เร่อยู่บนพื้น แต่ตอนนี้ถูกปิดคลุมไว้ด้วยผ้าขาว
“หยื้ย...” ลู่กั้วเปิดผ้าขาวผืนนั้นดูแวบหนึ่งแล้วก็ต้องรีบปิดลงทันที สภาพศพของหวังซิ่งช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
“หลิงหลงๆ...” ทันใดนั้นเสียงของซิงเยี่ยก็ดังมาจากข้างล่าง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่กล้าขึ้นมา
“มีอะไรงั้นรึ”
“เกิดเรื่องแล้ว รีบกลับไปที่ห้องโถงใหญ่เร็วเข้า” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความร้อนรน
หลิงหลงกับลู่กั้วสบตากับวูบหนึ่ง แล้วจึงรีบเร่งตามซิงเยี่ยออกจากหอนาฬิกาไปทันที
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ดูเคร่งเครียดกว่าปกติ เสียงตะคอกของซิงหลางดังไปถึงข้างนอก
“ใคร! ใครตัดสายโทรศัพท?! บอกมานะ!”
“สายโทรศัพท์ขาดงั้นเหรอ” หลิงหลงตระหนก ที่นี่ไม่มีสัญญาณมือถือซะด้วย ถ้าอย่างนี้แปลว่าพวกเขาไม่เหลือเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ได้เลยซักชิ้นเดียว ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
“ถ้าใช้เส้นทางเดิม ก็น่าจะออกไปจากที่นี่ได้ไม่ยาก” จิ้งฉีเสนอ สีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ฝนตกหนักแบบนี้ หินถล่มดินทลาย อันตรายมากนะขอรับ!” พ่อบ้านแนะ
“นายไปตรวจสอบมาแล้วใช่ไหม ตกลงหวังซิ่งตายยังไง แล้วใครเป็นคนฆ่า!?” ไอโกะออกอาการหุนหัน
“ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นคือเขาถูกฆาตกรรม ส่วนใครจะเป็นฆาตกรต้องพิสูจน์กันอีกที” หลิงหลงกวาดตามองทุกคน
“ฆาตกรรม?...” เหอหุ้ยตะลึง เซถอยหลังไปหลายก้าว
“เป็นไปได้ว่าฆาตกรอาจจะอยู่ในกลุ่มพวกเรานี่แหละ ฉะนั้นขอให้ทุกคนระมัดระวังตัว ทางที่ดีอย่าพยายามไปไหนมาไหนคนเดียว”
“พูดบ้าอะไรน่ะ!” ซิงหลางตวาด “รู้ๆ อยู่ว่าฆาตกรอยู่ในหมู่พวกเรา ฝนหยุดตกเมื่อไหร่ฉันจะไปจากคฤหาสน์ปีศาจนี่! เปิดกล่องมังกรได้แล้ว ค่อยกลับมาบอกพวกนายทีหลังก็ไม่เห็นเป็นไร”
“ไม่ได้ครับ” พ่อบ้านส่ายหัว “นายท่านเคยสั่งไว้ก่อนตายว่าปริศนามังกรต้องถูกเปิดเผยในคฤหาสน์หลังนี้เท่านั้น ถ้าจากไปก็ถือว่าสละสิทธิ์”
“เกิดเรื่องแบบนี้แล้ว พวกคุณยังอยากจะอยู่ต่อกันอีกเหรอ?!” จิ้งฉีไม่เข้าใจ
“ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสามพันล้านนั่น ผมคงจะออกจากที่นี่ไปนานแล้ว” คริสผงกหัวยอมรับ
“แต่ฉันไม่กลัว” ลู่กั้วโพกศีรษะไปพูดไป “สามพันล้านนั่นต้องเป็นของฉัน!” ท่าทางมั่นใจ
“ถ้างั้น ฉันก็ไม่ควรประมาทปีศาจน้อยอย่างพวกนาย” ซิงหลางสวนทันควัน
มีเพียงไอโกะเท่านั้นที่ไม่ยอมพูดอะไร สีหน้าของเธอเรียบเฉนคล้ายลังเลใจ
“เฮ้อ...ถ้าไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไร ก็ไม่ต้องกลัวภูตผีมาเคาะประตูตอนกลางดึก” ซิงหัวพูดขึ้นเสียงเย็นๆ
“ใช่ๆ อาจารย์ซิงต้องคุ้มครองพวกเราแน่นอน” แม้เหอหุ้ยไม่รู้ความหมายในคำพูดของซิงหัว แต่ก็เห็นด้วยอย่างชื่นชม
“ป้าอ้วน ป้าลองนึกทบทวนเหตุการณ์นั้นอีกครั้งได้มั้ยครับ” จิ้งฉีถามแม่บ้านที่สติยังไม่กลับคืนมา
“เจ้าค่ะ คือ...อิฉันได้ยินเสียงฟ้าร้องก็รู้ว่าฝนต้องตกแน่ๆ เลยรีบไปเก็บผ้าห่มหน้าตึก พอเดินผ่านหอนาฬิกาก็เห็นประตูเล็กด้านข้างเปิดอยู่ ก็เลยมองขึ้นไป ตอนนั้นท้องฟ้ามืดมาก แต่ก็พอจะเห็นเงาตะคุ่มๆ ของใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างบน ยังนึกว่า...เป็น...” ป้าอ้วนเหลือบมองไปที่พ่อบ้านกับซิงเยี่ย แล้วก็ตัดสินใจไม่พูดคำสุดท้ายออกมา “อิฉันไปตามพ่อบ้านให้ขึ้นไปดูข้างบนด้วยกัน แล้วก็เห็น...หัวของคุณหวังวางอยู่บนโต๊ะ”
“เวลาตอนนั้นคือตีสามครึ่ง?” หลิงหลงถามต่อ
“ตอนนั้นพ่อบ้าเตือนให้อิฉันดูเวลาไว้ให้ดี จำได้ว่าเป็นตีสามสี่สิบหก แต่ว่าตั้งแต่ตื่นไปเก็บผ้าจนเห็นเหตุการณ์แล้ววิ่งไปบอกพ่อบ้าน ก็เสียเวลาไปประมาณตีสามครึ่งกว่านิดๆ” ป้าอ้วนคิดคำนวณอย่างละเอียด
“ตีสามครึ่งนั่นแหละถูกแล้ว” ลู่กั้วย้ำอย่างมั่นใจ “ตอนนั้นฉันก็ดูนาฬิกา เห็นเงาคนแว็บผ่านไปตอนตีสามครึ่งแน่ๆ”
“ไม่นะคะ ราวตีสามครึ่ง อิฉันก็ดูนาฬิกาอยู่เหมือนกันไม่เห็นมีคนเดินผ่านไปเลย” ป้าอ้วนพูดขึ้น
“ป้าบอกว่า ราว ตีสามครึ่ง งั้นก็แสดงว่ายังไม่น่ใจ” ลู่กั้วโต้กลับ
“เอาอย่างนี้ พวกเราลองมาช่วยสอบปากคำดีกว่า ป้าอ้วนเธอก็ลองนึกทบทวนสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดในตอนนั้นอีกครั้ง แล้วพวกเราก็ช่วยกันดูว่าจริงๆ แล้วใช้เวลาไปเท่าไหร่กันแน่ อย่างนี้ก็จะสามารถนับย้อนไปเวลาที่แม่บ้านเห็นศพครั้งแรกได้” พ่อบ้านเสนอความเห็น
“อืม...ก็ดีค่ะ” ป้าอ้วนพยักหน้า
...........................
หลังจากสอบปากคำป้าอ้วนเรียบร้อยแล้ว หลิงหลงก็กลับเข้าห้องของตัวเอง ด้านจิ้งฉีและลู่กั้วหลังจากส่งคนอื่นๆ กลับห้องไปหมดแล้วก็เข้ามาหารุ่นพี่เหมือนเคย
“ใช้เวลาสิบเอ็ดนาที”
“หมายความว่า ครั้งแรกที่ป้าอ้วนเห็นศพก็คือ ตีสามสามสิบห้านาที!” ลู่กั้วร้องเสียงดัง “เห็นมั้ย...ฉันว่าแล้วตีสามครึ่งจริงๆ”
“เดี๋ยวๆ” จิ้งฉีคิดขึ้นมาได้ “ตอนที่นายเห็นนั่นน่ะ จริงๆ แล้วน่าจะเป็นตอนที่ฆาตกรกำลังเคลื่อนย้ายศพของหวังซิ่งมากกว่า!”
“แล้วไง” ลู่กั้วรู้สึกว่าตัวเองพลาดไปเต็มเปา แต่ปากก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี
“ยังมาแล้วไงอีก ไม่เสียดายโอกาสบ้างรึไง ถ้าตอนนั้นนายระแวงซักนิดก็จับฆาตกรได้แล้ว” จิ้งฉีโมโห
“แต่ตอนนั้นนายก็นอนหลับอุตุเหมือนกัน เพราะงั้นไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันแบบนี้” ลู่กั้วคำรามใส่จิ้งฉี
“กัดกันไปก็ไร้ประโยชน์ เรามาช่วยพิจารณาคดีนี้กันอีกครั้งดีกว่า” หลิงหลงเตือนสติ “ลู่กั้ว ไหนนายลองทบทวนเหตุการณ์ตอนนั้นอีกทีซิ”
“อืม...” พอพูดกับหลิงหลงน้ำเสียงของลู่กั้วก็อ่อนลงมาก “ตอนนั้นผมได้ยินเสียงฟ้าผ่า จึงรู้ตัวว่าดึกแล้ว แต่ผมไม่มีนาฬิกาก็เลยมองไปที่หอนาฬิกาข้างนอก ตอนนั้นเป็นเวลาตีสามครึ่งจริงๆ นะครับ รุ่นพี่...แล้วผมก็เหนื่อยด้วย ก็เลยไม่ได้ใส่ใจ นอนหลับไป จนไอ้หมอนั่นมาเรียกนั่นแหละ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เวลาในการตายของหวังซิ่งก็น่าจะเป็นประมาณตีสามครึ่ง แล้วฆาตกรก็คงจะต้องหนีออกมาในเวลานั้นเหมือนกัน” จิ้งฉีสรุป
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้ อะไรกันเนี่ย!” ลู่กั้วงง กระฟัดกระเฟียดขึ้นมา
“พวกนายไม่รู้สึกแปลกเลยรึไง” หลิงหลงตั้งข้อสังเกต “เวลาที่ลู่กั้วเห็นต่างกันเพียงห้านาที แต่จากบนหอนาฬิกาลงมาข้างล่างใช้เวลาแค่สองนาที แล้วเจ้าฆาตกรนั่นก็ยังเล็ดลอดออกไปได้ ไม่ถูกป้าอ้วนพบ พวกนายว่าเป็นไปได้รึเปล่าล่ะ”
“เขาคงบินหนีไปมั้ง” ลู่กั้วตอบ
“พวกนายจำได้ไหมว่าฝนเริ่มตกตอนไหน” จิ้งฉีไม่สนใจเพื่อนคู่หู
ลู่กั้วทำหน้าตายียวน “เกี่ยวอะไรกับฝนตก”
“ป้าอ้วนบอกว่าตอนไปตามพ่อบ้านฝนก็เริ่มตกแล้ว ถ้าฆาตกรหนีไปตอนที่ป้าอ้วนไปตามพ่อบ้านก็ต้องเปียกฝน จิ้งฉี ตอนที่นายไปเรียกพวกเขามารวมตัวกันเห็นใครตัวเปียก ผมเปียกบ้างมั้ย”
“ไม่มีครับ ผมจำได้ ตอนนั้นมีไอโกะคนเดียวที่ดูเหมือนจะยังไม่ได้นอน คนอื่นๆ ก็ถูกผมปลุกให้ตื่นกันทั้งนั้น ไม่มีใครตัวเปียกเลยซักคน” จิ้งฉีตอบ
“อ๋อ เข้าใจแล้ว” ลู่กั้วเหมือนพึ่งจะตามทัน “งั้นก็แสดงว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเลยซักคนใช่ไหม”
“ตอนนี้ยังต้องถือว่าไม่ใช่ พวกเขาเป็นเพียงผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์เท่านั้น” หลิงหลงตอบ
“แล้วจะทำไงดีล่ะ รุ่นพี่ ดูท่าแล้วหากยังไม่ได้มรดกของคุณซิง พวกเขาไม่มีทางออกไปจากที่นี่แน่ๆ” ลู่กั้วยักไหล่
“คนที่อยากจะได้เงินสามพันล้านจนตัวสั่นอย่างนาย ยังมีหน้าไปว่าคนอื่นอีก!” จิ้งฉีจ้องตาลู่กั้ว
“พอทีน่า ฉันยังมีเรื่องแย่ๆ อีกเรื่องที่ยังไม่บอกพวกนาย” หลิงหลงหยุดนิดหนึ่ง “ที่นี่ถูกตรึงเอาไว้แล้ว”
“อะไรนะ?” จิ้งฉีกับลู่กั้วตกใจตาโตขึ้นมาพร้อมกัน
“ตอนที่พบว่าลู่กั้วไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของฉันที่หอนาฬิกา ฉันก็รู้สึกแปลกใจ มันเป็นไปไม่ได้ว่าคนของหน่วยพิเศษจะแยกแยะสัมผัสระหว่างคนกับปีศาจไม่ออก และเมื่อกี้ฉันลองทดสอบดูแล้วใช้เวทมนตร์ไม่ได้เลย แสดงว่ามีการสร้างขอบเขตตรึงพลังเวทมนตร์เอาไว้ น่ากลัวว่าจะมีใครบางคนร้ายกาจมากอยู่ที่นี่ด้วย” หลิงหลงสูดหายใจเข้าเหมือนรวบรวมพลัง
“ต้องเป็นเจ้าซิงหัวแน่ๆ มันคือลูซิเฟอร์ นั่นแหละ!” ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ลู่กั้วก็รู้สึกว่าเจ้านั่นต้องเป็นลูซิเฟอร์ที่เคยเจอเมื่อก่อนนี้
“อือ...ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเป็นลูซิเฟอร์ก็ไม่น่าจะโตเร็วขนาดนี้” ยากนักที่ความเห็นของลู่กั้วกับจิ้งฉีจะตรงกัน
“ลูซิเฟอร์?” เป็นครั้งแรกที่หลิงหลงได้ยินชื่อนี้ “ชื่อเหมือนกับจอมมารของประเทศตะวันตกเลยแฮะ”
“อืม เขาน่าจะเป็นพวกฝ่ายมารน่ะ รุ่นพี่ แต่แปลกที่เขาจะเรียกตัวเองว่าเจ้าแห่งความกลัว” จิ้งฉีว่า
แปลกแฮะ...ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ในบรรดาคนของฝ่ายมารเลย!
