บทที่ 13
ตัวแทนแห่งรอยแค้น
ตัวแทนแห่งรอยแค้น
ณ ห้องโถงใหญ่ สถานที่ชุมนุมของผู้เข้าร่วมแข่งขัน
“ว่าไงนะ คืนนี้จะไปตรวจดูชั้นลอยของหอนาฬิกา?” ซิงเยี่ยมองหลิงหลงด้วยความประหลาดใจ
“ครับ พวกเราอยากจะจำลองสถานการณ์ในตอนนั้นดู ฉะนั้นคืนนี้ทุกคนจะต้องกลับเข้าห้องนอนแล้วล็อกประตูให้ดี อย่าเปิดให้ใครเข้าไปเป็นอันขาด!” หลิงหลงย้ำคำสั่งเดิม
ซิงเยี่ยรู้สึกเป็นกังวล “แต่ว่า...มันจะได้ผลจริงเหรอ”
“ต้องเลียนแบบเหตุการณ์จริงจึงจะคลี่คลายคดีได้งั้นเหรอ? พวกแกคิดว่านี่เป็นนิยายสืบสวนรึไง” ซิงหลางไม่อยากจะพูด
“นั่นสิ ใจกล้าเกินไปมั้ง เกิดเรื่องแบบนี้กลับไม่มีกลัวเลยซักนิด นี่ยังคิดจะคลี่คลายคดีอีก...ดูหนังมากไปรึเปล่า นี่เรื่องจริงนะไม่ใช่ละคร!” เหอหุ้ยพูดขึ้น
“สำหรับฉันขอรอเป็นกองหนุนดีกว่า ส่วนปริศนามังกรไขได้ก็ดีไม่ได้ก็แล้วไป ไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินสามพันล้านนั่นฉันก็อยู่ได้” ว่าแล้วไอโกะก็ดูดบุหรี่ พ่นควันฉุย
“ไม่เอาน่า อย่าเถียงกันเลย ไม่แน่พวกเขาอาจหาตัวฆาตกรเจอจริงๆ ก็ได้” คริสเริ่มเห็นด้วย
“ใช่ ไม่แน่ พวกเราอาจพบอะไรเข้าก็ได้” คำพูดแฝงความนัยของลู่กั้ว ทำเอาคนบางคนว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที
แย่แล้ว! จะให้พวกมันเห็นของชิ้นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!
..............................
พลบค่ำ
“รุ่นพี่...จะได้ผลจริงเร้อ” ลู่กั้วถามไม่หยุดขณะเดินย่องไปยังหอนาฬิกา
“ไม่รู้สิ!” อันที่จริงหลิงหลงไม่ได้คิดอะไรมาก เขาอยู่ในแวดวงการสืบสวนมานาน ย่อมเรียนรู้ว่าสิ่งใดควรทำและไม่ควรทำ คราวนี้พวกเขาจงใจปิดบังเวลาที่จะไปหอนาฬิกาไม่ให้คนอื่นรู้อีกเดี๋ยวแค่แสดงละครสักฉากก็เป็นอันใช้ได้
จิ้งฉีเตรียมพร้อมแล้วหันไปทางลูกั้ว “เงียบหน่อยได้ไหม ใครมาเห็นเข้าก็จบเห่กันพอดี”
“เฮ้อ...บอกตัวเองให้แสดงให้ดีก่อนเหอะ ถ้าเจ้าฆาตกรนั่นไม่โผล่มา นายโดนเหยียบมิดแน่” ลู่กั้วไม่วายที่จะกวนประสาท
“วางใจเถอะ จิ้งฉีไม่พลาดแน่” หลิงหลงเชื่อมั่น
รอจนหลิงหลงและลู่กั้วหลบฉากออกไปแล้ว จิ้งฉีจึงเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ แล้วเอ่ยปากถามป้าอ้วนเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
“ป้าอ้วน มีอะไรกินบ้างครับ”
“หิวอีกแล้วเหรอ” ป้าอ้วนหัวเราะ
“ครับ หิวนิดหน่อย” จิ้งฉีกวาดสายตามองดูโดยรอบ ทุกคนยังอยู่กันครบ ดีมากเป็นไปตามแผนเป๊ะ
“มีขนมปังเหลืออยู่ จะเอามั้ยล่ะ”
“ดีครับ เอ่อ...แล้วก็ขอนมเพิ่มให้ลู่กั้วด้วยครับ”
“นี่พวกนายคิดจะเลิกจำลองเหตุการณ์แล้วรึไง ทำไมยังมาหาของกินอยู่อีก” ซิงหลายอดถามไม่ได้
“พวกเราต้องเตรียมพร้อมกันก่อนน่ะ ตอนนี้กำลังให้ลู่กั้วทบทวนเหตุการณ์อยู่ เจ้านั่นความจำไม่ค่อยดี หยิบโน่นผสมนี่ ป่านนี้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย” จิ้งฉีพูดอย่างไม่อินังขอบใดๆ
“งั้นก็ไม่น่าจะไปพิสูจน์อะไรแล้ว เสี่ยงอันตรายซะเปล่าๆ ฆาตกรอาจซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้” เหอหุ้ยเตือน
“ใช่แล้วครับ หากพวกคุณเป็นอะไรไป พวกเราจะคอยแย่ไปด้วย” พ่อบ้านพูด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องเสี่ยงๆ แบบนี้แหละ น่าตื่นเตนดี” จิ้งฉีตอบ
“เท่านี้พอรึเปล่า” ป้าอ้วนจัดสำรับหนึ่งถาดใหญ่ยื่นมาให้
“ครับ...เดี๋ยวผมเอาถาดมาคืน ขอบคุณนะครับ” จิ้งฉีก้มหัวขอบคุณ แล้วหันตัวจะกลับออกไป
“จิ้งฉี!” ซิงเยี่ยเรียกไว้เสียก่อน หญิงสาวหน้าแดงก่ำเดินเข้ามาข้างกายเขา ท่าทางอึกอักลังเลซักพัก แต่สุดท้ายก็หลุดคำพูดออกมาจนได้
“ช่วย...ช่วยบอกหลิงหลงให้ระวังตัวด้วย”
“อ้อ...ได้ครับ”
คุณหนูซิงเยี่ยชอบรุ่นพี่นี่เอง เอ...แต่น่าจะเป็นรุ่นพี่ชอบคุณหนูมากกว่าไม่ใช่เหรอ ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับเราซักหน่อย
จิ้งฉีทำตามแผนได้อย่างดีเยี่ยม เขานำอาหารกลับเข้าไปในห้องหลิงหลง พอเข้ามาได้ เสียงของลู่กั้วก็ดังขึ้นทันที
“มาซะป่านนี้ ฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว”
“หิวนักทำไมไม่ไปเอาเองละ” จิ้งฉีตอบอย่างมีอารมณ์โมโห
“อย่าพึ่งกัดกันเลย กินก่อนเหอะ” หลิงหลงบอก
ปัง!...
ประตูปิดเสียงดัง หน่วยพิเศษทั้งสามจับกลุ่มกันอยู่ในห้อง
สายตาวาววับคู่หนึ่งจ้องมองพวกเขาจากหลังเสาต้นใหญ่
“ตกลงจะได้ผลรึเปล่าเนี่ย” ลู่กั้วซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังหอประตูนาฬิกา กระซิบถามหลิงหลงที่ซ่อนอยู่อีกด้านหนึ่ง
“อือ...ได้ผลแน่” หลิงหลงมองลอดผ่านช่องประตูรอดูสถานการณ์ด้านนอก “สักพัก พอมีคนเข้ามาปั๊บ พวกเราก็ลงมือเลย โอเคนะ”
“รับทราบ!” ลู่กั้วเริ่มคันไม้คันมือ
“มาแล้ว!” หลิงหลงเห็นเงาตะคุ่มๆ เดินรี่เข้ามา ท่าทางลับๆล่อๆ แต่ด้วยความมืด จึงมองเห็นไม่ชัดว่าเป็นใคร
ทั้งสองกลั้นหายใจพร้อมกัน เงาดำนั้นค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาอีกแค่สองก้าวก็จะอยู่ในวงรัศมีของแสงไฟจากหอนาฬิกา ไม่มีทางที่มันจะหลบหนีไปได้
เข้ามาเลย!
เหงื่อซึมเป็นสายออกจากฝ่ามือลู่กั้ว
แต่ทว่า เสี้ยวเวลาที่คนๆ นั้ กำลังจะก้าวเข้ามาในวงแหวนของแสงไฟ เสียงเด็กผู้ชายก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังพวกเขาเสียก่อน
“เอ๋ ...พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่...จับแมวรึไง” ลูซิเฟอร์นั่งเท้าคางอยู่บนบันไดหอนาฬิกา มองมายังหลิงหลงกับลู่กั้วด้วยสายตาเย็นยะเยือก
เจ้าหมอนี่มาได้ยังไง...
ความคิดปราดแรกของหลิงหลงผุดขึ้นมาทันที แต่ไม่ทันไรก็ถูกลูซิเฟอร์จับข้อมือเอาไว้ เสียวแปล๊บไปทั้งแขนเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าช็อตอย่างแรง
“อ๊ะ!” เจ้าของเงาดำเมื่อกี้หายไปเสียแล้ว ลู่กั้วคิดจะไล่ตามแต่ไม่ทันการณ์
“นายต้องการอะไรกันแน่” หลิงหลงมองลูซิเฟอร์อย่างคาดคั้น สงสัยหมอนี่ต้องไม่ใช่เด็กธรรมดาแน่ๆ!
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ฉันก็แค่อยากดำเนินเกมต่อไปอีกซักหน่อยนี่ กำลังสนุกอยู่เลย”
“ขำอะไร แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ได้ฆ่าคน แล้วมาทำบ้าอะไรแถวนี้” ลู่กั้วโมโห เห็นๆ อยู่ว่ากำลังจะจับฆาตกรได้อยู่แล้วเชียว ถ้าเจ้าเด็กผีนี่ไม่มาก่อกวนซะก่อน
“ถูกต้อง แต่ฉันก็บอกด้วยนี่ว่า ห้ามพวกแกมาก่อความวุ่นวายในเกมของฉันเด็ดขาด” ลซิเฟอร์รู้ถึงพลังต่อต้านของหลิงหลง
“ฮ่าๆ เจ้าหนู นายมีพลังแข็งแกร่งดีนี่ มาเป็นผู้ช่วยฉันมั้ยล่ะ” หลิงหลงพูดแหย่
ไอ้หนูนี่น่าจะเป็นฝ่านมารระดับสูงที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลกนี้เป็นแน่ ทำไมตอนนั้นถึงเล็ดลอดมาได้นะ
“ฮะๆ ถ้าไปเป็นคนแบบแก ฉันคงเบื่อแย่ แล้วการทำอะไรตามคำสั่งคนอื่นก็ไม่ใช่นิสัยของฉันซะด้วย”
“ฮ่าๆ งั้นเรอะ...”
เจ้าเด็กนี่ต้องไม่ใช่ฝ่านมารระดับธรรมดาแน่ๆ แต่ว่าพวกฝ่ายมารระดับสูงก็ถูกกักขังอยู่ไม่สามารถออกมาก่อความวุ่นวายอะไรได้ ในฝ่ายเทพเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเจ้าเด็กคนนี้มาก่อนเลย จริงๆ แล้วมันเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่กันแน่
หลิงหลงยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย
ลูซิเฟอร์ปล่อยข้อมือหลิงหลง แต่จะพูดว่าปล่อยก็ไม่ถูกซะทีเดียว ต้องพูดว่าพลังของหลิงหลงทำให้เขาจำเป็นต้องปล่อยมือถึงจะถูก
เด็กน้อยวางท่าไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วหัวเราะ “ฮ่าๆ ทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ลาก่อนละกัน”
“เฮ้! หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!” ลู่กั้วร้องเรียกเสียงดัง แต่ก็ทำได้เพียงแค่มองเงาร่างของลูซิเฟอร์ที่ค่อยๆ สลายไปในม่านหมอกความมืด
“รุ่นพี่...ทำไมไม่หยุดมันไว้หล่ะ!”