หลิงหลงคิดในใจแต่ไม่พูดออกมา
“ฉันจะไปหาเจ้านั่นเอง! หากเป็นฝีมือมันจริง อย่าหวังเลยว่าจะหนีรอดไปได้” ลู่กั้วรู้สึกเสียดายที่ครั้งก่อนไม่ได้กำจัดลูซิเฟอร์ให้สิ้นซาก
“อย่าพึ่งวู่วาม ถ้าเขาเป็นคนบงการเรื่องทั้งหมดนี่จริง เขาก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งมากๆ เลยทีเดียว” เมื่อครู่หลิงหลงได้ลองสลายขอบเขตตรึงเวทมนตร์แล้วแต่ไม่เป็นผล แสดงว่าคนที่สร้างขอบเขตขึ้นมาจะต้องมีพลังไม่ด้อยไปกว่าเขา
“ใช้เวทมนตร์ไม่ได้แบบนี้ มันก็ไม่มีทางดิ้นหลุดหรอกน่า พวกเรามีตั้งสาม ชนะขาดแหงๆ” ลู่กั้วมั่นใจเต็มร้อย
“โง่อีกแล้ว! ไม่รู้รึไง คนที่ตรึงเขตเวทมนตร์ไว้ถ้านึกจะถอนออกเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้ว” จิ้งฉีทั้งกังวลทั้งโมโหต่อสมองของลู่กั้ว
“ถ้ามันถอนออก พวกเราก็ใช้เวทมนตร์ได้ ยังไงก็สามต่อหนึ่งอยู่ดี” ลู่กั้วเชื่อมั่นในเหตุผลนี้เป็นอย่างยิ่ง
“ฉันขี้เกียดจะพูดกับคนสมองนิ่มอย่างนายแล้ว”
“ฉันต่างหากที่ขี้เกียจพูดกับนาย การต่อสู้ครั้งก่อนเห็นเอาแต่ยืนหลบมุมตัวสั่นงกๆ ต้องพึ่งฉันถึงเอาชีวิตรอดมาได้ ไม่อยากไปก็บอกสิ ไอ้ขี้ขลาด”
“ลู่กั้ว พูดอย่างนี้แรงไปแล้ว!” หลิงหลงตักเตือน “จิ้งฉีพูดถูกระมัดระวังไว้หน่อยก็ดี ตอนนี้พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ฝ่ายตรงข้ามอยู่ที่มืด ก่อนที่อะไรๆ จะชัดเจน ไม่ควรบุ่มบ่ามทำอะไรที่ไม่ไตร่ตรองจนไปติดกับดักของคนร้ายเข้า”
“ชิ!” แม้ปากของลู่กั้วจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจยังคงแข็งขืนไม่ยอมรับ
กลางดึก ลู่กั้วนอนไม่หลับ ได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นตรงออกไปที่ห้องของซิงหัวอย่างเงียบเชียบ แต่ขณะเดินผ่านห้องซิงหลาง เขาก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน
“หวังซิ่งตายแล้ว นายว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นรึเปล่า” เป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง
“ไม่รู้...ฉันไม่อยากได้แล้ว ไอ้เงินสามพันล้านนั่น พอฝนหยุดตกฉันจะไปทันที” ซิงหลางเสียงสั่นเล็กน้อย
“ก็แล้วแต่นาย แต่ฉันคิดดีแล้ว ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!” เสียงผู้หญิงไม่พอใจ
“เฮอะ ฉันกำลังคิดว่าตาแก่นั่นจะมีสามพันล้านอยู่จริงเรอะ” คำพูดของซิงหลางบอกชัดว่าไม่คุ้มค่า
“ทำไมจะไม่มี...เฉพาะคฤหาสน์นี่ก็กว่าพันสองร้อยล้านแล้ว”
“กลัวว่าจะมีวาสนาได้มา แต่ไม่มีวาสนาได้ใช้มันนะสิ”
หญิงสาวเงียบเสียงลง
แย่แล้ว ถ้าหากซิงหลางออกไป ซิงหัวก็ต้องตามออกไปด้วยน่ะสิ เห็นท่าต้องชิงลงมือก่อนเสียแล้ว!
ลู่กั้วคลำทางไปในความมืด จนมาถึงหน้าห้องของซิงหัว ขณะกำลังคิดจะแอบมองลอดช่องประตูเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นประตูไม้บานใหญ่ก็เปิดออกลู่กั้วที่ไม่ทันได้ยึดเท้าให้มั่น ก็พุ่งล้มไปข้างหน้าอย่างไม่เป็นท่า
“ฮ่าๆ รู้อยู่แล้วว่าแกต้องมา!” น้ำเสียงซิงหัวเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“แกรู้ งั้นเหรอ!” ลู่กั้วค่อยๆ ยันกายขึ้น ท่ามกลางความมืด เขาจ้องเข้าไปในตาซิงหัว ตานั่นเป็นสีดำ ครั้งก่อนที่ปะทะกัน ตาของลูซิเฟอร์ก็เป็นสีดำก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง
“หวัดดี พวกเราเคยพบกันมาก่อนใช่มั้ยล่ะ”
“หึๆ สายตาแหลมคมดีนี่” ซิงหัวหัวเราะ
“อา! แกคือลูซิเฟอร์จริงๆ ด้วย” ลู่กั้วอึ้ง เซถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว “ทำไมแกถึงโตเร็วแบบนี้”
“การเจริญเติยโตของข้ากับมนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่เหมือนกัน” ลู่ซิเฟอร์ไม่คิดปิดบัง
“แกฆ่าหวังซิ่งใช่มั้ย!” ลู่กั้วตั้งท่าพร้อมรับมือกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
ลูซิเฟอร์แสยะยิ้ม “หึๆ เพื่อนอีกคนของแกไม่ได้บอกหรือว่าที่นี่ถูกข้าปิดผนึกเอาไว้แล้ว ตอนนี้เจ้าก็ไม่ต่างจากมดปลวกที่จะขยี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้”
“ชิ! คนอย่างฉันสะกดคำว่า “กลัว” ไม่เป็นหรอกเฟ้ย!”
“ฮ่าๆ วางใจได้เลย ครั้งนี้ข้าไม่ได้มาเอาชีวิตพวกแก มันยังไม่ถึงเวลาของพวกแกทั้งสามคนหรอก ยิ่งสำหรับคนธรรมดาพวกนั้นยิ่งไม่ควรจะให้ข้าลงมือด้วยซ้ำ ฮ่าๆ...”
“แกคิดจะทำอะไรกันแน่?!” ลู่กั้วรู้ดีว่าปีศาจอย่างลูซิเฟอร์คงไม่ได้มาเที่ยวเล่นแน่ๆ “แล้วที่บอกว่าเป็นลูกของซิงหลางล่ะ”
“ข้อก็แค่สร้างความทรงจำใหม่ให้พวกเขา ก้เท่านั้น วางใจเถอะ ข้าแค่อยากจะเข้ามาดูอะไรสนุกๆ เท่านั้น แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นห้ามพวกแกก่อความวุ่นวายเด็ดขาด!”
....................................
“อา...” ลู่กั้วสะดุ้งตื่นพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง มองไปรอบๆ จึงรู้ว่านี่เป็นห้องของตร
แปลกจริง เมื่อคืนเขาไปหาซิงหัวนี่หน่า แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ หันไปมองหอนาฬิกาที่อยู่ด้านนอก “เฮ้ย! เลยสิบโมงแล้วนี่!” เขาพลิกตัวลงจากเตียงอย่างรีบร้อน
เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ ลู่กั้วก็พบกับความวุ่นวายเข้าอีกแล้ว จิ้งฉีกับหลิงหลงที่มาถึงก่อนกำลังมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ลู่กั้วไม่รอให้จิ้งฉีเปิดปาก รีบถามออกไปก่อน
“ทำไมนายไม่เรียกฉัน”
“นายมันชอบใส่ความคนอื่นก่อนอยู่เรื่อย! นอนเป็นหมูตายซากอย่างนั้น เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น” จิ้งฉีเขม้นมอง
“ชิ!” ลู่กั้วไม่พอใจ พาลตัดสินใจจะไม่บอกเรื่องเมื่อคืนกับจิ้งฉี ลงแบบนี้แล้วเขาต้องคลี่คลายคดีด้วยตัวเองให้ได้!