หลิงหลงยกข้อมือขึ้นดู รอยนิ้วมือทั้งสี่แดงเป็นปื้นอยู่เป็นวงรอบ
“ถ้าเกิดการต่อสู้กันขึ้น ที่นี่ต้องถูกทำลายจนย่อยยับแน่ๆ อีกอย่างเขตเวทมนตร์ก็ถูกมันตรึงไว้ ยังไงฉันก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ” พูดจบก็เดินออกจากหอนาฬิกาไปทันที
“อา! นี่พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอรุ่นพี่ ต้องปล่อยมันไปแบบนี้อ่ะนะ” ลู่กั้วเดินตามรุ่นพี่ไม่ห่าง
ฉันต้องไม่ทำให้ที่นี่เสียหายไปมากกว่านี้ เพราะฉัน เป็นเพราะฉัน เส้าหวิน...เธอ
หลิงหลงนึกถึงคนที่เขาคิดถึงมาตลอดสองปี ในใจเกิดปวดแปลบขึ้นมา
มองดูท้องฟ้ายามเอนเด่นดาวดับ ช่างอ้างว้างเสียเหลือเกิน เส้าหวิน...เธออยู่ที่ไหน...
ลูซิเฟอร์หลบอยู่ในเงามืด มองดูหลิงหลงและลู่กั้วเดินออกจากหอนาฬิกาไปอย่างเยบเชียบ ก้มลงมองฝ่ามือที่จับข้อมือขวาของหลิงหลงเอาไว้เมื่อครู่ มันบวมแดงราวกับถูกเพลิงอัคคีเผา เจ็บแสบปวดร้อนอย่างมาก เลือดสีเข้มค่อยๆ ไหลซึม หยดลงบนพื้นทีละหยดๆ
“ไอ้เจ้านั่น” เสียงลิดไรฟันออกมาอย่างอาฆาตแค้น
“ซิงหัวก็คือลูซิเฟอร์”
จิ้งฉีพึมพำเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของหลิงหลง
“พวกนายเคยประมือกับเขามาก่อนเหรอ” หลิงหลงรู้สึกว่าเรื่องมันชักจะวุ่นวายกว่าที่คิด นี่ถ้าหากลูซิเฟอร์ไม่ออกมาขัดขวาง พวกเขาก็คงจะรู้ไปแล้วว่าฆาตกรเป็นใคร
“ยิ่งกว่าเคยซะอีก! ถ้าไม่ใช่เพราะคนเก่งๆ อย่างฉัน เจ้าปอดแหกนั่นก็คงตายไปนานแล้ว!” ลู่กั้วยิ่งคิดยิ่งโมโห เมื่อนึกถึงครั้งที่ประมือกับลูซิเฟอร์ “ฉันรึอุตส่าห์สู้แทบเป็นแทบตาย แต่ไอ้หมอนี่กลับเอาแต่ยืนนิ่ง ไม่ทำอะไรซักอย่าง”
“ที่แย่ก็คือ พลังของเขาไม่รู้ว่าจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมามากน้อยแค่ไหน” หลิงหลงสำทับ
“ถ้าไม่ถือโอกาสกำจัดมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ล่ะก็ ต่อไปน่ากลัวจะยาก” จิ้งฉีเสริม
“ถูกต้อง”
“ก็ฉันบอกแล้ว ทำไมเมื่อกี้รุ่นพี่ไม่จัดการให้เรียบร้อยไปซะเลยก็ไม่รู้” พอพูดถึงการต่อสู้ ลู่กั้วก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“ที่นี่ถูกกักพลังเวทเอาไว้ ฉันใช้พลังได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนพวกนาย... อีกอย่างฉันไม่อยากให้คนอื่นๆ ต้องมาบาดเจ้บล้มตายไปด้วย” หลิงหลงอธิบาย “พวกเราค่อยๆ คิดหาหนทางแก้กันดีกว่า” ในใจของหลิงหลงยังเป็นห่วง
หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ ที่นี่คงหนีไม่พ้น ต้องถูกทำลายอย่างย่อยยับเป็นแน่
“อืม” จิ้งฉีพยักหน้า
ส่วนลู่กั้ว แม้จะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ยอมรับในสิ่งที่หลิงหลงพูด “แต่...แผนการที่ล้มเหลววันนี้ได้แหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้ว บวกกับเจ้าลูซิเฟอร์ที่เป็นปัญหาอยู่ พวกเราคงต้องรีบคิดกันหน่อยแล้วล่ะ”
“ใช่ แต่ฉันคิดว่าแผนการที่ล้มเหลววันนี้ คงจะทำให้ฆาตกรระวังตัวมากขึ้น”
“ใช่ๆ ดูท่าทางตกตะลึงของมันแล้ว ฉันคงว่ามันไม่กล้าทำอะไรตอนนี้หรอก” ลู่กั้วยืนยัน
“กรี๊ดดด.....”
เสียงกรีดร้องแหลมดังมาจากด้านนอก
ทั้งสามพุ่งออกจากท้องอย่างรวดเร็ว วิ่งไปยังที่มาของเสียงทันที
หน้าห้องซิงหลาง ทานากะ ไอโกะนั่งช็อกเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น ริมฝีปากเต้นระริกตาเหลือกค้าง ตัวสั่นไม่หยุด แม้แต่เรี่ยวแรงที่ใช้กรีดร้องก็เหือดหายไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น!” คนอื่นๆ ต่างรุดเข้ามาดูอย่างพร้อมหน้า พวกเขามองตามมือของไอโกะซึ่งชี้เข้าไปในห้อง... น่าสยดสยองเหลือเกิน ห้องของซิงหลางแดงฉานไปด้วยเลือด ร่างของเจ้าของห้องนอนนิ่งอยู่บนพื้นศีรษะกับตัวถูกฟันขาดกระเด็นออกจากกัน
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้...” เหอหุ้ยยืนตัวสั่น
“คุณอา...” น้ำตาของซิงเยี่ยไหลทะลักออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“ทุกคนสงบสติไว้ก่อน ลู่กั้วนายพาพวกเขาไปที่ห้องโถงใหญ่เร็วเข้า ฉันกับจิ้งฉีจะตรวจดูที่เกิดเหตุก่อน” หลิงหลงกำชับ
“ครับ!”
“เหอะๆ...” ก่อนไป ซิงหัวหรือลูซิเฟอร์ เผยอยิ้มอย่างเยือกเย็น หรือจะเป็นฝีมือของเจ้าหมอนี่ จิ้งฉีมองแผ่นหลังของลูซิเฟอร์พลางครุ่นคิด
“รีบทำงานเร็วเข้าเถอะจิ้งฉี” หลิงหลงดึงความคิดฟุ้งซ่านของจิ้งฉีกลับมา
“ใช่ฝีมือเขารึเปล่า...”
“เป็นไปไม่ได้” หลิงหลงเริ่มตรวจดูบาดแผลของซิงหลาง “หากเป็นเขาจะไม่ตัดศีรษะของเหยื่อด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยการใช้มีดตัดเอาดื้อๆ แบบนี้หรอก” พวกฝ่ายมารนั้นเหี้ยมโหดเกินกว่าใครจะคาดคิด พวกมันไม่จัดการเหยื่ออย่างรวดเร็วและง่ายดายเช่นนี้
“แปลก ที่นี่มีแต่เลือดเต็มไปหมด แต่ทำไมไม่มีรอยเทาเลยล่ะ” จิ้งฉีเช็ดรอยเลือดบนพื้น “เวลาที่ซิงหลางตายน่าจะอยู่ราวครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้” วินิจฉัยจากระดับการแข็งตัวของเลือดที่นองอยู่ที่พื้น
“ไม่ถูก!” หลิงหลงหันหลับ “ดูจากรอยจ้ำบนตัวและสภาพเลือดในตัวศพ น่าจะตายมาแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง”
“เป็นไปได้ไง หรือว่า...”
หลิงหลงและจิ้งฉีคิดเหมือนกัน
“ที่นี่ไม่ใช่ที่เกิดเหตุ!!”
..........................
ในห้องโถงใหญ่
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้....” ครูโซ่ คริสเดินไปเดินมาไม่หยุด
“พวกเรา...พวกเรามาแข่งขันตามคำเชิญของท่านซิงแท้ๆ แล้วทำไม...ทำไมต้องมาถูกฆ่าไปทีละคนๆ อย่างนี้ล่ะ” เหอหุ้ยไม่เข้าใจ
“หึ...วิญญาณร้ายอาจจะตามมาแก้แค้นแล้วก็ได้” ซิงหัวพูดเสียงเย็นชา
“ไร้สาระ!”
หน้าตาของไอโกะดูเหมือนจะแก่ลงไปอีกเกือบยี่สิบปี นัยน์ตาแดงไปด้วยเส้ยเลือด
“ขอให้ทุกคนทำใจให้สงบ ตอนนี้พวกเราต้องอยู่รวมกลุ่มกันไว้ อย่าแยกไปไหนมาไหนตามลำพังเด็ดขาด” ซิงเยี่ยยังคงเศร้าใจ
“ใช่แล้ว การอยู่คนเดียวตามลำพังก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ฆาตกร ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ทุกคนก็พักรวมกันที่นี่ไปก่อนละกัน” ลู่กั้วพูดบ้าง
ทุกคนนิ่งเงียบ บรรยากาศอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“คุณหนูซิงเยี่ย” จิ้งฉีกลับมาแล้ว
“เป็นไงบ้างคะ” ซิงเยี่ยคิดว่าคงได้บทสรุปแล้ว
“มีเรื่องอยากขอร้องน่ะครับ” เด็กหนุ่มดึงซิงเยี่ยแยกตัวออกมาอีกด้านหนึ่ง
“เราอยากได้กุญแจสำรองของทุกห้องในตึก”
“กุญแจสำรองหรือคะ ลุงพ่อบ้านเป็นคนดูแล...เดี๋ยวฉันจะไปเอาให้ก็แล้วกันค่ะ”
“คุณไอโกะครับ” จิ้งฉีไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ระหว่างรอซิงเยี่ยก็หันไปคุยกับไอโกะ “ตอนนั้นคุณไปหาคุณซิงหลางที่ห้องทำไม”
“ฉัน...ฉัน...” ไอโกะเงียบไปชั่วขณะ อ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะตอบ “ฉันมีเรื่องจะปรึกษากับเขาก็เลยไปหา”
“แล้วจากนั้นเป็นยังไงครับ” จิ้งฉีสังเกตเห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“พอไปถึงเห็นด้านในเปิดไฟอยู่ เลยเคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบ ฉันเห็นประตูไม่ได้ล็อกจึงผลักเข้าไปเบาๆ แล้ว...แล้วก็เห็น..”
พอนึกถึงภาพอันน่าสลดใจนั้น ไอโกะก็รู้สึกหวาดหวาขึ้นมา อยากจะวิ่งหนีออกไปให้พ้นๆ จากที่นี่เสียเดี๋ยวนั้น
“ก่อนหน้านี้คุณกับคุณซิงหลางสนิทกันมากใช่ไหมครับ” จิ้งฉีคาดเดา
“ก็...สนิท...” แววตาของไอโกะดูล่องลอย
“คุณจิ้งฉีคะ...นี่กุญแจ” ซิงเยี่ยนำกุญแจมาให้แล้ว
“ขอบคุณครับ” จิ้งฉีรับกุญแจแล้วเร่งรีบจากไป
.............................
“ไม่มีห้องลับ ไม่มีร่องรอยหลักฐาน อย่างนี้ก็จบข่าว!” หลิงหลงบ่น “แต่ฉันแน่ใจว่าซิงหลางต้องถูกฆ่าตายจากที่อื่นแน่ๆ”
“วันนี้ฝนไม่ตก การฆาตกรรมไม่น่าเกิดขึ้นข้างนอก พวกเราลองไปตรวจดูห้องอื่นๆ กันเถอะ อาจจะได้ร่องรอยอะไรบ้าง”
“จากรอยเลือดบนพื้นกับสภาพศพ สามารถวิเคราะห์เวลาตายได้ต่างกันครึ่งชั่วโมง แสดงว่า...” จิ้งฉีพูด “เวลาครึ่งชั่วโมงนี้ เป็นเวลาที่ฆาตกรใช้จัดการลบร่องรอยทุกอย่างให้เรียบร้อย”
“ใช่ แต่ฉันเชื่อว่าเขาไม่สามารถเก็บร่องรอยได้หมดร้อยเปอร์เซนต์หรอก คนที่ถูกตัดหัว เลือดจะพุ่งกระฉูดได้สูงสุดประมาณสามเมตร ฉันไม่เชื่อว่าหมอนั่นจะเช็ดเลือดทุกหยดได้หมดจด ต้องมีร่องรอยอะไรเหลืออยู่แน่ๆ”
“ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เขาเกือบถูกพวกเราจับได้ เขาต้องมีความกังวลใจในเรื่องนี้อยู่บ้างอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น มันต้องมีความผิดพลาดที่เขามองข้ามไปหลงเหลืออยู่ชัวร์ๆ พวกเราต้องค้นหาร่องรอย อันนั้นให้เจอให้ได้” หลิงหลงกล่าวอย่างจริงจัง
“ครับ”
รุ่นพี่ฉลาดจริงๆ เราเองเสียอีกที่มัวแต่คลำทางสะเปะสะปะไปเรื่อย
จิ้งฉีรู้สึกผิดหวังในตัวเองอยู่ลึกๆ
“อย่าคิดมากน่า ตอนฉันอายุเท่านาย ยังไม่ประสีประสาอะไรเลยด้วยซ้ำ” หลิงหลงปลอบ “อายุแค่นี้ก็เข้ามาในหน่วยงานพิเศษได้ นายก็ต้องมีอะไรเจ๋งๆ อยู่เหมือนกันล่ะน่า”
“เป็นเพราะโชคช่วยมากกว่าน่ะครับ อย่างตอนทดสอบครั้งแรก...” จิ้งฉีเสียงเบาลง
“ไม่จริงหรอก” หลิงหลงโต้แย้ง “โชคน่ะไม่เข้าข้างใครง่ายๆ หรอกนะ นายต้องมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นอยู่แน่ เพียงแต่ไม่รู้ตัวเท่านั้น”
เขาฉีกยิ้มกว้างให้จิ้งฉี “น้องชาย...ความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมากนะ หญิงรักหญิงหลงก็ตรงนี้ล่ะ! เชื่อพี่ ฮ่าๆ”
“ยังมีอารมณ์มาพูดเรื่องแบบนี้อีกหรือครับ รุ่นพี่” จิ้งฉีรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก
“...เอาน่า ไปเหอะ! ไปดูซิว่าเทพยดาฟ้าดินจะหลงเหลืออะไรให้พวกเราบ้าง” หลิงหลงขยิบตาให้
“ครับผม”
..............................
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
“เฮ้อ...เหนื่อยจริงๆ!” หลิงหลงมองประตูบานใหญ่ที่ปิดไว้อย่างแน่นหนา ถอนหายใจเฮือกยาว “ห้องพักทุกห้องตรวจดูเกือบหมดแล้ว แต่เบาะแสสักนิดก็ไม่มี”
“ไหงเมื่อกี้รุ่นพี่ยังเชื่อมั่นนักหนา ว่ามันต้องมีเบาะแสไงล่ะครับ” จิ้งฉีเหงื่อตก
“ความเชื่อมั่นน่ะยังเต็มร้อย ถ้าหากว่าที่นี่ไม่ถูกกักพลังเวทไว้ล่ะก็ แค่เรียนซื่อเสิน (เทพแห่งรูปแบบ) มาช่วยวิเคราะห์ พวกเราก็มานอนสรุปได้สบายใจเฉิบแล้ว” หลิงหลงพูด
“งั้น...ที่เหลือผมไปตรวจเองแล้วกัน”
“เฮ่ย จะปล่อยนายทำคนเดียวได้ไงล่ะ?” หลิงหลงลูบหัวจิ้งฉีรู้สึกตัวเองจะพูดมากไป เจ้านี่เลยงอนเอา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมควรจะฝึกฝนให้มากขึ้น ไม่งั้นเจ้าลู่กั้วมันก็จะคอยย้ำว่าไม่เอาไหนอยู่นั่นแหละ” จิ้งฉีหัวเราะ
“งั้นก็คงต้องพึ่งนายแล้วล่ะ...นายนี่เป็นคนดีจริงๆ เลยจิ้งฉี!”
หลิงหลงน้ำตาคลอเบ้า
............................
จิ้งฉีไปตรวจห้องของป้าอ้วนกับซิงเยี่ย แต่ก็ยังไม่พบอะไรน่าสงสัย
แม้จะไม่เก่งกล้าทางด้านเวทมนตร์ แต่เรื่องไหวพริบปฏิภาณและความละเอียดรอบคอบแล้วล่ะก็ จิ้งฉีก็นับว่าไม่เป็นรองใคร หากหมั่นฝึกฝนสักหน่อย รับรองได้ว่าต้องเป็นนักสืบที่เก่งกาจอย่างแน่นอน
หลิงหลงมองดูจิ้งฉีเดินเข้าเดินออกอยู่เงียบๆ ในใจรู้สึกเป็นปลื้มในความมุมานะของรุ่นน้องคนนี้อยู่ไม่น้อย ทว่าปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของจิ้งฉีก็คือการควบคุมความเชื่อมั่นและอารมณ์ของตนเอง ทั้งๆ ที่วินิจฉัยได้ถูกต้องแล้วแม้ๆ แต่กลับไม่มั่นใจที่จะยืนยันออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย คนที่คิดว่าตัวเองไม่เอาไหนอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้
เป็นเพราะอะไร?
หลิงหลงนึกถึงเมื่อครั้งที่พวกเขาร่วมงานกันครั้งแรก มีบางอย่างที่เขายังไม่เข้าใจจนถึงวันนี้
“ไม่พบอะไรเลย” จิ้งฉีหันมารายงาน กลับพบสายตาของหลิงหลงมองนิ่งมายังตน “หืม...มีอะไรผิดพลาดรึครับ รุ่นพี่” เขาคิดว่าตนเองคงปฎิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีพอ
“เปล่าๆ...นายทำได้ดีมาก ห้องซิงเยี่ยไม่มีรังสีฆ่าฟันอยู่แล้วล่ะเออ...ข้างล่างยังมีอีกสองห้องนี่” แม้ยังไม่รู้ว่าใครคือฆาตกร แต่ว่าคนที่ไม่มีทางเป็นฆาตกรได้แน่ๆ นั้น หลิงหลงคิดคำนวณไว้ในใจแล้ว
“ครับ...เป็นห้องของพ่อบ้านกับของอาจารย์ซิงผู้ล่วงลับ” จิ้งฉีพยักหน้ารับ
“ไปดูกันเถอะ!”
ห้องของพ่อบ้านก็ไม่มีเบาะแสน่าสงสัยใดๆ จิ้งฉีชักจะเริ่มท้อแท้ใจแล้วสิ “เหลืออีกห้องไม่ใช่เหรอ ยังไม่ถึงที่สุด อย่ายอมแพ้เด็ดขาด” หลิงหลงปลอบ
“แต่ว่าอาจารย์ซิงตายไปแล้ว...” นัยน์ตาจิ้งฉีลุกวาวขึ้น
“เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองหน่อยสิ ไปดูก่อนค่อยมาพูด!”
“ครับ”
แม้อาจารย์ซิงจะถึงแก่กรรมไปหลายวันแล้ว แต่ห้องของเขาก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม ปราศจากฝุ่นละออง ราวกับรอคอยการกลับมาของเจ้าของ
ห้องรับแขกเล็กที่แม้จะดูไม่เป็นระเบียบไปบ้าง แต่ในความไม่เป็นระเบียบนั้นกลับมีความละเอียดซ่อนเอาไว้ กองเครื่องมือที่วางรวมอยู่กับตั้งหนังสือ แม้จะเหมือนวางเอาไว้ระเกะระกะ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามันวางไว้ใกล้ชั้นวางเครื่องมือที่หยิบจับได้ง่ายที่สุด
“ดูเหมือนอาจารย์ซิงสนใจศึกษาพวกโหราศาสตร์กับเรื่องลี้ลับนะ!” หลิงหลงพูดขณะพลิกดูหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ชอบสะสมของแปลกด้วย” จิ้งฉีกำลังตรวจดูกล่องเก็บของซึ่งข้างในมีของแปลกๆ มากมาย
“เอ๋ เล่มนี้มัน...”
หลิงหลงพลิกมาถึงหนังสือเล่มหนึ่งก็ต้องตกตะลึง
“อา...ดูเหมือนจะเป็นแบบร่างเกมพร้อมคำเฉลยที่เขาเป็นคนออกแบบ!” จิ้งฉีตกตะลึงเช่นกัน
“เฮ้ พอดีเลย ไหนดูซิว่ามีคำเฉลยปริศนามังกรรึเปล่า” หลิงหลงพลิกมาถึงหน้าสุดท้ายซึ่งมีรอยยับย่นคล้ายถูกขยำ
เสียดายที่หน้าสุดท้ายไม่ใช่แบบร่างของปริศนามังกร แต่เป็นแบบร่างของเล่นที่กำลังขายดิบขายดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่นขณะนี้
“นี่ก็เป็นผลงานของอาจารย์ซิงงั้นเหรอ” จิ้งฉีสงสัย
“ดูจากแบบแล้วก็น่าจะใช่ ชิ้นส่วนทุกชิ้นล้วนจดบันทึกวิธีการทำงานเอาไว้อย่างละเอียด แล้วยังเขียนวันที่และแนวคิดในการประดิษฐ์ไว้ด้วย แต่ว่า...” หลิงหลงยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เหตุใดจึงมีรอยขยำ คล้ายจะฉีกแต่ไม่ได้ฉีก
“แต่ฉันจำได้ ตอนเปิดตัวเกมนี้ที่ญี่ปุ่น ไม่ได้บอกว่าเป็นผลงานของอาจารย์ซิง ดูเหมือนจะบอกว่าเป็นผลงานของบริษัทอะไรซักอย่างนี่แหละ...” จิ้งฉีพูดขึ้น
เขาชี้ไปที่แถวตัวหนังสือที่อยู่ด้านบน
“ลองดูประโยคนี้ซิ”
ฉันเป็นเพียงของเล่นชิ้นเล็กๆ แต่สามารถทำให้คุณค้นพบความตื่นเต้นอย่างคาดไม่ถึง
“นี่เป็นคำโฆษณาของเกมนี้ แม้แต่คำโฆษณาก็เหมือนกัน ไม่น่าใช่ความบังเอิญแล้วล่ะ”
“นายดูนี่ วันที่ด้านบนเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แต่อาจารย์ซิงเสียชีวิตไปได้สองสัปดาห์ เกมนี้น่าจะเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา!” แม้หลิงหลงไม่เคยเห็นคำโฆษณา แต่ก็รู้สึกว่ามีความนัยแอบแฝงอยู่
“แปลกจริง” จิ้งฉีก็รู้สึกประหลาด แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน “รุ่นพี่ตรวจในนี้ไปก่อน ผมจะไปดูที่ห้องอาบน้ำ”
“ดี...ฝากด้วยแล้วกัน” หลิงหลงพยักหน้า
ขณะที่กำลังจะเข้าห้องน้ำ วูบหนึ่ง จิ้งฉีรู้สึกเหมือนถูกปะทะด้วยพลังต้านทานอย่างรุนแรง จนเขาเกือบยืนไม่อยู่
“เป็นไร จิ้งฉี” หลิงหลงเห็นจิ้งฉีคล้ายกำลังจะล้ม จึงเข้าไปพยุง
“เปล่าครับ...รู้สึก...เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ” จิ้งฉีสั่นหัว
“...ฉันไปดูเอง”
“ไม่เป็นไรครับ” จิ้งฉีฝืนยิ้ม “ไหนๆ ก็เป็นที่สุดท้ายแล้ว ให้ผมจัดการต่อเลยแล้วกัน”
“อืม เอาเลย”
ห้องอาบน้ำนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงทำให้จิ้งฉีรู้สึกไม่สบายใจไปทั้งตัวคล้ายหนาวสั่นหรือเป็นเพราะคิดมากไปเอง
เขาสะบัดหัว แล้วเริ่มสำรวจ หากการฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นี่ คงจะไม่พบเจออะไรแน่ๆ เพราะที่นี่ง่ายต่อการชะล้างทำความสะอาด แต่...ก็อย่างที่รุ่นพี่ว่า ร้อยถี่มีหนึ่งห่าง เพราะความที่ง่ายต่อการทำความสะอาด ก็อาจจะทำให้ฆาตกรพลาดหลงเหลือหลักฐานอะไรทิ้งไว้ก็ได้
ที่ๆ ฆาตกรคาดไม่ถึง!