“ตอนนี้ทุกคนยังคงออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น สิ่งที่ควรจะทำคือรวมกลุ่มกันไว้ อย่าให้ฆาตกรมีโอกาสทำร้ายเราได้” หลิงหลงพูดขึ้น
“ออกไปไม่ได้?” ลู่กั้วพึ่งจะมาถึง จึงไม่รุ้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อือ...ภูเขาถล่มทำให้ทางขาด ต้องรอซ่อมแซมประมาณสามวัน” ซิงเยี่ยบอก
“เฮอะ นี่แสดงว่าฆาตกรอยู่ในกลุ่มพวกเรา ถูกไหม” ซิงหลางแค่นหัวเราะ
เงียบ ไม่มีคำตอบ
คริสเห็นบรรยากาศเริ่มตึงเครียดจึงเสนอไอเดีย “ฉันว่า เรามาหาข้อมูลจากกล่องปริศนามังกรกันดีกว่า”
“เกี่ยวอะไรกับปริศนามังกร” ลู่กั้วไม่เข้าใจ
“มันทำจากไม้หวู่ถง” พ่อบ้านพูดขึ้น
“อา...ไม้หวู่ถง” ลู่กั้วรีบล้วงสมุดเล่มเล็กออกมาจด
แต่คนอื่นๆ รู้สึกว่าข้อมูลนี้ไม่มีประโยชน์อะไร จึงไม่มีใครสนใจจะจำ
“ผมว่าจะไปสำรวจดูที่หอนาฬิกาหน่อย” จิ้งฉีหันไปบอกกับหลิงหลง
“อืม ก็ดี...ไปด้วยกันไหมลู่กั้ว” หลิงหลงก็คิดจะไปเช่นกัน แต่ในพวกเขาสามคน จำต้องเหลือใครคนใดคนหนึ่งไว้สังเกตการณ์ในห้องโถงใหญ่
“ผมไม่ไปกับเจ้ากะเทยนั่นหรอก!” ลู่กั้วต้องการอยู่ที่นี่เพื่อค้นหาปริศนามังกรมากกว่า
“นี่...ฉันไปด้วยได้รึเปล่า” ซิงเยี่ยถาม
“ได้สิ! ฝากทางนี้ด้วยนะลู่กั้ว” หลิงหลงรู้สึกผิดคาด
“ไม่มีปัญหา” หึหึ ลู่กั้วยิ้มน้อยๆ อาศัยคำสนทนาของคนในห้องนี้ อาจจะช่วยไขปริศนามังกรได้เป็นคนแรกก็ได้
จิ้งฉี หลิงหลง และซิงเยี่ยไปที่หอนาฬิกาด้วยกัน
ศพของหวังซิ่งถูกนำออกไปแล้ว แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาเป็นแนวเฉียง ทำให้ความน่ากลัวลดลงไปมาก จิ้งฉีสำรวจโดยรอบแต่ก็ไม่พบบริเวณต้องสงสัย
“บนนี้มีชั้นลอยที่ต่อเนื่องกับห้องใต้หลังคา หวังซิ่งถูกฆาตกรลากขึ้นชั้นลอยแล้วมัดไว้ แต่แปลกมากที่...” หลิงหลงบ่นพึ่มพำ
“รอยเลือดใช่ไหมครับ” จิ้งฉีถาม
“อืม ก่อนอื่นเราต้องสำรวจว่าเหยื่อถูกทำร้ายที่ไหน แต่ในห้องนี้ไม่มีเลือดให้เห็นซักหยด ตอนเคลื่อนย้ายศพไปห้องใต้หลังคาน่าจะมีรอยเลือดให้สังเกตเห็นได้บ้าง แต่ก็ไม่มี”
“ผมคิดว่าน่าจะเป็นตรงนี้ เพราะถ้าเคลื่อนย้ายศพจากที่อื่นมาก็น่าจะมีรอยลากให้เห็นบ้าง อีกอย่างจะเสียเวลามากด้วย”
“คุณหนูซิงเยี่ย หวังซิ่งเป็นคนยังไงเหรอครับ” หลิงหลงให้ซิงเยี่ยมาด้วยเพื่อถามเรื่องบางอย่างเพียงลำพัง
“เรื่องนี้...ฉันก็ไม่รู้ค่ะ” ซิงเยี่ยส่ายหัว “พ่อไม่ชอบให้ฉันถามเรื่องเกี่ยวกับเขา เหมือนท่านจะไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่ ครั้งก่อนฉันได้ยินพ่อคุยโทรศัพท์กับเขา น้ำเสียงของท่านโมโหมาเลยล่ะ”
“ทำไมล่ะครับ” จิ้งฉีถามอีก
“ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของการเข้าไปลงทุนในตลาดญี่ปุ่น” ซิงเยี่ยย้อนคิด “แต่พอฉันถามพ่อ พ่อก็บอกว่าไม่มีอะไรทุกที”
“พ่อของคุณ...” จิ้งฉีอยากถามว่า ‘เสียชีวิตแล้วจริงหรือ’ แต่รู้สึกว่าการถามเช่นนี้ดูจะโหดร้ายเกินไป จึงได้แต่เก็บไว้ในใจ
“พ่อเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ตอนนั้นฉันกับพ่อบ้านก็อยู่ด้วย” คนสุขุมแกมฉลาดอย่างซิงเยี่ยมีหรือจะไม่รู้ทันความคิดของจิ้งฉี “อีกอย่าง พ่อไม่มีวันทำเรื่องแบบนี้ได้หรอกค่ะ พ่อเป็นคนใจบุญใจกุศลมาโดยตลอด ไม่มีทางฆ่าคนได้อย่างเด็ดขาด”
“พวกเราก็รู้ว่าอาจารย์ซิงเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม แต่คดีฆาตกรรมครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับคนในตระกูล วางแผนสร้างสถานการณ์ หวังฮุบเงินสามพันล้านก็เป็นได้” หลิงหลงสรุป
“หมายความว่าผู้เคราะห์ร้ายรายต่อไปอาจเป็นหนึ่งในพวกเรา” ซิงเยี่ยหน้าเครียด
“อืม ใช่ ผมจึงขอให้ทุกคนสามัคคีกันไว้ เพื่อปกป้องชีวิตของตนเองให้ปลอดภัยยังไงล่ะ” หลิงหลงพยักหน้า
“ทำไมฆาตกรต้องมาก่อเหตุที่นี่ด้วย” จิ้งฉีโพล่งขึ้น “การฆ่าคนในที่แบบนี้ถือว่าเสี่ยงมาก แถมยังเสี่ยงต่อการถูกพวกเราพบเห็นด้วย อีกอย่างเขาเคลื่อนย้ายศพไปห้องใต้หลังคาเพื่ออะไร”
“ผมว่า เรื่องนี้ต้องไม่ใช่การฆ่าคนโดยบังเอิญ แต่เป็นการฆ่าโดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว!”
“ถูกต้อง” หลิงหลงเห็นด้วยกับจิ้งฉี “แต่นี่เป็นเพียงการสันนิษฐานไม่มีหลักฐานอื่นๆ”
“ครับ...” จิ้งฉียอมรับ เขาคิดทบทวนอีกครั้ง
ใช่...ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นผู้ต้องสงสัย ไม่เว้นแม้แต่ซิงเยี่ยฉะนั้น ไม่ควรให้เธอรู้ความเคลื่อนไหวหรือความคืบหน้าของพวกเรา
“พอกันทีๆ...!” ลู่กั้วลูบศีรษะตะโกนก้อง
“เป็นไรไป?” คนทั้งห้องหันมามองเขาเป็นตาเดียว
“เจ้าปริศนามังกรนี่ทำให้ฉันคิดจนผมหงอกไปหมดแล้ว!” ลู่กั้วคิดแทบหัวระเบิด แต่ก็ยังหาวิธีเปิดกล่องไม่ได้
“ผมของนายก็หงอกอยู่แล้วนี่” ซิงหัวยิ้มเยือกเย็นอยู่อีกมุมหนึ่ง
“แก...” ลู่กั้วคิดจะด่า แต่ก็กลืนถ้อยคำหยาบคายทั้งหมดลงไปเสียก่อน
“ชิ ไม่เล่นแล้ว! กล่องไม้บ้าบออะไรไม่รู้ ของเล่นปัญญาอ่อนแบบนี้โยนทิ้งดีกว่า!” เขาหยิบกล่องไม้ขึ้นทำท่าจะเขวี้ยงทิ้ง
“อย่านะครับ!” พ่อบ้านยับยั้งไว้ “สิ่งที่อยู่ด้านในเป็นชีวิตจิตใจของนายท่าน หากคิดถอนตัวก็ขอให้ส่งกลับคืนมาดีๆ อย่าทำเสียหายเลยครับ!”
“ใครบอกว่าผมจะถอนตัวเล่า” ที่แท้ลู่กั้วคิดจนปวดหัวเลยอยากจะระบายอารมณ์ออกมาตามวิสัยหมาป่าเจ้าอารมณ์ แต่ไม่ยอมเสียเงินสามพันล้านง่ายๆ
น่าเสียดาย การกระทำของเจ้าหมอนั่นอาจทำให้เห็นส่วนประกอบที่อยู่ข้างในก็ได้! คนอื่นๆ ในห้องต่างก็คิดพ้องต้องกัน
“สามพันล้านไม่ใช่จะหามาได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีความอดทนก็ไม่มีทางได้หรอก ลู่กั้ว!”
หลิงหลงกับจิ้งฉีแม้อยู่ห่างไกลก็ยังได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของลู่กั้วในห้องโถงใหญ่ ทั้งน่าโมโหทั้งน่าขำจริงๆ
“ถึงจะมีความอดทน แต่ถ้าไม่มีมันสมอง ยังไงๆ ก็ไม่มีทางได้สามพันล้านนั่นหรอก!” จิ้งฉีประชดประชัน
“เฮ้! เรื่องมันสมองน่ะ หากฉันเป็นที่สองในใต้หล้า ก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่งแล้ว!” ลู่กั้วตบอกพูดฉะฉาน
“นายพูดถึงหมูอยู่งั้นเหรอ” ซิงหัวพูดขึ้นมาหน้าตาเฉย
“ฮ่าๆๆๆ...” ทุกคนหัวเราะกันครืน บรรยากาศที่ตึงเครียดมานานจึงผ่านคลายลงไปบ้าง
บัดซบ! ไม่คิดเลยว่าเจ้ากะเทยไป๋จิ้งฉีจะช่วยศัตรูเล่นงานพวกเดียวกัน ร่วมงานกับเจ้าลูซิเฟอร์ทำร้ายเรา!
ลู่กั้วโมโหจนอกแทบระเบิด
คอยดูเหอะ! ครั้งนี้ฉันจะต้องไขปริศนามังกรให้ได้ และต้องคลี่คลายคดีนี่ได้ด้วย ขอเอาทรัพย์สินส่วนตัวเป็นประกัน!
ความฝันมักสวยงามกว่าความเห็นจริงเสมอ ที่นี่ถูกลูซิเฟอร์ใช้พลังบางอย่างปิดกั้นขอบเขตไม่ให้สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ตอนนี้ลู่กั้วก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา คิดคลี่คลายคดีร่วมกับหลิงหลงและจิ้งฉีก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเมื่อใช้เวทมนตร์ไม่ได้ พวกเขาก็ต้องใช้วิธีธรรมดาแก้ปัญหานี้ให้ได้
“ฉันจะไปบ้าง!” ลู่กั้วประท้วง “ทำไมพวกนายสองคนต้องไปตรวจที่เกิดเหตุด้วยกันแล้วทิ้งฉันไว้คนเดียวทุกทีเลยล่ะ”
“นายไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ” จิ้งฉีไม่สนใจ
“แกไปได้ประโยชน์กว่างั้นสิ โธ่เอ๊ย ก็ไม่เห็นจะได้เรื่องอะไรกลับมา” ลู่กั้วเคือง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า นายสองคนไปเถอะ” หลิงหลงสรุป เขารู้สึกว่าการตัดสินใจครั้งนี้ เขาควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพโดยแท้
“ฉันไม่ไปกับไอ้กะเทย!” ลู่กั้วไม่ยอม
“ขอโทษด้วย ฉันก็ไม่ได้อยากไปกับหมาป่าที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนนักหรอก!” จิ้งฉีก็เหมือนกัน
สองพระหน่อเมื่อไหร่จะสามัคคีกันได้หนอ?
หลิงหลงครุ่นคิดพลางมองไปที่ใบหน้ามู่ทู่ของทั้งสอง
“งั้น...ฉันยอมเสียเปรียบให้กับแกก็ได้ แต่รุ่นพี่หลิงหลงต้องไปด้วย ฉันจะได้ไม่ต้องอยู่กับแกตามลำพัง” ลู่กั้วยอมอ่อนข้อตกลงมองหลิงหลงพลางขอความเห็น
“พวกเราไปด้วยกันสามคนไม่ได้ อย่างน้อยต้องมีคนหนึ่งอยู่คอยดูพวกเขา”
“งั้น...ผมอยู่เอง!” จิ้งฉีอาสา เพราะลู่กั้วทำวุ่นวายแท้ๆ เขาจึงต้องอยู่
“อืม..ก็ดี...” หลิงหลงพยักหน้า
หลิงหลงกับลู่กั้วไปที่หอนาฬิกาแล้ว จิ้งฉีอยู่ในห้องโถงใหญ่ ใช้ความคิดอยู่เงียบๆ
“ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกประหลาด” ลู่กั้วมองไปรอบห้องแคบๆ ในหอนาฬิกา
“ก็เพราะไม่มีอะไรแปลกประหลาดนี่สิจึงน่าสงสัย” ครั้งก่อนซิงเยี่ยอยู่ หลิงหลงกับจิ้งฉีเลยไม่ได้สำรวจอย่างละเอียด ดังนั้นจึงมีพื้นที่อีกหลายจุดที่ยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ
“เอ๋ นี่อะไร” ลู่กั้วชี้ไปที่หน้าต่างบานเล็กบนหน้าปัดนาฬิกา
“น่าจะเป็นหน้าต่างห้องเครื่อง” หลิงหลงตอบพลางสำรวจดูฟันเฟือง
“หน้าต่างห้องเครื่อง?” ลู่กั้วสงสัย เปิดหน้าต่างบานเล็กออกแล้วยื่นศีรษะออกไป
“อา! จริงด้วย!” เขาร้องบอกขณะมองดูเข็มใหญ่ยักษ์ของนาฬิกา
แต่ขณะที่คิดจะหดหัวกลับเข้าไป ก็พบว่าดึงออกไม่ได้ หัวของลู่กั้วติดคาอยู่แบบนั้น “รุ่นพี่ๆ ช่วยด้วย!” เขาร้องเรียกหลิงหลงเสียงดัง
เสียงของเครื่องจักรที่ดังกลบสรรพเสียงอื่นๆ ทำให้หลิงหลงที่กำลังสำรวจดูฟันเฟืองอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่ได้ยินเสียงเรียกของลู่กั้ว
“เร็วเข้า ฉันติดอยู่บนนี้ ช่วยด้วย!” ศีรษะของลู่กั้วยื่นอยู่ด้านนอก จึงเป็นการยากที่เสียงจะสะท้อนกลับเข้ามาด้านใน เขาจึงได้แต่ใช้แรงกำปั้นเคาะตีหน้าปัดนาฬิกา ขณะเดียวกันก็มองไปยังเข็มยาวซึ่งชี้ที่เลข 4 แล้วเอี้ยวศีรษะมองเข็มสั้นซึ่งชี้ที่เลข 2 “หวา...”
ในที่สุดหลิงหลงก็ได้ยินเสียงและรีบมาช่วย “ไม่เป็นไรใช่มั้ย!”
คิดไม่ถึงว่าจะบ้ายื่นหัวออกไปแบบนั้น เจ้าหมอนี่มันประสาทจริงๆ
“ไม่เป็นไร โชคดีที่รุ่นพี่ลากผมเข้ามาได้ แต่แปลก... เข็มยาวกํบเข็มสั้นแหลมเปี๊ยบเลย น่ากลัวชะมัด นาฬิกาทั่วไปเป็นแบบนี้รึเปล่า”
“แหลมเปี๊ยบเหรอ” หลิงหลงขมวดคิ้ว
“ครับ”
หลิงหลงเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขายื่นศีรษะออกไปบ้าง และแล้ว! ปริศนาที่ว่าเหตุใดฆาตกรรมต้องเกิดที่หอนาฬิกาก็กระจ่าง ถ้าเช่นนั้นฆาตกรก็คือ...
“เป็นไงบ้างครับ รุ่นพี่ สังเกตเห็นอะไรบ้างรึเปล่า” ลู่กั้วเห็นหลิงหลงสีหน้าเครียด ก็รู้ว่าต้องได้เรื่อง
“อือ ครั้งนี้ต้องชมนายเลยแหละ” หากลู่กั้วไม่คิดยื่นหัวออกไป เขาก็คงไม่รู้วิธีการของฆาตกรที่ทำให้ลู่กั้วกับป้าอ้วนเห็นศพในเวลาเดียวกัน
“จริงเหรอ?” ลู่กั้วยินดีแกมสงสัย เหอๆๆ บอกแล้วว่าครั้งนี้ต้องพึ่งพาเขาในการคลี่คาลยคดี
เห็นรึยังล่ะ ไป๋จิ้งฉี!
.............................
“อ๊ะ!” จิ้งฉีฟังคำอธิบายประกอบท่าทางของหลิงหลง ก็เข้าใจเรื่องราวทันที
“เป็นอย่างนี้นี่เอง! มีฆาตกรอยู่ในหมู่พวกเขาจริงๆด้วย” การสันนิษฐานว่าฆาตกรเป็นคนนอกและทฤษฎีการแอบแฝงเข้ามาในคฤหาสน์ที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้เป็นอันล้มพับไป
“แต่นี่ก็ยังใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ อีกอย่าง ถึงจะรู้วิธีการฆ่า แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าฆาตกรเป็นใคร”
“แต่เราวางหลุมพรางให้ฆาตกรมาติดกับได้นี่”
“แต่...” จิ้งฉียังรู้สึกว่าไม่ควรจะทำเช่นนั้น
“จิ้งฉี บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องรอการตัดสินว่าใครคือฆาตกร แล้วค่อยคลี่คลายคดี ตอนนี้ฆาตกรอาจมีเป้าหมายที่สอง ที่สามก็เป็นได้ แม้ไม่รู้ว่าใช้อะไรฆ่า แต่การฆ่าคนเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง พวกเราจะนิ่งดูดายไม่ได้ ต้องรีบหาตัวฆาตกรให้เร็วที่สุด!”
“ใช่ๆ ขืนมัวแต่ใจอ่อนปวกเปียกอย่างนายก็ไม่มีทางหาตัวฆาตกรได้หรอก ถึงเวลานั้นก็ต้องมาพึ่งลูกพี่ลู่กั้วตามเคย!” ลู่กั้วได้ทีตอกย้ำ
“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว” หลิงหลงพูดแทนจิ้งฉี “ความคิดของจิ้งฉีใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่บางครั้งเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยดวงและความกล้าหาญ กับการพลิกแพลงเล็กๆน้อยๆ”
“ความจริงพวกเรายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้ชัดว่าใครคือฆาตกร แต่ฆาตกรยังไม่รู้ตัว เขาต้องวางใจว่าจะไม่มีใครเปิดเผยฐานะของเขาได้ ฉะนั้นพวกเราต้องเริ่มต้นจากจุดนี้แหละ”
“อืม ครับ”
จิ้งฉีรู้สึกว่าคำพูดของหลิงหลงมีเหตุผล
ลูซิเฟอร์มองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านเงาในห้องน้ำ ก่อนยิ้มเย็นยะเยือก “หึ ฉลาดไม่เบาเจ้าพวกนี้ แต่ข้า ลูซิเฟอร์ไม่มีทางปล่อยให้พวกแกได้สมหวังง่ายๆ แน่!”
ซิงหลางนั่งอัดบุหรี่อยู่ด้านหนึ่ง ทานากะ ไอโกะเดินกระสับกระส่ายไปมา ส่วนคริสกับเหอหุ้ยก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟา ท่าทางเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง ใกล้ๆ กันนั้นพ่อบ้านกำลังกดโทรศัพท์ไม่หยุดโดยมีซิงเยี่ยนั่งลุ้นอยู่ข้างๆ มีเพียงซิงหัวเท่านั้นที่ดูจะไม่ร้อนใจเหมือนคนอื่นๆ เด็กน้อยเพียงแต่นั่งอยู่ข้างปล่อยไฟคอยสังเกตกิริยาอาการของทุกคนในห้องยู่เงียบๆ
เด็กหนุ่มสองคนเพิ่งจะเดินมาถึง ยังไม่ทันได้นั่ง จิ้งฉีก็ถามขึ้น
“เป็นไงบ้าง?”
“ยังไม่กลับกันมาเลย” พ่อบ้านตอบ
“เกิดอะไรขึ้น เอ๊ะ! แล้วหลิงหลงกับหวังซิ่งล่ะ” ลู่กั้วขยี้ผมสีเงินของตัวเองไปมา ท่าทางยังไม่ค่อยตื่นดี
“เมื่อกี้ตอนฟ้าผ่า อิฉันว่าจะไปเก็บผ้าห่มที่ตากไว้ตรงลานหน้าตึก แต่พอเดินผ่านหอนาฬิกาก็...ก็..” คุณป้ารูปร่างอ้วนท้วน แม่บ้านที่รับใช้ตระกูลซิงมากว่าสิบปีตัวสั่น
“แล้วไงต่อล่ะ” ลู่กั้วสนใจ กระตือรือร้นสดชื่นขึ้นมาทันที
“อิฉัน...อิฉันเห็นคนยืนอยู่บนหอนาฬิกา คิดว่าคงเป็นใครละเมอปีนขึ้นไป เลยรีบไปตามพ่อบ้าน แต่ว่า...พอขึ้นไปถึง ก็เห็นหวังซิ่งนอนตายอยู่บนนั้น” ป้าอ้วนยังหวาดผวาไม่หาย
“หา?!”
ลู่กั้วตกตะลึง สิ่งที่ตนเห็นเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝันเสียแล้ว
“ป้าพอจะจำได้ไหมว่าตอนนั้นกี่โมง” จิ้งฉีถาม
“ประมาณตีสามครึ่งเจ้าค่ะ ช่วงนี้พ่อบ้านกำชับว่าให้หมั่นดูนาฬิกา อิฉันเลยจำได้แม่นว่าประมาณตีสามครึ่งไม่ผิดแน่” ป้าอ้วนยืนยันหนักแน่น
“ใช่ๆ!” ลู่กั้วรีบเสริม “ฉันก็เห็นเหมือนกัน ตีสามครึ่งจริงๆ ตอนนั้นยังนึกว่าตัวเองตาฝาดไปซะอีก”
“ตาฝาด? นี่นายไม่รู้สึกตื่นตระหนกตกใจเลยซักนิดรึไง” จิ้งฉีฉุน “ถ้าหากนายรู้ตัวเร็วกว่านี้สักหน่อยละก็...”
“อะไรกัน ทำไมต้องมาลงที่ฉันด้วย ป้าอ้วนก็เห็นนะเว้ย ใครจะไปรู้ว่าเป็นศพหวังซิ่งล่ะ!”
ลู่กั้วโมโห
เขาไม่ใช่พระเจ้าซักหน่อย จะไปหยั่งรู้ได้ยังไงว่ามีคนตายอยู่บนหอนาฬิกา
“นี่นาย!” จิ้งฉีขบฟันแน่นอยากจะต่อว่าอีกหลายประโยค แต่ติดที่มีผู้อื่นอยู่ด้วย
“แล้วรุ่นพี่หลิงหลงล่ะ” ลู่กั้วโกรธจนไม่อยากจะพูดกับจิ้งฉี จึงหันไปถามคนอื่นแทน
“ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้วค่ะ ตอนนี้ขอให้ทุกคนอยู่ในนี้ก่อนอย่าพึ่งออกไปไหน” ซิงเยี่ยบอก
“แต่ฉันจะไป” ลู่กั้วไม่ฟัง บึ่งออกไปทันทีโดยไม่ได้หยิบร่มไปด้วย
“เจ้างั่ง!” จิ้งฉีจนปัญญาจะทัดทาน
หนอย ไอ้เวรตะไลไป๋จิ้งฉี ฉันไม่ได้มีตาทิพย์นะเว้ย จะได้รู้ว่าที่ยืนอยู่นั่นมันเป็นคนตาย!
ลู่กั้วก่นด่าอยู่ในใจ วิ่งฝ่าสายฝนตัวเปียกโชก
ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องซักอย่าง แถมยังคอยบสั่งโน่นนี่ อยู่กลุ่มเดียวกับเจ้าบ้านี่ต้องโชคร้ายไปสิบแปดชาติแน่ๆ!