จิ้งฉีเริ่มสำรวจตามมุมห้อง ไม่เว้นแม้แต่รอยแตกร้าวของกระเบื้อง
“ไม่มี”
จากการตรวจอย่างละเอียด ไม่พบสิ่งต้องสงสัยแม้เพียงเศษเสี้ยว เขาจึงรู้สึกห่อเหี่ยวหมดกำลังใจลงอย่างมาก ทรุดตัวนั่งพักอยู่ข้างอ่างอาบน้ำ
“หรือพวกเราจะวินิจฉัยกันผิด” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ผมนี่ยังไงก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี” โดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ก๊อกน้ำ
“จิ้งฉี ดูซิว่าฉันเจออะไร” หลิงหลงผลักประตูเข้ามา “เอ๋ นายกำลังทำอะไร”
“ผมคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว” จิ้งฉีหันไปมองหน้าหลิงหลงแล้วยิ้ม
“อะไรนะ แยกกันสอบสวน พวกนายเห็นพวกเราเป็นอะไร นักโทษรึไง” ไอโกะตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง
“ไม่ใช่อยู่แล้วครับ แต่ว่าเรามีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้ว่าฆาตกรก็คือหนึ่งในหมู่พวกคุณ!” หลิงหลงเสียงเข้ม
“ใครกันล่ะ ชี้ตัวออกมาเลยสิ!” เธอยังคงไม่พอใจ
“พวกคุณวางใจได้ อีกสักพักเขาก็จะยืนขึ้นยอมรับเอง” หลิงหลงยิ้มยะเยือก ส่งซิกให้จิ้งฉี
“นี่คือคำถามเกี่ยวกับคดีหฤโหดทั้งสองคดี เดี๋ยวพวกเราจะแจกให้กับทุกคน”
“ว้าว!หาตัวฆาตกรด้วยวิธีแบบนี้ด้วย” ลู่กั้วทึ่ง
“แน่นอน!” จิ้งฉีมองเขาแวบหนึ่ง เป็นการส่งซิกว่าอย่าเสียงดัง “คำถามที่ผมจะแจกต่อไปนี้ เป็นคำถามง่ายๆ ทุกคนน่าจะทำได้ แต่ยังไงก็ตามผมขอเตือนไว้ก่อน อย่าแอบดูคำตอบของคนอื่นโดยเด็ดขาด เพราะคำถามของแต่ละคนไม่เหมือนกัน”
คำถามเหล่านี้ เขากับหลิงหลงช่วยกันคิดหัวแทบแตก “ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ...คำตอบที่คุณแอบดู อาจเป็นของฆาตกรก็ได้”
“มีวิธีแบบนี้ก็น่าจะเอามาใช้แต่แรก” เหอหุ้ยพูดขึ้น
“แค่คำถามชุดเดียวก็สามารถหาตัวฆาตกรได้? ถ้าหาได้แล้วจะอธิบายยังไง หลักฐานแบบนี้พิสูจน์ความผิดใครไม่ได้หรอก!”
คริสกังขา
“ข้อนี้คุณไม่ต้องห่วง” หลิงหลงยิ้มน้อยๆ “จิ้งฉี แจกคำถามให้ทุกคนเถอะ”
จิ้งฉีเริ่มแจกคำถามให้แต่ละคนอย่างเฉพาะเจาะจง
“ลู่กั้ว เสร็จแล้วนายก็ส่งทุกคนกลับห้องเหมือนเดิม จะได้ไม่มีใครหนีไปไหน” หลิงหลงอมยิ้ม
ลู่กั้วปฎิบัติหน้าที่ส่ง ซิงเยี่ย เหอหุ้ย พ่อบ้าน ไอโกะ และป้าอ้วนกลับเข้าห้อง
“ฮึ! ช่างคิดกันจริง...” ขณะรับแผ่นคำถาม ลูซิเฟอร์เอ่ยเสียงเรียบ
“ถ้าไม่ใช่เรื่องของแก ก็อย่ายื่นมือเข้ามาสอด!” จิ้งฉีเตือน
“ฮ่าๆ หากข้าคิดสอดจริง พวกเจ้าอยู่ไม่รอดถึงวันนี้หรอก”
ลูซิเฟอร์ยิ้มเย็นชา
“ถ้าไม่เป็นเพราะนายยื่นมือเข้ามา พวกเราก็คลี่คลายคดีไปนานแล้ว” หลิงหลงเข้ามาสมทบอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน
“มันก็แค่เกม จบเร็วไปก็ไม่สนุกหน่ะสิ” ลูซิเฟอร์ยิ้ม แต่ยังคงตามลู่กั้วกลับไปที่ห้อง
หลิงหลงกับจิ้งฉีมองตากัน คำพูดที่เข้าใจยากของลูซิเฟอร์วนเวียนอยูในห้วงคำนึง
.................................
ยี่สิบนาทีผ่านไป
เงาดำร่างหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ อยู่นอกหน้าต่าง ก่อนจะมองเข้ามาในห้องของอาจารย์ซิง
ดีที่เจ้าเด็กสามคนนั้นยังอยู่ในห้องพัก ไม่มีทางรู้ว่าเราอยู่ในนี้! ชิ ไอ้ลูกหมา อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดนักเลย!
เขาคนนั้นพลิกตัวจากหน้าต่างเข้ามาในห้อง ค่อยๆ ก้าวข้ามกองสารพัดสิ่งของเข้าไปในห้องอาบน้ำ
พอเห็นหลักฐานสำคัญยังอยู่ที่เดิมก็วางใจ
ดีจริง เฮอะ! พวกนักสืบสมัครเล่นอย่างนั้น จะมาพบหลักฐานนี้ได้ยังไง คำถามบ้าบออะไรนั่นแกล้งทำขึ้นมาชัดๆ
เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าออก กำลังเตรียมเช็ดถู พลันน้ำเสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ตอนนี้เป็นเวลาตอบคำถาม คุณมาทำอะไรที่นี่”
คนผู้นั้นตกใจสุดขีด มือไม้สั่น ผ้าเช็ดหน้าหล่นลงบนพื้น
“ฮ่าๆ จิ้งฉี ในที่สุดก็เป็นไปตามที่นายคาด” หลิงหลงหันมายิ้ม “ฆาตกรติดกับเข้าให้แล้วจริงๆ”
คนถูกจับได้รีบยืนขึ้น “พวกคุณรู้ได้ไงว่าเป็นผม”
“ก่อนหน้าที่คุณจะเข้ามา พวกเราไม่รู้หรอก!” หลิงหลงหัวเราะ “ด้วยแผนการอันสลับซับซ้อนของคุณ ใครจะไปเดาได้ว่าใครคือฆาตกร”
“หึ ...คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะต้องมาพบจุดจบด้วยน้ำมือของพวกคุณ” คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็นชา
“เสียดาย...” เขาถอนหายใจนิ่งแล้วจึงขยับปากถาม “พวกคุณรู้ได้ยังไง”
“เป็นเพราะเรื่องนี้...” จิ้งฉีนำหนังสือที่พวกเขาค้นพบออกมา “พวกเราแปลกใจว่าทำไมเกมฝึกสมองที่อาจารย์ซิงบันทึกไว้ในหน้าสุดท้ายถึงเป็นเกมเดียวกันกับเกมใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะวางขายในญี่ปุ่น ตอนเปิดตัวพวกเขาก็ไม่ได้บอกว่านี่เป็นผลงานของอาจารย์ซิง ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวังซิ่งและซิงหลาง! พวกเขายักยอกสิ่งประดิษฐ์ของอาจารย์ซิงไปเป็นของตัวเอง เพราะเหตุนี้อาจารย์ซิงถึงได้โมโหจนอยากฉีกมันทิ้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ลง เพราะมันเป็นเลือดเนื้อเป็นจิตวิญญาณของท่าน ถ้าคิดดูจากช่วงวันเวลาดังกล่าว เป็นไปได้ว่าเรื่องนี้จึงทำให้อาจารย์ซิงล้มป่วยจนทรุดหนักและถึงแก่กรรมในที่สุดดังนั้นสาเหตุของการฆาตกรรม ก็คือเพื่อล้างแค้นให้อาจารย์ซิงและคนที่เหลืออยู่”
“ดังนั้นพวกคุณจึงคิดว่า ผมต้องมาที่นี่” คนผู้นั้นกลับไม่แก้ตัวใดๆ
“คำถามที่แจกให้ทุกคน มีข้อหนึ่งถามว่า ศพของซิงหลางกับรอยเลือดบ่งบอกเวลาเสียชีวิตไม่ตรงกัน แสดงว่าถูกฆาตกรรมในสถานที่อีกแห่งแล้วค่อยเคลื่อนย้ายศพ เช่นนั้นแล้วเขาเสียชีวิตที่ไหน คำถามนี้ทำให้ฆาตกรนึกถึงที่ๆ ตนเองฆ่าซิงหลางว่าอาจหลงเลหือร่องรอยอะไรอยู่ จึงคิดหลบหน้าพวกเรา เข้ามาทำลายหลักฐาน!”
“ผมประเมินพวกคุณต่ำไปจริงๆ” คนผู้นั้นถอนหายใจยาว “พวกคุณพูดถูก เป็นเพราะเรื่องการเปิดตลาดที่ญี่ปุ่น ทำให้โรคหัวใจของอาจารย์ซิงกำเริบ พวกมันนั่นแหละเป็นฆาตกร!”
“เดี๋ยวๆ...” ลู่กั้วฟังจนงงงวย “แล้วตกลงเขาฆ่าหวังซิ่งยังไง”
“เอางี้ ฉันให้ข้อสังเกตกับนาย 3 ข้อ” หลิงหลงยิ้ม
“ข้อ1 นายไม่มีนาฬิกา ฉะนั้นจึงอาศัยนายเป็นพยานในเรื่องเวลาที่เกิดเหตุ
ข้อ2 อาจารย์ซิงชอบศึกษาค้นคว้าเรื่องดินฟ้าอากาศ คนข้างกายของเขาก็พลอยเคยชินและพอเข้าใจอยู่บ้าง
ข้อ3 ศีรษะของผู้เคราะห์ร้ายถูกตัดโดยเข็มสั้นและเข็มยาวที่ถูกเหลาจนแหลมเฟี้ยว!”
“คิดไม่ถึงว่าพวกคุณจะรู้ละเอียดขนาดนี้” คนผู้นั้นถอนใจ
“เสียดายที่ตอนนั้นเกือบจะจับคุณได้อยู่แล้ว แต่ถูกลู...ซิงหัวก่อกวนเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคนอีกคนก็ไม่ต้องมาตาย” จิ้งฉีพูดจริงจัง
“ตอนนี้คุณพร้อมจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้กระจ่างได้รึยังคุณพ่อบ้าน!”
“คุณพูดถูกทุกอย่าง ผมเป็นคนหลอกล่อซิงหลางให้ไปที่ห้องของนายท่าน จากนั้นก็ฆ่ามัน เอาเลือดของมันไปใส่ตู้เย็น เพื่อใช้อำพรางเวลา สร้างความสับสน ไม่คิดว่าพวกคุณจะหาที่เกิดเหตุเจอจนได้ ผมประมาทเกินไปที่ลืมเช็ดรอยนิ้วมือบนก๊อกน้ำ”
“สุดท้ายแล้ว ธรรมะต้องชนะอธรรมวันยังค่ำ...คุณเป็นคนที่มีความจงรักภักดีอย่างยิ่งและก็เป็นคนฉลาดมากอีกด้วย แผนการฆ่าหวังซิ่งของคุณไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย แต่ความผิดพลาดอันใหญ่หลวงก็คือคุณสะกดอารมณ์ตัวเองไม่อยู่นั่นแหละ” หลิงหลงกล่าว
“อะไรนะ” พ่อบ้านตะลึงงัน
“ความจริงพวกเราไม่ได้พบรอยนิ้วมือเลือดของคุณหรอก มันเป็นแค่สิ่งที่ผมเพิ่มเติมขึ้นเองที่หลัง” จิ้งฉีพูด “พวกเราคิดคำถามขึ้นมาถามพวกคุณ ก็เพื่อบอกเป็นนัยให้กับฆาตกรว่า มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ในห้องอาบน้ำ แต่ถ้าคุณไม่โผล่มา พวกเราก็ไม่มีทางจับคุณได้แบบนี้”
พ่อบ้านยืนนิ่งไม่ไหวติง แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะดังลั่น
“ฮ่าๆๆ คิดไม่ถึงว่าคนที่ทำให้เราล้มได้ก็คือตัวเราเอง! ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
..............................................