วิ่งเข้าไปในประตูเล็กด้านขวาของหอนาฬิกา ภายในมีบันไดวนขดสูงขึ้นไป ลู่กั้วแหงนหน้าขึ้นมอง เห็นมีแสงตะเกียงสลัวๆ อยู่บนนั้น จึงตะโกนเรียก “รุ่นพี่หลิงหลง...อยู่บนนั้นใช่มั้ยครับ”
เงียบวังเวง ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ในใจลู่กั้วฉุกคิดขึ้น หรือว่า...
ขณะจะก้าวเท้าลงบนขั้นบันได พลันก็รู้สึกมีลมสงบไร้ทิศทางพัดวาบเข้าที่ด้านหลัง ขนลุกซู่ไปทั้งตัว เส้นประสาทเข็มงเกลียวขึ้นทันที กำลังจะหันไปดูให้แน่ใจ ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็วางลงบนบ่าของเขา
“เหวอ!”
ไม่ต้องรอให้สมองสั่งการ เสียงของลู่กั้วก็แผดลั่นสั่นสะเทือนไปทั่วหอนาฬิกา แล้วเงาร่างหนึ่งก็ปรากฎขึ้นตรงหน้า
“เฮ้ย นี่ฉันเอง! นายร้องหาพระแสงอะไร” เสียงแปดหลอดของลู่กั้วทำเอาหลิงหลงตกใจไปด้วย
“อยู่ๆ ก็โผล่มาแบบไม่ให้ซุ้มให้เสียง ใครจะไม่ตกใจบ้างเล่ารุ่นพี่!” ลู่กั้วเอามือกุมตรงหัวใจที่ยังเต้นแรงของตนเอง
“ฮ่ะๆ อยากจะรู้นัก ถ้าเป็นปีศาจจริง นายจะรับมือทันรึเปล่า แค่นี้ก็ตกใจซะ” หลิงหลงสงสัย
“ได้อยู่แล้ว เมื่อกี้ผมแค่ตื่นเต้นไปหน่อยเท่านั้นเอง” ลู่กั้วตอบสวนมาอย่างเร็ว “แล้วรุ่นพี่ไปไหนมาล่ะเนี่ย”
“ไปที่ห้องหลังซิ่ง อยากไปหาหลักฐานเพิ่มเติม” หลิงหลงพูดพลางเดินขึ้นบันไดไปข้างบน
“หวังซิ่งตายแล้วจริงๆ เหรอ แล้วตายยังไงล่ะ โดนวิญญาณแค้นฆ่าเอารึเปล่า” ลู่กั้วเดินตาม
“ในขั้นต้นสันนิษฐานว่าเป็นการฆาตกรรม” หลิงหลงหันมามองผู้ตามด้วยสายตาแฝงความนัย
“ฆาตกรรม?”
“อืม ใช่ หลังจากที่ตัดหัวของหวังซิ่งออก แล้วก็มัดศพให้เหมือนกับยืนติดอยู่บนหอนาฬิกา”
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”
“ไม่รู้สิ!”
ที่ห้องใต้หลังคาของหอนาฬิกา ศีรษะของหวังซิ่งวางนิ่งอยู่บนโต๊ะกลางห้อง ตอนหลิงหลงขึ้นมาครั้งแรกก็เห็นมันวางอยู่แบบนั้นแล้ว ส่วนตัวศพเอียงกระเท่เร่อยู่บนพื้น แต่ตอนนี้ถูกปิดคลุมไว้ด้วยผ้าขาว
“หยื้ย...” ลู่กั้วเปิดผ้าขาวผืนนั้นดูแวบหนึ่งแล้วก็ต้องรีบปิดลงทันที สภาพศพของหวังซิ่งช่างน่าเวทนาเหลือเกิน
“หลิงหลงๆ...” ทันใดนั้นเสียงของซิงเยี่ยก็ดังมาจากข้างล่าง เห็นได้ชัดว่าเธอไม่กล้าขึ้นมา
“มีอะไรงั้นรึ”
“เกิดเรื่องแล้ว รีบกลับไปที่ห้องโถงใหญ่เร็วเข้า” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความร้อนรน
หลิงหลงกับลู่กั้วสบตากับวูบหนึ่ง แล้วจึงรีบเร่งตามซิงเยี่ยออกจากหอนาฬิกาไปทันที
บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ดูเคร่งเครียดกว่าปกติ เสียงตะคอกของซิงหลางดังไปถึงข้างนอก
“ใคร! ใครตัดสายโทรศัพท?! บอกมานะ!”
“สายโทรศัพท์ขาดงั้นเหรอ” หลิงหลงตระหนก ที่นี่ไม่มีสัญญาณมือถือซะด้วย ถ้าอย่างนี้แปลว่าพวกเขาไม่เหลือเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ได้เลยซักชิ้นเดียว ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
“ถ้าใช้เส้นทางเดิม ก็น่าจะออกไปจากที่นี่ได้ไม่ยาก” จิ้งฉีเสนอ สีหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ฝนตกหนักแบบนี้ หินถล่มดินทลาย อันตรายมากนะขอรับ!” พ่อบ้านแนะ
“นายไปตรวจสอบมาแล้วใช่ไหม ตกลงหวังซิ่งตายยังไง แล้วใครเป็นคนฆ่า!?” ไอโกะออกอาการหุนหัน
“ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นคือเขาถูกฆาตกรรม ส่วนใครจะเป็นฆาตกรต้องพิสูจน์กันอีกที” หลิงหลงกวาดตามองทุกคน
“ฆาตกรรม?...” เหอหุ้ยตะลึง เซถอยหลังไปหลายก้าว
“เป็นไปได้ว่าฆาตกรอาจจะอยู่ในกลุ่มพวกเรานี่แหละ ฉะนั้นขอให้ทุกคนระมัดระวังตัว ทางที่ดีอย่าพยายามไปไหนมาไหนคนเดียว”
“พูดบ้าอะไรน่ะ!” ซิงหลางตวาด “รู้ๆ อยู่ว่าฆาตกรอยู่ในหมู่พวกเรา ฝนหยุดตกเมื่อไหร่ฉันจะไปจากคฤหาสน์ปีศาจนี่! เปิดกล่องมังกรได้แล้ว ค่อยกลับมาบอกพวกนายทีหลังก็ไม่เห็นเป็นไร”
“ไม่ได้ครับ” พ่อบ้านส่ายหัว “นายท่านเคยสั่งไว้ก่อนตายว่าปริศนามังกรต้องถูกเปิดเผยในคฤหาสน์หลังนี้เท่านั้น ถ้าจากไปก็ถือว่าสละสิทธิ์”
“เกิดเรื่องแบบนี้แล้ว พวกคุณยังอยากจะอยู่ต่อกันอีกเหรอ?!” จิ้งฉีไม่เข้าใจ
“ถ้าไม่ใช่เพราะเงินสามพันล้านนั่น ผมคงจะออกจากที่นี่ไปนานแล้ว” คริสผงกหัวยอมรับ
“แต่ฉันไม่กลัว” ลู่กั้วโพกศีรษะไปพูดไป “สามพันล้านนั่นต้องเป็นของฉัน!” ท่าทางมั่นใจ
“ถ้างั้น ฉันก็ไม่ควรประมาทปีศาจน้อยอย่างพวกนาย” ซิงหลางสวนทันควัน
มีเพียงไอโกะเท่านั้นที่ไม่ยอมพูดอะไร สีหน้าของเธอเรียบเฉนคล้ายลังเลใจ
“เฮ้อ...ถ้าไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไร ก็ไม่ต้องกลัวภูตผีมาเคาะประตูตอนกลางดึก” ซิงหัวพูดขึ้นเสียงเย็นๆ
“ใช่ๆ อาจารย์ซิงต้องคุ้มครองพวกเราแน่นอน” แม้เหอหุ้ยไม่รู้ความหมายในคำพูดของซิงหัว แต่ก็เห็นด้วยอย่างชื่นชม
“ป้าอ้วน ป้าลองนึกทบทวนเหตุการณ์นั้นอีกครั้งได้มั้ยครับ” จิ้งฉีถามแม่บ้านที่สติยังไม่กลับคืนมา
“เจ้าค่ะ คือ...อิฉันได้ยินเสียงฟ้าร้องก็รู้ว่าฝนต้องตกแน่ๆ เลยรีบไปเก็บผ้าห่มหน้าตึก พอเดินผ่านหอนาฬิกาก็เห็นประตูเล็กด้านข้างเปิดอยู่ ก็เลยมองขึ้นไป ตอนนั้นท้องฟ้ามืดมาก แต่ก็พอจะเห็นเงาตะคุ่มๆ ของใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างบน ยังนึกว่า...เป็น...” ป้าอ้วนเหลือบมองไปที่พ่อบ้านกับซิงเยี่ย แล้วก็ตัดสินใจไม่พูดคำสุดท้ายออกมา “อิฉันไปตามพ่อบ้านให้ขึ้นไปดูข้างบนด้วยกัน แล้วก็เห็น...หัวของคุณหวังวางอยู่บนโต๊ะ”
“เวลาตอนนั้นคือตีสามครึ่ง?” หลิงหลงถามต่อ
“ตอนนั้นพ่อบ้าเตือนให้อิฉันดูเวลาไว้ให้ดี จำได้ว่าเป็นตีสามสี่สิบหก แต่ว่าตั้งแต่ตื่นไปเก็บผ้าจนเห็นเหตุการณ์แล้ววิ่งไปบอกพ่อบ้าน ก็เสียเวลาไปประมาณตีสามครึ่งกว่านิดๆ” ป้าอ้วนคิดคำนวณอย่างละเอียด
“ตีสามครึ่งนั่นแหละถูกแล้ว” ลู่กั้วย้ำอย่างมั่นใจ “ตอนนั้นฉันก็ดูนาฬิกา เห็นเงาคนแว็บผ่านไปตอนตีสามครึ่งแน่ๆ”
“ไม่นะคะ ราวตีสามครึ่ง อิฉันก็ดูนาฬิกาอยู่เหมือนกันไม่เห็นมีคนเดินผ่านไปเลย” ป้าอ้วนพูดขึ้น
“ป้าบอกว่า ราว ตีสามครึ่ง งั้นก็แสดงว่ายังไม่น่ใจ” ลู่กั้วโต้กลับ
“เอาอย่างนี้ พวกเราลองมาช่วยสอบปากคำดีกว่า ป้าอ้วนเธอก็ลองนึกทบทวนสิ่งที่ทำลงไปทั้งหมดในตอนนั้นอีกครั้ง แล้วพวกเราก็ช่วยกันดูว่าจริงๆ แล้วใช้เวลาไปเท่าไหร่กันแน่ อย่างนี้ก็จะสามารถนับย้อนไปเวลาที่แม่บ้านเห็นศพครั้งแรกได้” พ่อบ้านเสนอความเห็น
“อืม...ก็ดีค่ะ” ป้าอ้วนพยักหน้า
...........................
หลังจากสอบปากคำป้าอ้วนเรียบร้อยแล้ว หลิงหลงก็กลับเข้าห้องของตัวเอง ด้านจิ้งฉีและลู่กั้วหลังจากส่งคนอื่นๆ กลับห้องไปหมดแล้วก็เข้ามาหารุ่นพี่เหมือนเคย
“ใช้เวลาสิบเอ็ดนาที”
“หมายความว่า ครั้งแรกที่ป้าอ้วนเห็นศพก็คือ ตีสามสามสิบห้านาที!” ลู่กั้วร้องเสียงดัง “เห็นมั้ย...ฉันว่าแล้วตีสามครึ่งจริงๆ”
“เดี๋ยวๆ” จิ้งฉีคิดขึ้นมาได้ “ตอนที่นายเห็นนั่นน่ะ จริงๆ แล้วน่าจะเป็นตอนที่ฆาตกรกำลังเคลื่อนย้ายศพของหวังซิ่งมากกว่า!”
“แล้วไง” ลู่กั้วรู้สึกว่าตัวเองพลาดไปเต็มเปา แต่ปากก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี
“ยังมาแล้วไงอีก ไม่เสียดายโอกาสบ้างรึไง ถ้าตอนนั้นนายระแวงซักนิดก็จับฆาตกรได้แล้ว” จิ้งฉีโมโห
“แต่ตอนนั้นนายก็นอนหลับอุตุเหมือนกัน เพราะงั้นไม่มีสิทธิ์มาว่าฉันแบบนี้” ลู่กั้วคำรามใส่จิ้งฉี
“กัดกันไปก็ไร้ประโยชน์ เรามาช่วยพิจารณาคดีนี้กันอีกครั้งดีกว่า” หลิงหลงเตือนสติ “ลู่กั้ว ไหนนายลองทบทวนเหตุการณ์ตอนนั้นอีกทีซิ”
“อืม...” พอพูดกับหลิงหลงน้ำเสียงของลู่กั้วก็อ่อนลงมาก “ตอนนั้นผมได้ยินเสียงฟ้าผ่า จึงรู้ตัวว่าดึกแล้ว แต่ผมไม่มีนาฬิกาก็เลยมองไปที่หอนาฬิกาข้างนอก ตอนนั้นเป็นเวลาตีสามครึ่งจริงๆ นะครับ รุ่นพี่...แล้วผมก็เหนื่อยด้วย ก็เลยไม่ได้ใส่ใจ นอนหลับไป จนไอ้หมอนั่นมาเรียกนั่นแหละ”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เวลาในการตายของหวังซิ่งก็น่าจะเป็นประมาณตีสามครึ่ง แล้วฆาตกรก็คงจะต้องหนีออกมาในเวลานั้นเหมือนกัน” จิ้งฉีสรุป
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้ อะไรกันเนี่ย!” ลู่กั้วงง กระฟัดกระเฟียดขึ้นมา
“พวกนายไม่รู้สึกแปลกเลยรึไง” หลิงหลงตั้งข้อสังเกต “เวลาที่ลู่กั้วเห็นต่างกันเพียงห้านาที แต่จากบนหอนาฬิกาลงมาข้างล่างใช้เวลาแค่สองนาที แล้วเจ้าฆาตกรนั่นก็ยังเล็ดลอดออกไปได้ ไม่ถูกป้าอ้วนพบ พวกนายว่าเป็นไปได้รึเปล่าล่ะ”
“เขาคงบินหนีไปมั้ง” ลู่กั้วตอบ
“พวกนายจำได้ไหมว่าฝนเริ่มตกตอนไหน” จิ้งฉีไม่สนใจเพื่อนคู่หู
ลู่กั้วทำหน้าตายียวน “เกี่ยวอะไรกับฝนตก”
“ป้าอ้วนบอกว่าตอนไปตามพ่อบ้านฝนก็เริ่มตกแล้ว ถ้าฆาตกรหนีไปตอนที่ป้าอ้วนไปตามพ่อบ้านก็ต้องเปียกฝน จิ้งฉี ตอนที่นายไปเรียกพวกเขามารวมตัวกันเห็นใครตัวเปียก ผมเปียกบ้างมั้ย”
“ไม่มีครับ ผมจำได้ ตอนนั้นมีไอโกะคนเดียวที่ดูเหมือนจะยังไม่ได้นอน คนอื่นๆ ก็ถูกผมปลุกให้ตื่นกันทั้งนั้น ไม่มีใครตัวเปียกเลยซักคน” จิ้งฉีตอบ
“อ๋อ เข้าใจแล้ว” ลู่กั้วเหมือนพึ่งจะตามทัน “งั้นก็แสดงว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุเลยซักคนใช่ไหม”
“ตอนนี้ยังต้องถือว่าไม่ใช่ พวกเขาเป็นเพียงผู้อยู่ร่วมในเหตุการณ์เท่านั้น” หลิงหลงตอบ
“แล้วจะทำไงดีล่ะ รุ่นพี่ ดูท่าแล้วหากยังไม่ได้มรดกของคุณซิง พวกเขาไม่มีทางออกไปจากที่นี่แน่ๆ” ลู่กั้วยักไหล่
“คนที่อยากจะได้เงินสามพันล้านจนตัวสั่นอย่างนาย ยังมีหน้าไปว่าคนอื่นอีก!” จิ้งฉีจ้องตาลู่กั้ว
“พอทีน่า ฉันยังมีเรื่องแย่ๆ อีกเรื่องที่ยังไม่บอกพวกนาย” หลิงหลงหยุดนิดหนึ่ง “ที่นี่ถูกตรึงเอาไว้แล้ว”
“อะไรนะ?” จิ้งฉีกับลู่กั้วตกใจตาโตขึ้นมาพร้อมกัน
“ตอนที่พบว่าลู่กั้วไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของฉันที่หอนาฬิกา ฉันก็รู้สึกแปลกใจ มันเป็นไปไม่ได้ว่าคนของหน่วยพิเศษจะแยกแยะสัมผัสระหว่างคนกับปีศาจไม่ออก และเมื่อกี้ฉันลองทดสอบดูแล้วใช้เวทมนตร์ไม่ได้เลย แสดงว่ามีการสร้างขอบเขตตรึงพลังเวทมนตร์เอาไว้ น่ากลัวว่าจะมีใครบางคนร้ายกาจมากอยู่ที่นี่ด้วย” หลิงหลงสูดหายใจเข้าเหมือนรวบรวมพลัง
“ต้องเป็นเจ้าซิงหัวแน่ๆ มันคือลูซิเฟอร์ นั่นแหละ!” ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ลู่กั้วก็รู้สึกว่าเจ้านั่นต้องเป็นลูซิเฟอร์ที่เคยเจอเมื่อก่อนนี้
“อือ...ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเป็นลูซิเฟอร์ก็ไม่น่าจะโตเร็วขนาดนี้” ยากนักที่ความเห็นของลู่กั้วกับจิ้งฉีจะตรงกัน
“ลูซิเฟอร์?” เป็นครั้งแรกที่หลิงหลงได้ยินชื่อนี้ “ชื่อเหมือนกับจอมมารของประเทศตะวันตกเลยแฮะ”
“อืม เขาน่าจะเป็นพวกฝ่ายมารน่ะ รุ่นพี่ แต่แปลกที่เขาจะเรียกตัวเองว่าเจ้าแห่งความกลัว” จิ้งฉีว่า
แปลกแฮะ...ไม่เคยได้ยินชื่อนี้ในบรรดาคนของฝ่ายมารเลย!
หลิงหลงคิดในใจแต่ไม่พูดออกมา
“ฉันจะไปหาเจ้านั่นเอง! หากเป็นฝีมือมันจริง อย่าหวังเลยว่าจะหนีรอดไปได้” ลู่กั้วรู้สึกเสียดายที่ครั้งก่อนไม่ได้กำจัดลูซิเฟอร์ให้สิ้นซาก
“อย่าพึ่งวู่วาม ถ้าเขาเป็นคนบงการเรื่องทั้งหมดนี่จริง เขาก็ต้องมีพลังที่แข็งแกร่งมากๆ เลยทีเดียว” เมื่อครู่หลิงหลงได้ลองสลายขอบเขตตรึงเวทมนตร์แล้วแต่ไม่เป็นผล แสดงว่าคนที่สร้างขอบเขตขึ้นมาจะต้องมีพลังไม่ด้อยไปกว่าเขา
“ใช้เวทมนตร์ไม่ได้แบบนี้ มันก็ไม่มีทางดิ้นหลุดหรอกน่า พวกเรามีตั้งสาม ชนะขาดแหงๆ” ลู่กั้วมั่นใจเต็มร้อย
“โง่อีกแล้ว! ไม่รู้รึไง คนที่ตรึงเขตเวทมนตร์ไว้ถ้านึกจะถอนออกเมื่อไหร่ก็ได้อยู่แล้ว” จิ้งฉีทั้งกังวลทั้งโมโหต่อสมองของลู่กั้ว
“ถ้ามันถอนออก พวกเราก็ใช้เวทมนตร์ได้ ยังไงก็สามต่อหนึ่งอยู่ดี” ลู่กั้วเชื่อมั่นในเหตุผลนี้เป็นอย่างยิ่ง
“ฉันขี้เกียดจะพูดกับคนสมองนิ่มอย่างนายแล้ว”
“ฉันต่างหากที่ขี้เกียจพูดกับนาย การต่อสู้ครั้งก่อนเห็นเอาแต่ยืนหลบมุมตัวสั่นงกๆ ต้องพึ่งฉันถึงเอาชีวิตรอดมาได้ ไม่อยากไปก็บอกสิ ไอ้ขี้ขลาด”
“ลู่กั้ว พูดอย่างนี้แรงไปแล้ว!” หลิงหลงตักเตือน “จิ้งฉีพูดถูกระมัดระวังไว้หน่อยก็ดี ตอนนี้พวกเราอยู่ในที่แจ้ง ฝ่ายตรงข้ามอยู่ที่มืด ก่อนที่อะไรๆ จะชัดเจน ไม่ควรบุ่มบ่ามทำอะไรที่ไม่ไตร่ตรองจนไปติดกับดักของคนร้ายเข้า”
“ชิ!” แม้ปากของลู่กั้วจะไม่ได้พูดอะไร แต่ในใจยังคงแข็งขืนไม่ยอมรับ
กลางดึก ลู่กั้วนอนไม่หลับ ได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นตรงออกไปที่ห้องของซิงหัวอย่างเงียบเชียบ แต่ขณะเดินผ่านห้องซิงหลาง เขาก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน
“หวังซิ่งตายแล้ว นายว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นรึเปล่า” เป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง
“ไม่รู้...ฉันไม่อยากได้แล้ว ไอ้เงินสามพันล้านนั่น พอฝนหยุดตกฉันจะไปทันที” ซิงหลางเสียงสั่นเล็กน้อย
“ก็แล้วแต่นาย แต่ฉันคิดดีแล้ว ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!” เสียงผู้หญิงไม่พอใจ
“เฮอะ ฉันกำลังคิดว่าตาแก่นั่นจะมีสามพันล้านอยู่จริงเรอะ” คำพูดของซิงหลางบอกชัดว่าไม่คุ้มค่า
“ทำไมจะไม่มี...เฉพาะคฤหาสน์นี่ก็กว่าพันสองร้อยล้านแล้ว”
“กลัวว่าจะมีวาสนาได้มา แต่ไม่มีวาสนาได้ใช้มันนะสิ”
หญิงสาวเงียบเสียงลง
แย่แล้ว ถ้าหากซิงหลางออกไป ซิงหัวก็ต้องตามออกไปด้วยน่ะสิ เห็นท่าต้องชิงลงมือก่อนเสียแล้ว!
ลู่กั้วคลำทางไปในความมืด จนมาถึงหน้าห้องของซิงหัว ขณะกำลังคิดจะแอบมองลอดช่องประตูเข้าไปข้างใน ทันใดนั้นประตูไม้บานใหญ่ก็เปิดออกลู่กั้วที่ไม่ทันได้ยึดเท้าให้มั่น ก็พุ่งล้มไปข้างหน้าอย่างไม่เป็นท่า
“ฮ่าๆ รู้อยู่แล้วว่าแกต้องมา!” น้ำเสียงซิงหัวเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“แกรู้ งั้นเหรอ!” ลู่กั้วค่อยๆ ยันกายขึ้น ท่ามกลางความมืด เขาจ้องเข้าไปในตาซิงหัว ตานั่นเป็นสีดำ ครั้งก่อนที่ปะทะกัน ตาของลูซิเฟอร์ก็เป็นสีดำก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง
“หวัดดี พวกเราเคยพบกันมาก่อนใช่มั้ยล่ะ”
“หึๆ สายตาแหลมคมดีนี่” ซิงหัวหัวเราะ
“อา! แกคือลูซิเฟอร์จริงๆ ด้วย” ลู่กั้วอึ้ง เซถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว “ทำไมแกถึงโตเร็วแบบนี้”
“การเจริญเติยโตของข้ากับมนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่เหมือนกัน” ลู่ซิเฟอร์ไม่คิดปิดบัง
“แกฆ่าหวังซิ่งใช่มั้ย!” ลู่กั้วตั้งท่าพร้อมรับมือกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้า
ลูซิเฟอร์แสยะยิ้ม “หึๆ เพื่อนอีกคนของแกไม่ได้บอกหรือว่าที่นี่ถูกข้าปิดผนึกเอาไว้แล้ว ตอนนี้เจ้าก็ไม่ต่างจากมดปลวกที่จะขยี้ให้ตายเมื่อไหร่ก็ได้”
“ชิ! คนอย่างฉันสะกดคำว่า “กลัว” ไม่เป็นหรอกเฟ้ย!”