“คุณลุง!” ซิงเยี่ยวิ่งตามพ่อบ้านที่กำลังถูกส่งตัวขึ้นรถตำรวจ
“คุณหนู” แม้ถูกใส่กุญแจมือแต่พ่อบ้านก็ยังโค้งให้ซิงเยี่ยด้วยความภักดี “ขอโทษครับคุณหนู ต่อไปลุงคงดูแลคุณหนูไม่ได้แล้ว ลุงทำให้นายท่านต้องผิดหวัง”
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ” ซิงเยี่ยน้ำตายองหน้า “ทำไมลุงถึงทำอย่างนี้ คุณลุงจะลาออกไปเฉยๆ ก็ได้ แต่กลับมาทำเรื่องแบบนี้เพื่อคุณพ่อ”
“คุณหนู พระคุณที่คุณท่านชุบเลี้ยงผมมา แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟลุงก็ยอม ขอแค่ได้ตอบแทนพระคุณของคุณท่าน นี่เป้นเรื่องสุดท้ายที่ลุงทำเพื่อคุณท่าน แต่เสียดาย ...” พ่อบ้านถอนใจยาว
“ลุงพ่อบ้านครับ ผมรู้ว่าลุงเสียใจที่ยังไม่ได้จัดการกับอีกคนที่เหลือ แต่ลุงไม่มีสิทธิ์มาตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นอีกนะครับ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง”
หลิงหลงพูดขึ้นเมื่อได้ยินคำพ่อบ้าน
“คนที่ลุงอยากแก้แค้น ก็หนีไม่พ้นต้องชดใช้ในสิ่งที่เธอก่อไว้”
“ใช่! เสียทีที่ติดตามคุณท่านมาหลายปี อ่านหนังสือก็มากมาย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่เข้าใจ โง่เง่าจริงๆ!” พ่อบ้านถอนหายใจอีกครั้ง
“คุณหนูถนอมสุขภาพด้วย แล้วลืมคนเลวๆ อย่างลุงซะเถิดขอรับ!” พูดจบก็ก้าวขึ้นรถไป
“คุณลุง...” ซิงเยี่ยน้ำตานองหน้า
“วางใจเถอะ ฉันจะขอร้องลุงฟงขอใฟ้ท่านผู้พิพากษาลดหย่อนโทษให้” หลิงหลงปลอบ
“อือ...ขอบคุณค่ะ” ซิงเยี่ยเช็ดน้ำตา
“ล้อลเนน่า!” เสียงตะโกนของลู่กั้วดังเข้ามา “อย่าบอกนะว่าเงินสามพันล้านนั่นก็กุขึ้นมา”
“โง่จริงๆ ยังไม่เข้าใจอีกรึไง ปริศนามังกรเป็นแค่แผนที่ลุงพ่อบ้านวางเอาไว้ เพื่อแก้แค้นแทนอาจายร์ซิง แล้วจะมีสามพันล้านมาให้พวกนายได้ยังไง อย่าว่าแต่สามพันล้านเลย แม้แต่คฤหาสน์หลังนี้ก็เปลี่ยนเจ้าของแล้ว”
หลิงหลงไปพบสัญญาการโอนกรรมสิทธิ์บ้านตระกูลซิงให้คนอื่นเข้า เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านี่เป็นหนึ่งในแผนที่พ่อบ้านวางเอาไว้
“ใช่...” ซิงเยี่ยก้มหน้าลง “แม้แต่ฉัน ลุงพ่อบ้านก็ไม่ยอมบอก เขาคงจะวางแผนแก้แค้นแทนพ่อไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
“ฉันไม่สนใจ!” ลู่กั้วร้องตะโกนด้วยความโกรธ
“นายร้องทำซากอะไร ถึงจะมีสามพันล้านก็จริงเหอะ คนอย่างนายไขปริศนามังกรได้รึไง” จิ้งฉีเอือมระอา
“ทำไมจะไม่ได้ นัดไว้ห้าวัน นี่ยังเหลืออีกตั้งสองวัน ฉันต้องเปิดได้แน่” ลู่กั้วยังไม่ยอม
“น่าขัน อย่าว่าแต่ห้าวันเลย ต่อให้ห้าสิบปี นายก็ไม่มีปัญญาไขมันออกได้” จิ้งฉีพูด ขณะเดียวกันก็แย่งมังกรไม้จากมือลู่กั้ว
“หึ ปริศนามังกร หลอกลวงกันทั้งเพ!” ว่าแล้วก็ขว้างมันลงไปบนพื้น
ผัวะ....!
มังกรไม้แตกออกเสียงดัง
ผู้คนในบริเวณนั้นต่างพากันตกใจ หลังพบว่า แม้จริงแล้วใจกลางของมังกรแน่นตัน ไม่มีกล่องใดๆ ซ่อนอยู่ มิน่าเล่าพวกเขาถึงไม่สามารถไขปริศนาได้สักที
“เฮอะ! ฉันว่าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ตาแก่นั่นจะมีเงินสามพันล้าน” ไอโกะแค่นหัวเราะ
“คุณไอโกะ นอกจากหวังซิ่งกับซิงหลางแลว อีกคนที่ว่าก็คือคุณ!”
หลิงหลงกล่าวเสียงเย็นชา
“แล้ว...แล้วไง” ไอโกะเริ่มวิตก “ฉันจะกลับล่ะ ไม่อยากอยู่เห็นหน้าพวกเธอแล้ว!” พูดจบเธอก็จัดแจงขึ้นรถมัสแตงค์ ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“แย่จริงผู้หญิงคนนี้!” เหอหุ้ยเคือง ก่อนจะหันไปถามซิงเยี่ย “แล้วคุณหนูคิดจะทำยังไงต่อล่ะคะ”
เพราะสามคนนั้นฉ้อฉลหลอกลวง ทรัพย์สมบัติที่อาจารย์ซิงสะสมมาครึ่งชีวิตจึงสูญสิ้นไปหมดแล้ว แม้แต่คฤหาสน์หลังนี้ก็ถูกขายทอดตลาด
“ฉันคงต้องหางานทำน่ะคะ โตขนาดนี้แล้ว ถึงพ่อยังอยู่ก็ไม่ควรพึ่งพาท่านอยู่ดี”
“คุณหนูซิงเยี่ย หากไม่รังเกียจ ไปทำงานที่บริษัทผมได้นะครับ แม้เป็นบริษัทจัดจำหน่ายเกมเล็กๆ แต่ก็อยากจะให้คุณหนูมาร่วมงานด้วย” คริสเสนอ
“ขอโทษค่ะ ฉัน...”
ซิงเยี่ยยังไม่ทันปฎิเสธ หลิงหลงก็พูดตัดหน้าขึ้นมาก่อน “ดีเลยครับ! คุณหนูซิงเยี่ยบอกบ่อยๆ ว่าอยากไปออสเตรเลีย คราวนี้ไม่ใช่แค่ไปเที่ยวนะแต่ยังได้ไปทำงานด้วย ใครจะไม่อยากทำล่ะ แฮ่ม ทำไมผมไม่โชคดีอย่างคุณหนูซิงบ้างน้า...”
“คุณหลิงหลง...” ซิงเยี่ยมองหลิงหลงอย่างประหลาดใจ เหมือนไม่เชื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากเขา
“คุณหนูซิงเยี่ย...” หลิงหลงรู้ว่าซิงเยี่ยคิดอะไรอยู่
“ผมมาที่นี่ก็เพราะเห็นข่าวการถึงแก่กรรมของคุณพ่อคุณและได้เห็นรูปถ่ายของคุณบนหน้าหนังสือพิมพ์ คุณคล้ายกับเพื่อนคนหนึ่งของผมมาก ผมถึงได้เจาะจงมาที่นี่เพื่อมาดูให้แน่ใจว่าใช่เธอหรือเปล่า แต่น่าเสียดาย...”
นัยน์ตาหลิงหลงฉายแววของความปวดร้าว “แม้คุณจะไม่ใช่เธอแต่ผมก็หวังว่าคุณจะพบกับความสุข”
“อา...รุ่นพี่ที่แท้ก็...” ลู่กั้วกำลังคิดจะพูดอะไร แต่ถูกจิ้งฉีปิดปากไว้เสียก่อน
“คุณหนูซิงเยี่ย คุณยังไม่รีบตอบผมก็ได้ ลองคิดดูสักพักหนึ่งก่อน ยังไงบริษัทเราก็พร้อมต้อนรับคุณเสมอ”
จิ้งฉีมองหลิงหลง
“ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ”
“อืม ยินดีที่ได้รู้จักพวกคุณ...แล้วค่อยพบกัยใหม่นะครับ...” หลิงหลงบอกลาทุกคน
ซิงเยี่ยมองดูท่าทีของหลิงหลงแล้วก็รู้สึกเหมือนกำลังร้องไห้
..............................
ในรถเก๋งคันเล็กของหลิงหลง ระหว่างทางกลับเมือง TMX
“โอ้... ที่แท้รุ่นพี่ก็เคยถูกหญิงทิ้งนี่เอง...”ลู่กั้วกุมหัวอยู่ที่เบาะหลัง แสดงท่าทางเสียใจอย่างสุดซึ้ง “อ๋อ...รู้แล้ว สงสัยเพราะไปกิ๊กกับหญิงอื่น แฟนมาเห็นเลยโกรธแล้วหนีไป มาตอนนี้รุ่นพี่เลยนึกเสียใจ เพิ่งจะพบว่าเธอคือรักแท้ จึงออกตามหาไปทั่วทุกหนทุกแห่ง...”
“ดูท่านายคงจำมาจากละครน้ำเน่าใช่มั้ย” จิ้งฉีจ้องใบหน้าที่ภาคภูมิใจของลู่กั้วอย่างระอา
“ถูกต้องนะครับ นายนี่เก่งเหมือนกันนะเนี่ย”
หลิงหลงฝืนยิ้ม แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในใจซึ่งเขาเองก็ไม่อยากเอ่ยถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของมัน
“แต่ว่าฉันก็ยังไม่เข้าใจอยุ่ดี ลุงพ่อบ้านฆ่าหวังซิ่งกับซิงหลางยังไง” ลู่กั้วเก็บความสงสัยมานาน
“ฉันก็ให้ข้อสังเกตกับนายไปแล้วนี่ ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ งั้นจะพูดให้ฟังอีกครั้ง ข้อ1 นายไม่มีนาฬิกา ฉะนั้นจึงต้องอาศัยนายเป็นพยานในการมองเห็น ข้อ2 อาจารย์ซิงชอบศึกษาค้นคว้าเรื่องดินฟ้าอากาศและข้อ3 ศีรษะทั้งสองถูกตัดโดยเข็มสั้นและเข็มยาวที่ถูกเหลาจนแหลมเฟี้ยว! จบข่าว...”
นี่แหละจุดเด่นของหลิงหลง ไม่ว่าเวลาใด อารมณ์ไหน เขาก็ยังพูดเล่นได้เสมอ
“กรณีซิงหลางก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ จุดสำคัญที่สุดของคดีทั้งหมดก็คือการเคลื่อนย้ายศพ แค่ไม่ถูกคนอื่นเห็นเข้าก็นับว่าสำเร็จแล้ว” จิ้งฉีเสริม “สำหรับเลือดที่ไหลนองอยู่ในห้องของเขาก็ไม่ยากอะไร พอฆ่าเสร็จก็เอาเลือดไว้ในตู้เย็น พอย้ายศพมาไว้ที่ห้องนั้นแล้วก็นำเลือดที่แช่เย็นไว้มาสาด เพื่ออำพรางว่าห้องของซิงหลางเป็นสถานที่เกิดเหตุ จะได้ทำให้เราคาดการณ์เรื่องเวลาเสียชีวิตไม่ถูก”
“นี่พวกนายพูดให้มันเข้าใจง่ายๆ หน่อยได้มั้ย” ลู่กั้วคิดตามจนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมดแล้ว
หลิงหลงซึ่งกำลังขับรถหันมาหัวเราะ “เรื่องบางอย่างพูดง่ายๆ ก็ไม่สนุกน่ะสิ”
“เฮ้อ...ก็คดีมันคลี่คลายไปแล้ว ฉันก็เลยขี้เกียจคิด” ลู่กั้วยิ้มเย้ย
“เจ้างั่ง” จิ้งฉีก่นด่าเสียงต่ำ
แต่ทว่า ขณะที่เขาหันกลับมาและมองลงไปยังหน้าผาชันริมถนนก็เห็นรถมัสแตงค์คันหนึ่งกำลังลุกไหม้อยู่เบื้องล่าง ถ้าจำไม่ผิดนั่นมันรถของไอโกะนี่นา!
นั่นมัน
จิ้งฉีเกาะกระจก
ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นการพลิกตกลงไป เมื่อครู่รุ่นพี่เพิ่งบอกว่าเธอหนีไม่พ้นต้องชดใช้ในสิ่งที่ก่อ หรือว่า...รุ่นพี่มองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้?
“เป็นไรไป” หลิงหลงสังเกตเห็นจิ้งฉีมีท่าทางแปลกๆ
“ปะ...เปล่า...” เด็กหนุ่มตอบ
ช่างเถอะคงเป็นอย่างที่รุ่นพี่พูด กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง นี่คงเป็นสิ่งที่เธอต้องชดใช้!
“ย้อนกลับมาเรื่องเดิมดีกว่า รุ่นพี่ปฎิเสธคุณซิงเยี่ยไปแบบนั้นมันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ” ลู่กั้วไม่เพียงพูดไม่คิด ยังอดไม่ได้ที่จะถาม “ก็ตอนแรกรุ่นพี่เป็นคนจีบเธอก่อนไม่ใช่เหรอ”
แรกเริ่มเขาก็คิดว่าหลิงหลงชองซิงเยี่ย ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้
“ฮ่าๆๆ” หลิงหลงหัวเราะ “ผู้หญิงแค่ผ่านมาแล้วผ่านไป ความพอเพียงสิทำให้เราสงบสุขอย่างแท้จริง นี่ล่ะแนวทางการใช้ชีวิตของฉัน”
“ความพอเพียงทำให้เราสงบสุข? ดีล่ะ! ผมไม่ชอบสงบสุข ส่งเงินทั้งหมดมาให้ผมเดี๋ยวนี้!” ลู่กั้วไม่พูดเปล่าเริ่มทึ้งเสื้อหลิงหลงไปมา
“หวา” พอถูกลู่กั้วยื้อ มือของหลิงหลงก็เขยื้อน ไม่นิ่งพอ พวงมาลัยหมุนออกนอกทิศทาง
“ไอ้หมาบ้า แกทำอะไร! คนกำลังขับรถอยู่นะเฟ้ย!”
“ให้ตายเหอะลู่กั้ว ถ้านายอยากตายนักก็กระโดดลงไปเองสิ ไม่ต้องมาลากพวกเราไปด้วย” จิ้งฉีบ่นการกระทำที่ไร้ความคิดของลู่กั้ว
“ฉันยังไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเลย ไม่ได้การ ครั้งนี้ถูกต้มซะเปื่อย ต้องหาโอกาสเอาคืนซะแล้ว”
พอคิดถึงเงินสามพันล้านที่ถูกหลอก อารมณ์ขุ่นเคืองก็ตามมาไม่หยุด
“นายนี่ปัญญาอ่อนรึเปล่า คนเราตายไปก็ไม่ได้ใช้เงิน แล้วจะมีประโยชน์อะไรอีก ไอ้คนขี้งกเอ๊ย เห็นแก่เงินมากกว่าชีวิตหรือไงเนี่ย!”
จิ้งฉีด่าว่า
“ฉันไม่สน แกยืมตังค์ฉันไปคราวก่อน ตอนนี้บวกดอกเบี้ยเข้าไปแล้ว ก็แค่แสนแปดเอง”
อะไรที่เกี่ยวกับเงิน ลู่กั้วล้วนจำแม่น
“แสนแปด แกบ้าหรือเปล่า นั่นมันปล้นกันแล้ว!” จิ้งฉีรู้สึกหน้าชาเสียจนอยากถีบลู่กั้วลงข้างทางซะเดี๋ยวนั้น
“ไม่สนเฟ้ย! เอามาให้ฉันสักหน่อยเป็นการปลอบขวัญก็ยังดี”
ลู่กั้วร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง
ลูซิเฟอร์ยืนอยู่บนหน้าผา มองดูรถคันเล็กที่แล่นเลี้ยวไปมาเหมือนไส้เดือนบนผืนทราย แค่นเสียงเย็นชาอยู่ในลำคอ
“หึ...ถ้าไม่เพราะพลังของข้ายังไม่กลับคืน...” เขามองดูบาดแผลที่กลางฝ่ามือ “คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้ยังหลงเหลือคนที่พลังสูงส่งขนาดนี้อยู่อีก”
“ยังไงก็ตามแต่ ตอนนี้ข้ามาแล้ว เจ้าหนีชะตากรรมไม่พ้นหรอก ไม่ต้องรีบร้อน รอให้หา ‘กุญแจ’ พบก่อนเถอะ เมื่อนั้นแหละ...ฮ่าๆ” เขาแสยะยิ้มก่อนจะหายตัวไปในอากาศ
“ว่าไงนะ คืนนี้จะไปตรวจดูชั้นลอยของหอนาฬิกา?” ซิงเยี่ยมองหลิงหลงด้วยความประหลาดใจ
“ครับ พวกเราอยากจะจำลองสถานการณ์ในตอนนั้นดู ฉะนั้นคืนนี้ทุกคนจะต้องกลับเข้าห้องนอนแล้วล็อกประตูให้ดี อย่าเปิดให้ใครเข้าไปเป็นอันขาด!” หลิงหลงย้ำคำสั่งเดิม
ซิงเยี่ยรู้สึกเป็นกังวล “แต่ว่า...มันจะได้ผลจริงเหรอ”
“ต้องเลียนแบบเหตุการณ์จริงจึงจะคลี่คลายคดีได้งั้นเหรอ? พวกแกคิดว่านี่เป็นนิยายสืบสวนรึไง” ซิงหลางไม่อยากจะพูด
“นั่นสิ ใจกล้าเกินไปมั้ง เกิดเรื่องแบบนี้กลับไม่มีกลัวเลยซักนิด นี่ยังคิดจะคลี่คลายคดีอีก...ดูหนังมากไปรึเปล่า นี่เรื่องจริงนะไม่ใช่ละคร!” เหอหุ้ยพูดขึ้น
“สำหรับฉันขอรอเป็นกองหนุนดีกว่า ส่วนปริศนามังกรไขได้ก็ดีไม่ได้ก็แล้วไป ไม่จำเป็นต้องพึ่งเงินสามพันล้านนั่นฉันก็อยู่ได้” ว่าแล้วไอโกะก็ดูดบุหรี่ พ่นควันฉุย
“ไม่เอาน่า อย่าเถียงกันเลย ไม่แน่พวกเขาอาจหาตัวฆาตกรเจอจริงๆ ก็ได้” คริสเริ่มเห็นด้วย
“ใช่ ไม่แน่ พวกเราอาจพบอะไรเข้าก็ได้” คำพูดแฝงความนัยของลู่กั้ว ทำเอาคนบางคนว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที
แย่แล้ว! จะให้พวกมันเห็นของชิ้นนั้นไม่ได้เด็ดขาด!
..............................
พลบค่ำ
“รุ่นพี่...จะได้ผลจริงเร้อ” ลู่กั้วถามไม่หยุดขณะเดินย่องไปยังหอนาฬิกา
“ไม่รู้สิ!” อันที่จริงหลิงหลงไม่ได้คิดอะไรมาก เขาอยู่ในแวดวงการสืบสวนมานาน ย่อมเรียนรู้ว่าสิ่งใดควรทำและไม่ควรทำ คราวนี้พวกเขาจงใจปิดบังเวลาที่จะไปหอนาฬิกาไม่ให้คนอื่นรู้อีกเดี๋ยวแค่แสดงละครสักฉากก็เป็นอันใช้ได้
จิ้งฉีเตรียมพร้อมแล้วหันไปทางลูกั้ว “เงียบหน่อยได้ไหม ใครมาเห็นเข้าก็จบเห่กันพอดี”
“เฮ้อ...บอกตัวเองให้แสดงให้ดีก่อนเหอะ ถ้าเจ้าฆาตกรนั่นไม่โผล่มา นายโดนเหยียบมิดแน่” ลู่กั้วไม่วายที่จะกวนประสาท
“วางใจเถอะ จิ้งฉีไม่พลาดแน่” หลิงหลงเชื่อมั่น
รอจนหลิงหลงและลู่กั้วหลบฉากออกไปแล้ว จิ้งฉีจึงเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ แล้วเอ่ยปากถามป้าอ้วนเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ
“ป้าอ้วน มีอะไรกินบ้างครับ”
“หิวอีกแล้วเหรอ” ป้าอ้วนหัวเราะ
“ครับ หิวนิดหน่อย” จิ้งฉีกวาดสายตามองดูโดยรอบ ทุกคนยังอยู่กันครบ ดีมากเป็นไปตามแผนเป๊ะ
“มีขนมปังเหลืออยู่ จะเอามั้ยล่ะ”
“ดีครับ เอ่อ...แล้วก็ขอนมเพิ่มให้ลู่กั้วด้วยครับ”
“นี่พวกนายคิดจะเลิกจำลองเหตุการณ์แล้วรึไง ทำไมยังมาหาของกินอยู่อีก” ซิงหลายอดถามไม่ได้
“พวกเราต้องเตรียมพร้อมกันก่อนน่ะ ตอนนี้กำลังให้ลู่กั้วทบทวนเหตุการณ์อยู่ เจ้านั่นความจำไม่ค่อยดี หยิบโน่นผสมนี่ ป่านนี้ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเลย” จิ้งฉีพูดอย่างไม่อินังขอบใดๆ
“งั้นก็ไม่น่าจะไปพิสูจน์อะไรแล้ว เสี่ยงอันตรายซะเปล่าๆ ฆาตกรอาจซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งก็ได้” เหอหุ้ยเตือน
“ใช่แล้วครับ หากพวกคุณเป็นอะไรไป พวกเราจะคอยแย่ไปด้วย” พ่อบ้านพูด
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องเสี่ยงๆ แบบนี้แหละ น่าตื่นเตนดี” จิ้งฉีตอบ
“เท่านี้พอรึเปล่า” ป้าอ้วนจัดสำรับหนึ่งถาดใหญ่ยื่นมาให้
“ครับ...เดี๋ยวผมเอาถาดมาคืน ขอบคุณนะครับ” จิ้งฉีก้มหัวขอบคุณ แล้วหันตัวจะกลับออกไป
“จิ้งฉี!” ซิงเยี่ยเรียกไว้เสียก่อน หญิงสาวหน้าแดงก่ำเดินเข้ามาข้างกายเขา ท่าทางอึกอักลังเลซักพัก แต่สุดท้ายก็หลุดคำพูดออกมาจนได้
“ช่วย...ช่วยบอกหลิงหลงให้ระวังตัวด้วย”
“อ้อ...ได้ครับ”
คุณหนูซิงเยี่ยชอบรุ่นพี่นี่เอง เอ...แต่น่าจะเป็นรุ่นพี่ชอบคุณหนูมากกว่าไม่ใช่เหรอ ช่างเถอะ ไม่เกี่ยวกับเราซักหน่อย
จิ้งฉีทำตามแผนได้อย่างดีเยี่ยม เขานำอาหารกลับเข้าไปในห้องหลิงหลง พอเข้ามาได้ เสียงของลู่กั้วก็ดังขึ้นทันที
“มาซะป่านนี้ ฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว”
“หิวนักทำไมไม่ไปเอาเองละ” จิ้งฉีตอบอย่างมีอารมณ์โมโห
“อย่าพึ่งกัดกันเลย กินก่อนเหอะ” หลิงหลงบอก
ปัง!...
ประตูปิดเสียงดัง หน่วยพิเศษทั้งสามจับกลุ่มกันอยู่ในห้อง
สายตาวาววับคู่หนึ่งจ้องมองพวกเขาจากหลังเสาต้นใหญ่
“ตกลงจะได้ผลรึเปล่าเนี่ย” ลู่กั้วซึ่งซ่อนตัวอยู่หลังหอประตูนาฬิกา กระซิบถามหลิงหลงที่ซ่อนอยู่อีกด้านหนึ่ง
“อือ...ได้ผลแน่” หลิงหลงมองลอดผ่านช่องประตูรอดูสถานการณ์ด้านนอก “สักพัก พอมีคนเข้ามาปั๊บ พวกเราก็ลงมือเลย โอเคนะ”
“รับทราบ!” ลู่กั้วเริ่มคันไม้คันมือ
“มาแล้ว!” หลิงหลงเห็นเงาตะคุ่มๆ เดินรี่เข้ามา ท่าทางลับๆล่อๆ แต่ด้วยความมืด จึงมองเห็นไม่ชัดว่าเป็นใคร
ทั้งสองกลั้นหายใจพร้อมกัน เงาดำนั้นค่อยๆ เคลื่อนที่เข้ามาอีกแค่สองก้าวก็จะอยู่ในวงรัศมีของแสงไฟจากหอนาฬิกา ไม่มีทางที่มันจะหลบหนีไปได้
เข้ามาเลย!