“ฮ่าๆ วางใจได้เลย ครั้งนี้ข้าไม่ได้มาเอาชีวิตพวกแก มันยังไม่ถึงเวลาของพวกแกทั้งสามคนหรอก ยิ่งสำหรับคนธรรมดาพวกนั้นยิ่งไม่ควรจะให้ข้าลงมือด้วยซ้ำ ฮ่าๆ...”
“แกคิดจะทำอะไรกันแน่?!” ลู่กั้วรู้ดีว่าปีศาจอย่างลูซิเฟอร์คงไม่ได้มาเที่ยวเล่นแน่ๆ “แล้วที่บอกว่าเป็นลูกของซิงหลางล่ะ”
“ข้อก็แค่สร้างความทรงจำใหม่ให้พวกเขา ก้เท่านั้น วางใจเถอะ ข้าแค่อยากจะเข้ามาดูอะไรสนุกๆ เท่านั้น แต่ก่อนจะถึงตอนนั้นห้ามพวกแกก่อความวุ่นวายเด็ดขาด!”
....................................
“อา...” ลู่กั้วสะดุ้งตื่นพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง มองไปรอบๆ จึงรู้ว่านี่เป็นห้องของตร
แปลกจริง เมื่อคืนเขาไปหาซิงหัวนี่หน่า แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ หันไปมองหอนาฬิกาที่อยู่ด้านนอก “เฮ้ย! เลยสิบโมงแล้วนี่!” เขาพลิกตัวลงจากเตียงอย่างรีบร้อน
เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ ลู่กั้วก็พบกับความวุ่นวายเข้าอีกแล้ว จิ้งฉีกับหลิงหลงที่มาถึงก่อนกำลังมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ลู่กั้วไม่รอให้จิ้งฉีเปิดปาก รีบถามออกไปก่อน
“ทำไมนายไม่เรียกฉัน”
“นายมันชอบใส่ความคนอื่นก่อนอยู่เรื่อย! นอนเป็นหมูตายซากอย่างนั้น เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น” จิ้งฉีเขม้นมอง
“ชิ!” ลู่กั้วไม่พอใจ พาลตัดสินใจจะไม่บอกเรื่องเมื่อคืนกับจิ้งฉี ลงแบบนี้แล้วเขาต้องคลี่คลายคดีด้วยตัวเองให้ได้!
“ตอนนี้ทุกคนยังคงออกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น สิ่งที่ควรจะทำคือรวมกลุ่มกันไว้ อย่าให้ฆาตกรมีโอกาสทำร้ายเราได้” หลิงหลงพูดขึ้น
“ออกไปไม่ได้?” ลู่กั้วพึ่งจะมาถึง จึงไม่รุ้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อือ...ภูเขาถล่มทำให้ทางขาด ต้องรอซ่อมแซมประมาณสามวัน” ซิงเยี่ยบอก
“เฮอะ นี่แสดงว่าฆาตกรอยู่ในกลุ่มพวกเรา ถูกไหม” ซิงหลางแค่นหัวเราะ
เงียบ ไม่มีคำตอบ
คริสเห็นบรรยากาศเริ่มตึงเครียดจึงเสนอไอเดีย “ฉันว่า เรามาหาข้อมูลจากกล่องปริศนามังกรกันดีกว่า”
“เกี่ยวอะไรกับปริศนามังกร” ลู่กั้วไม่เข้าใจ
“มันทำจากไม้หวู่ถง” พ่อบ้านพูดขึ้น
“อา...ไม้หวู่ถง” ลู่กั้วรีบล้วงสมุดเล่มเล็กออกมาจด
แต่คนอื่นๆ รู้สึกว่าข้อมูลนี้ไม่มีประโยชน์อะไร จึงไม่มีใครสนใจจะจำ
“ผมว่าจะไปสำรวจดูที่หอนาฬิกาหน่อย” จิ้งฉีหันไปบอกกับหลิงหลง
“อืม ก็ดี...ไปด้วยกันไหมลู่กั้ว” หลิงหลงก็คิดจะไปเช่นกัน แต่ในพวกเขาสามคน จำต้องเหลือใครคนใดคนหนึ่งไว้สังเกตการณ์ในห้องโถงใหญ่
“ผมไม่ไปกับเจ้ากะเทยนั่นหรอก!” ลู่กั้วต้องการอยู่ที่นี่เพื่อค้นหาปริศนามังกรมากกว่า
“นี่...ฉันไปด้วยได้รึเปล่า” ซิงเยี่ยถาม
“ได้สิ! ฝากทางนี้ด้วยนะลู่กั้ว” หลิงหลงรู้สึกผิดคาด
“ไม่มีปัญหา” หึหึ ลู่กั้วยิ้มน้อยๆ อาศัยคำสนทนาของคนในห้องนี้ อาจจะช่วยไขปริศนามังกรได้เป็นคนแรกก็ได้
จิ้งฉี หลิงหลง และซิงเยี่ยไปที่หอนาฬิกาด้วยกัน
ศพของหวังซิ่งถูกนำออกไปแล้ว แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาเป็นแนวเฉียง ทำให้ความน่ากลัวลดลงไปมาก จิ้งฉีสำรวจโดยรอบแต่ก็ไม่พบบริเวณต้องสงสัย
“บนนี้มีชั้นลอยที่ต่อเนื่องกับห้องใต้หลังคา หวังซิ่งถูกฆาตกรลากขึ้นชั้นลอยแล้วมัดไว้ แต่แปลกมากที่...” หลิงหลงบ่นพึ่มพำ
“รอยเลือดใช่ไหมครับ” จิ้งฉีถาม
“อืม ก่อนอื่นเราต้องสำรวจว่าเหยื่อถูกทำร้ายที่ไหน แต่ในห้องนี้ไม่มีเลือดให้เห็นซักหยด ตอนเคลื่อนย้ายศพไปห้องใต้หลังคาน่าจะมีรอยเลือดให้สังเกตเห็นได้บ้าง แต่ก็ไม่มี”
“ผมคิดว่าน่าจะเป็นตรงนี้ เพราะถ้าเคลื่อนย้ายศพจากที่อื่นมาก็น่าจะมีรอยลากให้เห็นบ้าง อีกอย่างจะเสียเวลามากด้วย”
“คุณหนูซิงเยี่ย หวังซิ่งเป็นคนยังไงเหรอครับ” หลิงหลงให้ซิงเยี่ยมาด้วยเพื่อถามเรื่องบางอย่างเพียงลำพัง
“เรื่องนี้...ฉันก็ไม่รู้ค่ะ” ซิงเยี่ยส่ายหัว “พ่อไม่ชอบให้ฉันถามเรื่องเกี่ยวกับเขา เหมือนท่านจะไม่ค่อยชอบเขาเท่าไหร่ ครั้งก่อนฉันได้ยินพ่อคุยโทรศัพท์กับเขา น้ำเสียงของท่านโมโหมาเลยล่ะ”
“ทำไมล่ะครับ” จิ้งฉีถามอีก
“ดูเหมือนจะเป็นเรื่องของการเข้าไปลงทุนในตลาดญี่ปุ่น” ซิงเยี่ยย้อนคิด “แต่พอฉันถามพ่อ พ่อก็บอกว่าไม่มีอะไรทุกที”
“พ่อของคุณ...” จิ้งฉีอยากถามว่า ‘เสียชีวิตแล้วจริงหรือ’ แต่รู้สึกว่าการถามเช่นนี้ดูจะโหดร้ายเกินไป จึงได้แต่เก็บไว้ในใจ
“พ่อเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ ตอนนั้นฉันกับพ่อบ้านก็อยู่ด้วย” คนสุขุมแกมฉลาดอย่างซิงเยี่ยมีหรือจะไม่รู้ทันความคิดของจิ้งฉี “อีกอย่าง พ่อไม่มีวันทำเรื่องแบบนี้ได้หรอกค่ะ พ่อเป็นคนใจบุญใจกุศลมาโดยตลอด ไม่มีทางฆ่าคนได้อย่างเด็ดขาด”
“พวกเราก็รู้ว่าอาจารย์ซิงเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม แต่คดีฆาตกรรมครั้งนี้อาจเกี่ยวข้องกับคนในตระกูล วางแผนสร้างสถานการณ์ หวังฮุบเงินสามพันล้านก็เป็นได้” หลิงหลงสรุป
“หมายความว่าผู้เคราะห์ร้ายรายต่อไปอาจเป็นหนึ่งในพวกเรา” ซิงเยี่ยหน้าเครียด
“อืม ใช่ ผมจึงขอให้ทุกคนสามัคคีกันไว้ เพื่อปกป้องชีวิตของตนเองให้ปลอดภัยยังไงล่ะ” หลิงหลงพยักหน้า
“ทำไมฆาตกรต้องมาก่อเหตุที่นี่ด้วย” จิ้งฉีโพล่งขึ้น “การฆ่าคนในที่แบบนี้ถือว่าเสี่ยงมาก แถมยังเสี่ยงต่อการถูกพวกเราพบเห็นด้วย อีกอย่างเขาเคลื่อนย้ายศพไปห้องใต้หลังคาเพื่ออะไร”
“ผมว่า เรื่องนี้ต้องไม่ใช่การฆ่าคนโดยบังเอิญ แต่เป็นการฆ่าโดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว!”
“ถูกต้อง” หลิงหลงเห็นด้วยกับจิ้งฉี “แต่นี่เป็นเพียงการสันนิษฐานไม่มีหลักฐานอื่นๆ”
“ครับ...” จิ้งฉียอมรับ เขาคิดทบทวนอีกครั้ง
ใช่...ทุกคนที่นี่ล้วนเป็นผู้ต้องสงสัย ไม่เว้นแม้แต่ซิงเยี่ยฉะนั้น ไม่ควรให้เธอรู้ความเคลื่อนไหวหรือความคืบหน้าของพวกเรา
“พอกันทีๆ...!” ลู่กั้วลูบศีรษะตะโกนก้อง
“เป็นไรไป?” คนทั้งห้องหันมามองเขาเป็นตาเดียว
“เจ้าปริศนามังกรนี่ทำให้ฉันคิดจนผมหงอกไปหมดแล้ว!” ลู่กั้วคิดแทบหัวระเบิด แต่ก็ยังหาวิธีเปิดกล่องไม่ได้
“ผมของนายก็หงอกอยู่แล้วนี่” ซิงหัวยิ้มเยือกเย็นอยู่อีกมุมหนึ่ง
“แก...” ลู่กั้วคิดจะด่า แต่ก็กลืนถ้อยคำหยาบคายทั้งหมดลงไปเสียก่อน
“ชิ ไม่เล่นแล้ว! กล่องไม้บ้าบออะไรไม่รู้ ของเล่นปัญญาอ่อนแบบนี้โยนทิ้งดีกว่า!” เขาหยิบกล่องไม้ขึ้นทำท่าจะเขวี้ยงทิ้ง
“อย่านะครับ!” พ่อบ้านยับยั้งไว้ “สิ่งที่อยู่ด้านในเป็นชีวิตจิตใจของนายท่าน หากคิดถอนตัวก็ขอให้ส่งกลับคืนมาดีๆ อย่าทำเสียหายเลยครับ!”