เหงื่อซึมเป็นสายออกจากฝ่ามือลู่กั้ว
แต่ทว่า เสี้ยวเวลาที่คนๆ นั้ กำลังจะก้าวเข้ามาในวงแหวนของแสงไฟ เสียงเด็กผู้ชายก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังพวกเขาเสียก่อน
“เอ๋ ...พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่...จับแมวรึไง” ลูซิเฟอร์นั่งเท้าคางอยู่บนบันไดหอนาฬิกา มองมายังหลิงหลงกับลู่กั้วด้วยสายตาเย็นยะเยือก
เจ้าหมอนี่มาได้ยังไง...
ความคิดปราดแรกของหลิงหลงผุดขึ้นมาทันที แต่ไม่ทันไรก็ถูกลูซิเฟอร์จับข้อมือเอาไว้ เสียวแปล๊บไปทั้งแขนเหมือนถูกกระแสไฟฟ้าช็อตอย่างแรง
“อ๊ะ!” เจ้าของเงาดำเมื่อกี้หายไปเสียแล้ว ลู่กั้วคิดจะไล่ตามแต่ไม่ทันการณ์
“นายต้องการอะไรกันแน่” หลิงหลงมองลูซิเฟอร์อย่างคาดคั้น สงสัยหมอนี่ต้องไม่ใช่เด็กธรรมดาแน่ๆ!
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า... ฉันก็แค่อยากดำเนินเกมต่อไปอีกซักหน่อยนี่ กำลังสนุกอยู่เลย”
“ขำอะไร แกบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่ได้ฆ่าคน แล้วมาทำบ้าอะไรแถวนี้” ลู่กั้วโมโห เห็นๆ อยู่ว่ากำลังจะจับฆาตกรได้อยู่แล้วเชียว ถ้าเจ้าเด็กผีนี่ไม่มาก่อกวนซะก่อน
“ถูกต้อง แต่ฉันก็บอกด้วยนี่ว่า ห้ามพวกแกมาก่อความวุ่นวายในเกมของฉันเด็ดขาด” ลซิเฟอร์รู้ถึงพลังต่อต้านของหลิงหลง
“ฮ่าๆ เจ้าหนู นายมีพลังแข็งแกร่งดีนี่ มาเป็นผู้ช่วยฉันมั้ยล่ะ” หลิงหลงพูดแหย่
ไอ้หนูนี่น่าจะเป็นฝ่านมารระดับสูงที่ยังหลงเหลืออยู่บนโลกนี้เป็นแน่ ทำไมตอนนั้นถึงเล็ดลอดมาได้นะ
“ฮะๆ ถ้าไปเป็นคนแบบแก ฉันคงเบื่อแย่ แล้วการทำอะไรตามคำสั่งคนอื่นก็ไม่ใช่นิสัยของฉันซะด้วย”
“ฮ่าๆ งั้นเรอะ...”
เจ้าเด็กนี่ต้องไม่ใช่ฝ่านมารระดับธรรมดาแน่ๆ แต่ว่าพวกฝ่ายมารระดับสูงก็ถูกกักขังอยู่ไม่สามารถออกมาก่อความวุ่นวายอะไรได้ ในฝ่ายเทพเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเจ้าเด็กคนนี้มาก่อนเลย จริงๆ แล้วมันเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่กันแน่
หลิงหลงยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย
ลูซิเฟอร์ปล่อยข้อมือหลิงหลง แต่จะพูดว่าปล่อยก็ไม่ถูกซะทีเดียว ต้องพูดว่าพลังของหลิงหลงทำให้เขาจำเป็นต้องปล่อยมือถึงจะถูก
เด็กน้อยวางท่าไพล่มือไว้ด้านหลังแล้วหัวเราะ “ฮ่าๆ ทักทายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ลาก่อนละกัน”
“เฮ้! หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!” ลู่กั้วร้องเรียกเสียงดัง แต่ก็ทำได้เพียงแค่มองเงาร่างของลูซิเฟอร์ที่ค่อยๆ สลายไปในม่านหมอกความมืด
“รุ่นพี่...ทำไมไม่หยุดมันไว้หล่ะ!”
หลิงหลงยกข้อมือขึ้นดู รอยนิ้วมือทั้งสี่แดงเป็นปื้นอยู่เป็นวงรอบ
“ถ้าเกิดการต่อสู้กันขึ้น ที่นี่ต้องถูกทำลายจนย่อยยับแน่ๆ อีกอย่างเขตเวทมนตร์ก็ถูกมันตรึงไว้ ยังไงฉันก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ” พูดจบก็เดินออกจากหอนาฬิกาไปทันที
“อา! นี่พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยเหรอรุ่นพี่ ต้องปล่อยมันไปแบบนี้อ่ะนะ” ลู่กั้วเดินตามรุ่นพี่ไม่ห่าง
ฉันต้องไม่ทำให้ที่นี่เสียหายไปมากกว่านี้ เพราะฉัน เป็นเพราะฉัน เส้าหวิน...เธอ
หลิงหลงนึกถึงคนที่เขาคิดถึงมาตลอดสองปี ในใจเกิดปวดแปลบขึ้นมา
มองดูท้องฟ้ายามเอนเด่นดาวดับ ช่างอ้างว้างเสียเหลือเกิน เส้าหวิน...เธออยู่ที่ไหน...
ลูซิเฟอร์หลบอยู่ในเงามืด มองดูหลิงหลงและลู่กั้วเดินออกจากหอนาฬิกาไปอย่างเยบเชียบ ก้มลงมองฝ่ามือที่จับข้อมือขวาของหลิงหลงเอาไว้เมื่อครู่ มันบวมแดงราวกับถูกเพลิงอัคคีเผา เจ็บแสบปวดร้อนอย่างมาก เลือดสีเข้มค่อยๆ ไหลซึม หยดลงบนพื้นทีละหยดๆ
“ไอ้เจ้านั่น” เสียงลิดไรฟันออกมาอย่างอาฆาตแค้น
“ซิงหัวก็คือลูซิเฟอร์”
จิ้งฉีพึมพำเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของหลิงหลง
“พวกนายเคยประมือกับเขามาก่อนเหรอ” หลิงหลงรู้สึกว่าเรื่องมันชักจะวุ่นวายกว่าที่คิด นี่ถ้าหากลูซิเฟอร์ไม่ออกมาขัดขวาง พวกเขาก็คงจะรู้ไปแล้วว่าฆาตกรเป็นใคร
“ยิ่งกว่าเคยซะอีก! ถ้าไม่ใช่เพราะคนเก่งๆ อย่างฉัน เจ้าปอดแหกนั่นก็คงตายไปนานแล้ว!” ลู่กั้วยิ่งคิดยิ่งโมโห เมื่อนึกถึงครั้งที่ประมือกับลูซิเฟอร์ “ฉันรึอุตส่าห์สู้แทบเป็นแทบตาย แต่ไอ้หมอนี่กลับเอาแต่ยืนนิ่ง ไม่ทำอะไรซักอย่าง”
“ที่แย่ก็คือ พลังของเขาไม่รู้ว่าจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมามากน้อยแค่ไหน” หลิงหลงสำทับ
“ถ้าไม่ถือโอกาสกำจัดมันเสียตั้งแต่ตอนนี้ล่ะก็ ต่อไปน่ากลัวจะยาก” จิ้งฉีเสริม
“ถูกต้อง”
“ก็ฉันบอกแล้ว ทำไมเมื่อกี้รุ่นพี่ไม่จัดการให้เรียบร้อยไปซะเลยก็ไม่รู้” พอพูดถึงการต่อสู้ ลู่กั้วก็กระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“ที่นี่ถูกกักพลังเวทเอาไว้ ฉันใช้พลังได้เพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนพวกนาย... อีกอย่างฉันไม่อยากให้คนอื่นๆ ต้องมาบาดเจ้บล้มตายไปด้วย” หลิงหลงอธิบาย “พวกเราค่อยๆ คิดหาหนทางแก้กันดีกว่า” ในใจของหลิงหลงยังเป็นห่วง
หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ ที่นี่คงหนีไม่พ้น ต้องถูกทำลายอย่างย่อยยับเป็นแน่
“อืม” จิ้งฉีพยักหน้า
ส่วนลู่กั้ว แม้จะรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ก็ยอมรับในสิ่งที่หลิงหลงพูด “แต่...แผนการที่ล้มเหลววันนี้ได้แหวกหญ้าให้งูตื่นเสียแล้ว บวกกับเจ้าลูซิเฟอร์ที่เป็นปัญหาอยู่ พวกเราคงต้องรีบคิดกันหน่อยแล้วล่ะ”
“ใช่ แต่ฉันคิดว่าแผนการที่ล้มเหลววันนี้ คงจะทำให้ฆาตกรระวังตัวมากขึ้น”
“ใช่ๆ ดูท่าทางตกตะลึงของมันแล้ว ฉันคงว่ามันไม่กล้าทำอะไรตอนนี้หรอก” ลู่กั้วยืนยัน
“กรี๊ดดด.....”
เสียงกรีดร้องแหลมดังมาจากด้านนอก
ทั้งสามพุ่งออกจากท้องอย่างรวดเร็ว วิ่งไปยังที่มาของเสียงทันที
หน้าห้องซิงหลาง ทานากะ ไอโกะนั่งช็อกเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น ริมฝีปากเต้นระริกตาเหลือกค้าง ตัวสั่นไม่หยุด แม้แต่เรี่ยวแรงที่ใช้กรีดร้องก็เหือดหายไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น!” คนอื่นๆ ต่างรุดเข้ามาดูอย่างพร้อมหน้า พวกเขามองตามมือของไอโกะซึ่งชี้เข้าไปในห้อง... น่าสยดสยองเหลือเกิน ห้องของซิงหลางแดงฉานไปด้วยเลือด ร่างของเจ้าของห้องนอนนิ่งอยู่บนพื้นศีรษะกับตัวถูกฟันขาดกระเด็นออกจากกัน
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้...” เหอหุ้ยยืนตัวสั่น
“คุณอา...” น้ำตาของซิงเยี่ยไหลทะลักออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“ทุกคนสงบสติไว้ก่อน ลู่กั้วนายพาพวกเขาไปที่ห้องโถงใหญ่เร็วเข้า ฉันกับจิ้งฉีจะตรวจดูที่เกิดเหตุก่อน” หลิงหลงกำชับ
“ครับ!”
“เหอะๆ...” ก่อนไป ซิงหัวหรือลูซิเฟอร์ เผยอยิ้มอย่างเยือกเย็น หรือจะเป็นฝีมือของเจ้าหมอนี่ จิ้งฉีมองแผ่นหลังของลูซิเฟอร์พลางครุ่นคิด
“รีบทำงานเร็วเข้าเถอะจิ้งฉี” หลิงหลงดึงความคิดฟุ้งซ่านของจิ้งฉีกลับมา
“ใช่ฝีมือเขารึเปล่า...”
“เป็นไปไม่ได้” หลิงหลงเริ่มตรวจดูบาดแผลของซิงหลาง “หากเป็นเขาจะไม่ตัดศีรษะของเหยื่อด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยการใช้มีดตัดเอาดื้อๆ แบบนี้หรอก” พวกฝ่ายมารนั้นเหี้ยมโหดเกินกว่าใครจะคาดคิด พวกมันไม่จัดการเหยื่ออย่างรวดเร็วและง่ายดายเช่นนี้
“แปลก ที่นี่มีแต่เลือดเต็มไปหมด แต่ทำไมไม่มีรอยเทาเลยล่ะ” จิ้งฉีเช็ดรอยเลือดบนพื้น “เวลาที่ซิงหลางตายน่าจะอยู่ราวครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้” วินิจฉัยจากระดับการแข็งตัวของเลือดที่นองอยู่ที่พื้น
“ไม่ถูก!” หลิงหลงหันหลับ “ดูจากรอยจ้ำบนตัวและสภาพเลือดในตัวศพ น่าจะตายมาแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง”
“เป็นไปได้ไง หรือว่า...”
หลิงหลงและจิ้งฉีคิดเหมือนกัน
“ที่นี่ไม่ใช่ที่เกิดเหตุ!!”
..........................
ในห้องโถงใหญ่
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้....” ครูโซ่ คริสเดินไปเดินมาไม่หยุด
“พวกเรา...พวกเรามาแข่งขันตามคำเชิญของท่านซิงแท้ๆ แล้วทำไม...ทำไมต้องมาถูกฆ่าไปทีละคนๆ อย่างนี้ล่ะ” เหอหุ้ยไม่เข้าใจ
“หึ...วิญญาณร้ายอาจจะตามมาแก้แค้นแล้วก็ได้” ซิงหัวพูดเสียงเย็นชา
“ไร้สาระ!”