“ใครบอกว่าผมจะถอนตัวเล่า” ที่แท้ลู่กั้วคิดจนปวดหัวเลยอยากจะระบายอารมณ์ออกมาตามวิสัยหมาป่าเจ้าอารมณ์ แต่ไม่ยอมเสียเงินสามพันล้านง่ายๆ
น่าเสียดาย การกระทำของเจ้าหมอนั่นอาจทำให้เห็นส่วนประกอบที่อยู่ข้างในก็ได้! คนอื่นๆ ในห้องต่างก็คิดพ้องต้องกัน
“สามพันล้านไม่ใช่จะหามาได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีความอดทนก็ไม่มีทางได้หรอก ลู่กั้ว!”
หลิงหลงกับจิ้งฉีแม้อยู่ห่างไกลก็ยังได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของลู่กั้วในห้องโถงใหญ่ ทั้งน่าโมโหทั้งน่าขำจริงๆ
“ถึงจะมีความอดทน แต่ถ้าไม่มีมันสมอง ยังไงๆ ก็ไม่มีทางได้สามพันล้านนั่นหรอก!” จิ้งฉีประชดประชัน
“เฮ้! เรื่องมันสมองน่ะ หากฉันเป็นที่สองในใต้หล้า ก็ไม่มีใครกล้าเป็นที่หนึ่งแล้ว!” ลู่กั้วตบอกพูดฉะฉาน
“นายพูดถึงหมูอยู่งั้นเหรอ” ซิงหัวพูดขึ้นมาหน้าตาเฉย
“ฮ่าๆๆๆ...” ทุกคนหัวเราะกันครืน บรรยากาศที่ตึงเครียดมานานจึงผ่านคลายลงไปบ้าง
บัดซบ! ไม่คิดเลยว่าเจ้ากะเทยไป๋จิ้งฉีจะช่วยศัตรูเล่นงานพวกเดียวกัน ร่วมงานกับเจ้าลูซิเฟอร์ทำร้ายเรา!
ลู่กั้วโมโหจนอกแทบระเบิด
คอยดูเหอะ! ครั้งนี้ฉันจะต้องไขปริศนามังกรให้ได้ และต้องคลี่คลายคดีนี่ได้ด้วย ขอเอาทรัพย์สินส่วนตัวเป็นประกัน!
ความฝันมักสวยงามกว่าความเห็นจริงเสมอ ที่นี่ถูกลูซิเฟอร์ใช้พลังบางอย่างปิดกั้นขอบเขตไม่ให้สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ตอนนี้ลู่กั้วก็ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา คิดคลี่คลายคดีร่วมกับหลิงหลงและจิ้งฉีก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งเมื่อใช้เวทมนตร์ไม่ได้ พวกเขาก็ต้องใช้วิธีธรรมดาแก้ปัญหานี้ให้ได้
“ฉันจะไปบ้าง!” ลู่กั้วประท้วง “ทำไมพวกนายสองคนต้องไปตรวจที่เกิดเหตุด้วยกันแล้วทิ้งฉันไว้คนเดียวทุกทีเลยล่ะ”
“นายไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ” จิ้งฉีไม่สนใจ
“แกไปได้ประโยชน์กว่างั้นสิ โธ่เอ๊ย ก็ไม่เห็นจะได้เรื่องอะไรกลับมา” ลู่กั้วเคือง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า นายสองคนไปเถอะ” หลิงหลงสรุป เขารู้สึกว่าการตัดสินใจครั้งนี้ เขาควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพโดยแท้
“ฉันไม่ไปกับไอ้กะเทย!” ลู่กั้วไม่ยอม
“ขอโทษด้วย ฉันก็ไม่ได้อยากไปกับหมาป่าที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนนักหรอก!” จิ้งฉีก็เหมือนกัน
สองพระหน่อเมื่อไหร่จะสามัคคีกันได้หนอ?
หลิงหลงครุ่นคิดพลางมองไปที่ใบหน้ามู่ทู่ของทั้งสอง
“งั้น...ฉันยอมเสียเปรียบให้กับแกก็ได้ แต่รุ่นพี่หลิงหลงต้องไปด้วย ฉันจะได้ไม่ต้องอยู่กับแกตามลำพัง” ลู่กั้วยอมอ่อนข้อตกลงมองหลิงหลงพลางขอความเห็น
“พวกเราไปด้วยกันสามคนไม่ได้ อย่างน้อยต้องมีคนหนึ่งอยู่คอยดูพวกเขา”
“งั้น...ผมอยู่เอง!” จิ้งฉีอาสา เพราะลู่กั้วทำวุ่นวายแท้ๆ เขาจึงต้องอยู่
“อืม..ก็ดี...” หลิงหลงพยักหน้า
หลิงหลงกับลู่กั้วไปที่หอนาฬิกาแล้ว จิ้งฉีอยู่ในห้องโถงใหญ่ ใช้ความคิดอยู่เงียบๆ
“ไม่เห็นจะมีอะไรแปลกประหลาด” ลู่กั้วมองไปรอบห้องแคบๆ ในหอนาฬิกา
“ก็เพราะไม่มีอะไรแปลกประหลาดนี่สิจึงน่าสงสัย” ครั้งก่อนซิงเยี่ยอยู่ หลิงหลงกับจิ้งฉีเลยไม่ได้สำรวจอย่างละเอียด ดังนั้นจึงมีพื้นที่อีกหลายจุดที่ยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบ
“เอ๋ นี่อะไร” ลู่กั้วชี้ไปที่หน้าต่างบานเล็กบนหน้าปัดนาฬิกา
“น่าจะเป็นหน้าต่างห้องเครื่อง” หลิงหลงตอบพลางสำรวจดูฟันเฟือง
“หน้าต่างห้องเครื่อง?” ลู่กั้วสงสัย เปิดหน้าต่างบานเล็กออกแล้วยื่นศีรษะออกไป
“อา! จริงด้วย!” เขาร้องบอกขณะมองดูเข็มใหญ่ยักษ์ของนาฬิกา
แต่ขณะที่คิดจะหดหัวกลับเข้าไป ก็พบว่าดึงออกไม่ได้ หัวของลู่กั้วติดคาอยู่แบบนั้น “รุ่นพี่ๆ ช่วยด้วย!” เขาร้องเรียกหลิงหลงเสียงดัง
เสียงของเครื่องจักรที่ดังกลบสรรพเสียงอื่นๆ ทำให้หลิงหลงที่กำลังสำรวจดูฟันเฟืองอยู่อีกด้านหนึ่ง ไม่ได้ยินเสียงเรียกของลู่กั้ว
“เร็วเข้า ฉันติดอยู่บนนี้ ช่วยด้วย!” ศีรษะของลู่กั้วยื่นอยู่ด้านนอก จึงเป็นการยากที่เสียงจะสะท้อนกลับเข้ามาด้านใน เขาจึงได้แต่ใช้แรงกำปั้นเคาะตีหน้าปัดนาฬิกา ขณะเดียวกันก็มองไปยังเข็มยาวซึ่งชี้ที่เลข 4 แล้วเอี้ยวศีรษะมองเข็มสั้นซึ่งชี้ที่เลข 2 “หวา...”
ในที่สุดหลิงหลงก็ได้ยินเสียงและรีบมาช่วย “ไม่เป็นไรใช่มั้ย!”
คิดไม่ถึงว่าจะบ้ายื่นหัวออกไปแบบนั้น เจ้าหมอนี่มันประสาทจริงๆ
“ไม่เป็นไร โชคดีที่รุ่นพี่ลากผมเข้ามาได้ แต่แปลก... เข็มยาวกํบเข็มสั้นแหลมเปี๊ยบเลย น่ากลัวชะมัด นาฬิกาทั่วไปเป็นแบบนี้รึเปล่า”
“แหลมเปี๊ยบเหรอ” หลิงหลงขมวดคิ้ว
“ครับ”
หลิงหลงเหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขายื่นศีรษะออกไปบ้าง และแล้ว! ปริศนาที่ว่าเหตุใดฆาตกรรมต้องเกิดที่หอนาฬิกาก็กระจ่าง ถ้าเช่นนั้นฆาตกรก็คือ...
“เป็นไงบ้างครับ รุ่นพี่ สังเกตเห็นอะไรบ้างรึเปล่า” ลู่กั้วเห็นหลิงหลงสีหน้าเครียด ก็รู้ว่าต้องได้เรื่อง
“อือ ครั้งนี้ต้องชมนายเลยแหละ” หากลู่กั้วไม่คิดยื่นหัวออกไป เขาก็คงไม่รู้วิธีการของฆาตกรที่ทำให้ลู่กั้วกับป้าอ้วนเห็นศพในเวลาเดียวกัน
“จริงเหรอ?” ลู่กั้วยินดีแกมสงสัย เหอๆๆ บอกแล้วว่าครั้งนี้ต้องพึ่งพาเขาในการคลี่คาลยคดี
เห็นรึยังล่ะ ไป๋จิ้งฉี!
.............................
“อ๊ะ!” จิ้งฉีฟังคำอธิบายประกอบท่าทางของหลิงหลง ก็เข้าใจเรื่องราวทันที
“เป็นอย่างนี้นี่เอง! มีฆาตกรอยู่ในหมู่พวกเขาจริงๆด้วย” การสันนิษฐานว่าฆาตกรเป็นคนนอกและทฤษฎีการแอบแฝงเข้ามาในคฤหาสน์ที่ตั้งไว้ก่อนหน้านี้เป็นอันล้มพับไป
“แต่นี่ก็ยังใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ อีกอย่าง ถึงจะรู้วิธีการฆ่า แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าฆาตกรเป็นใคร”
“แต่เราวางหลุมพรางให้ฆาตกรมาติดกับได้นี่”
“แต่...” จิ้งฉียังรู้สึกว่าไม่ควรจะทำเช่นนั้น
“จิ้งฉี บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องรอการตัดสินว่าใครคือฆาตกร แล้วค่อยคลี่คลายคดี ตอนนี้ฆาตกรอาจมีเป้าหมายที่สอง ที่สามก็เป็นได้ แม้ไม่รู้ว่าใช้อะไรฆ่า แต่การฆ่าคนเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง พวกเราจะนิ่งดูดายไม่ได้ ต้องรีบหาตัวฆาตกรให้เร็วที่สุด!”
“ใช่ๆ ขืนมัวแต่ใจอ่อนปวกเปียกอย่างนายก็ไม่มีทางหาตัวฆาตกรได้หรอก ถึงเวลานั้นก็ต้องมาพึ่งลูกพี่ลู่กั้วตามเคย!” ลู่กั้วได้ทีตอกย้ำ
“ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว” หลิงหลงพูดแทนจิ้งฉี “ความคิดของจิ้งฉีใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล แต่บางครั้งเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยดวงและความกล้าหาญ กับการพลิกแพลงเล็กๆน้อยๆ”
“ความจริงพวกเรายังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้ชัดว่าใครคือฆาตกร แต่ฆาตกรยังไม่รู้ตัว เขาต้องวางใจว่าจะไม่มีใครเปิดเผยฐานะของเขาได้ ฉะนั้นพวกเราต้องเริ่มต้นจากจุดนี้แหละ”
“อืม ครับ”
จิ้งฉีรู้สึกว่าคำพูดของหลิงหลงมีเหตุผล
ลูซิเฟอร์มองภาพเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านเงาในห้องน้ำ ก่อนยิ้มเย็นยะเยือก “หึ ฉลาดไม่เบาเจ้าพวกนี้ แต่ข้า ลูซิเฟอร์ไม่มีทางปล่อยให้พวกแกได้สมหวังง่ายๆ แน่!”
ใช่...ทุกคนในที่นี้
ล้วนแต่เป็นผู้ต้องสงสัย
ฉะนั้นไม่ควรให้เธอ
รู้การเคลื่อนไหวของพวกเรา
ล้วนแต่เป็นผู้ต้องสงสัย
ฉะนั้นไม่ควรให้เธอ
รู้การเคลื่อนไหวของพวกเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น