หน้าตาของไอโกะดูเหมือนจะแก่ลงไปอีกเกือบยี่สิบปี นัยน์ตาแดงไปด้วยเส้ยเลือด
“ขอให้ทุกคนทำใจให้สงบ ตอนนี้พวกเราต้องอยู่รวมกลุ่มกันไว้ อย่าแยกไปไหนมาไหนตามลำพังเด็ดขาด” ซิงเยี่ยยังคงเศร้าใจ
“ใช่แล้ว การอยู่คนเดียวตามลำพังก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ฆาตกร ถ้าอย่างนั้น คืนนี้ทุกคนก็พักรวมกันที่นี่ไปก่อนละกัน” ลู่กั้วพูดบ้าง
ทุกคนนิ่งเงียบ บรรยากาศอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
“คุณหนูซิงเยี่ย” จิ้งฉีกลับมาแล้ว
“เป็นไงบ้างคะ” ซิงเยี่ยคิดว่าคงได้บทสรุปแล้ว
“มีเรื่องอยากขอร้องน่ะครับ” เด็กหนุ่มดึงซิงเยี่ยแยกตัวออกมาอีกด้านหนึ่ง
“เราอยากได้กุญแจสำรองของทุกห้องในตึก”
“กุญแจสำรองหรือคะ ลุงพ่อบ้านเป็นคนดูแล...เดี๋ยวฉันจะไปเอาให้ก็แล้วกันค่ะ”
“คุณไอโกะครับ” จิ้งฉีไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ระหว่างรอซิงเยี่ยก็หันไปคุยกับไอโกะ “ตอนนั้นคุณไปหาคุณซิงหลางที่ห้องทำไม”
“ฉัน...ฉัน...” ไอโกะเงียบไปชั่วขณะ อ้ำๆ อึ้งๆ ก่อนจะตอบ “ฉันมีเรื่องจะปรึกษากับเขาก็เลยไปหา”
“แล้วจากนั้นเป็นยังไงครับ” จิ้งฉีสังเกตเห็นสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“พอไปถึงเห็นด้านในเปิดไฟอยู่ เลยเคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบ ฉันเห็นประตูไม่ได้ล็อกจึงผลักเข้าไปเบาๆ แล้ว...แล้วก็เห็น..”
พอนึกถึงภาพอันน่าสลดใจนั้น ไอโกะก็รู้สึกหวาดหวาขึ้นมา อยากจะวิ่งหนีออกไปให้พ้นๆ จากที่นี่เสียเดี๋ยวนั้น
“ก่อนหน้านี้คุณกับคุณซิงหลางสนิทกันมากใช่ไหมครับ” จิ้งฉีคาดเดา
“ก็...สนิท...” แววตาของไอโกะดูล่องลอย
“คุณจิ้งฉีคะ...นี่กุญแจ” ซิงเยี่ยนำกุญแจมาให้แล้ว
“ขอบคุณครับ” จิ้งฉีรับกุญแจแล้วเร่งรีบจากไป
.............................
“ไม่มีห้องลับ ไม่มีร่องรอยหลักฐาน อย่างนี้ก็จบข่าว!” หลิงหลงบ่น “แต่ฉันแน่ใจว่าซิงหลางต้องถูกฆ่าตายจากที่อื่นแน่ๆ”
“วันนี้ฝนไม่ตก การฆาตกรรมไม่น่าเกิดขึ้นข้างนอก พวกเราลองไปตรวจดูห้องอื่นๆ กันเถอะ อาจจะได้ร่องรอยอะไรบ้าง”
“จากรอยเลือดบนพื้นกับสภาพศพ สามารถวิเคราะห์เวลาตายได้ต่างกันครึ่งชั่วโมง แสดงว่า...” จิ้งฉีพูด “เวลาครึ่งชั่วโมงนี้ เป็นเวลาที่ฆาตกรใช้จัดการลบร่องรอยทุกอย่างให้เรียบร้อย”
“ใช่ แต่ฉันเชื่อว่าเขาไม่สามารถเก็บร่องรอยได้หมดร้อยเปอร์เซนต์หรอก คนที่ถูกตัดหัว เลือดจะพุ่งกระฉูดได้สูงสุดประมาณสามเมตร ฉันไม่เชื่อว่าหมอนั่นจะเช็ดเลือดทุกหยดได้หมดจด ต้องมีร่องรอยอะไรเหลืออยู่แน่ๆ”
“ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้เขาเกือบถูกพวกเราจับได้ เขาต้องมีความกังวลใจในเรื่องนี้อยู่บ้างอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น มันต้องมีความผิดพลาดที่เขามองข้ามไปหลงเหลืออยู่ชัวร์ๆ พวกเราต้องค้นหาร่องรอย อันนั้นให้เจอให้ได้” หลิงหลงกล่าวอย่างจริงจัง
“ครับ”
รุ่นพี่ฉลาดจริงๆ เราเองเสียอีกที่มัวแต่คลำทางสะเปะสะปะไปเรื่อย
จิ้งฉีรู้สึกผิดหวังในตัวเองอยู่ลึกๆ
“อย่าคิดมากน่า ตอนฉันอายุเท่านาย ยังไม่ประสีประสาอะไรเลยด้วยซ้ำ” หลิงหลงปลอบ “อายุแค่นี้ก็เข้ามาในหน่วยงานพิเศษได้ นายก็ต้องมีอะไรเจ๋งๆ อยู่เหมือนกันล่ะน่า”
“เป็นเพราะโชคช่วยมากกว่าน่ะครับ อย่างตอนทดสอบครั้งแรก...” จิ้งฉีเสียงเบาลง
“ไม่จริงหรอก” หลิงหลงโต้แย้ง “โชคน่ะไม่เข้าข้างใครง่ายๆ หรอกนะ นายต้องมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นอยู่แน่ เพียงแต่ไม่รู้ตัวเท่านั้น”
เขาฉีกยิ้มกว้างให้จิ้งฉี “น้องชาย...ความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญมากนะ หญิงรักหญิงหลงก็ตรงนี้ล่ะ! เชื่อพี่ ฮ่าๆ”
“ยังมีอารมณ์มาพูดเรื่องแบบนี้อีกหรือครับ รุ่นพี่” จิ้งฉีรู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก
“...เอาน่า ไปเหอะ! ไปดูซิว่าเทพยดาฟ้าดินจะหลงเหลืออะไรให้พวกเราบ้าง” หลิงหลงขยิบตาให้
“ครับผม”
..............................
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น
“เฮ้อ...เหนื่อยจริงๆ!” หลิงหลงมองประตูบานใหญ่ที่ปิดไว้อย่างแน่นหนา ถอนหายใจเฮือกยาว “ห้องพักทุกห้องตรวจดูเกือบหมดแล้ว แต่เบาะแสสักนิดก็ไม่มี”
“ไหงเมื่อกี้รุ่นพี่ยังเชื่อมั่นนักหนา ว่ามันต้องมีเบาะแสไงล่ะครับ” จิ้งฉีเหงื่อตก
“ความเชื่อมั่นน่ะยังเต็มร้อย ถ้าหากว่าที่นี่ไม่ถูกกักพลังเวทไว้ล่ะก็ แค่เรียนซื่อเสิน (เทพแห่งรูปแบบ) มาช่วยวิเคราะห์ พวกเราก็มานอนสรุปได้สบายใจเฉิบแล้ว” หลิงหลงพูด
“งั้น...ที่เหลือผมไปตรวจเองแล้วกัน”
“เฮ่ย จะปล่อยนายทำคนเดียวได้ไงล่ะ?” หลิงหลงลูบหัวจิ้งฉีรู้สึกตัวเองจะพูดมากไป เจ้านี่เลยงอนเอา
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมควรจะฝึกฝนให้มากขึ้น ไม่งั้นเจ้าลู่กั้วมันก็จะคอยย้ำว่าไม่เอาไหนอยู่นั่นแหละ” จิ้งฉีหัวเราะ
“งั้นก็คงต้องพึ่งนายแล้วล่ะ...นายนี่เป็นคนดีจริงๆ เลยจิ้งฉี!”
หลิงหลงน้ำตาคลอเบ้า
............................
จิ้งฉีไปตรวจห้องของป้าอ้วนกับซิงเยี่ย แต่ก็ยังไม่พบอะไรน่าสงสัย
แม้จะไม่เก่งกล้าทางด้านเวทมนตร์ แต่เรื่องไหวพริบปฏิภาณและความละเอียดรอบคอบแล้วล่ะก็ จิ้งฉีก็นับว่าไม่เป็นรองใคร หากหมั่นฝึกฝนสักหน่อย รับรองได้ว่าต้องเป็นนักสืบที่เก่งกาจอย่างแน่นอน
หลิงหลงมองดูจิ้งฉีเดินเข้าเดินออกอยู่เงียบๆ ในใจรู้สึกเป็นปลื้มในความมุมานะของรุ่นน้องคนนี้อยู่ไม่น้อย ทว่าปัญหาที่ยิ่งใหญ่ของจิ้งฉีก็คือการควบคุมความเชื่อมั่นและอารมณ์ของตนเอง ทั้งๆ ที่วินิจฉัยได้ถูกต้องแล้วแม้ๆ แต่กลับไม่มั่นใจที่จะยืนยันออกมา ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย คนที่คิดว่าตัวเองไม่เอาไหนอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้
เป็นเพราะอะไร?
หลิงหลงนึกถึงเมื่อครั้งที่พวกเขาร่วมงานกันครั้งแรก มีบางอย่างที่เขายังไม่เข้าใจจนถึงวันนี้
“ไม่พบอะไรเลย” จิ้งฉีหันมารายงาน กลับพบสายตาของหลิงหลงมองนิ่งมายังตน “หืม...มีอะไรผิดพลาดรึครับ รุ่นพี่” เขาคิดว่าตนเองคงปฎิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีพอ
“เปล่าๆ...นายทำได้ดีมาก ห้องซิงเยี่ยไม่มีรังสีฆ่าฟันอยู่แล้วล่ะเออ...ข้างล่างยังมีอีกสองห้องนี่” แม้ยังไม่รู้ว่าใครคือฆาตกร แต่ว่าคนที่ไม่มีทางเป็นฆาตกรได้แน่ๆ นั้น หลิงหลงคิดคำนวณไว้ในใจแล้ว
“ครับ...เป็นห้องของพ่อบ้านกับของอาจารย์ซิงผู้ล่วงลับ” จิ้งฉีพยักหน้ารับ
“ไปดูกันเถอะ!”
ห้องของพ่อบ้านก็ไม่มีเบาะแสน่าสงสัยใดๆ จิ้งฉีชักจะเริ่มท้อแท้ใจแล้วสิ “เหลืออีกห้องไม่ใช่เหรอ ยังไม่ถึงที่สุด อย่ายอมแพ้เด็ดขาด” หลิงหลงปลอบ
“แต่ว่าอาจารย์ซิงตายไปแล้ว...” นัยน์ตาจิ้งฉีลุกวาวขึ้น
“เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองหน่อยสิ ไปดูก่อนค่อยมาพูด!”
“ครับ”
แม้อาจารย์ซิงจะถึงแก่กรรมไปหลายวันแล้ว แต่ห้องของเขาก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม ปราศจากฝุ่นละออง ราวกับรอคอยการกลับมาของเจ้าของ
ห้องรับแขกเล็กที่แม้จะดูไม่เป็นระเบียบไปบ้าง แต่ในความไม่เป็นระเบียบนั้นกลับมีความละเอียดซ่อนเอาไว้ กองเครื่องมือที่วางรวมอยู่กับตั้งหนังสือ แม้จะเหมือนวางเอาไว้ระเกะระกะ แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามันวางไว้ใกล้ชั้นวางเครื่องมือที่หยิบจับได้ง่ายที่สุด
“ดูเหมือนอาจารย์ซิงสนใจศึกษาพวกโหราศาสตร์กับเรื่องลี้ลับนะ!” หลิงหลงพูดขณะพลิกดูหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ชอบสะสมของแปลกด้วย” จิ้งฉีกำลังตรวจดูกล่องเก็บของซึ่งข้างในมีของแปลกๆ มากมาย
“เอ๋ เล่มนี้มัน...”
หลิงหลงพลิกมาถึงหนังสือเล่มหนึ่งก็ต้องตกตะลึง
“อา...ดูเหมือนจะเป็นแบบร่างเกมพร้อมคำเฉลยที่เขาเป็นคนออกแบบ!” จิ้งฉีตกตะลึงเช่นกัน
“เฮ้ พอดีเลย ไหนดูซิว่ามีคำเฉลยปริศนามังกรรึเปล่า” หลิงหลงพลิกมาถึงหน้าสุดท้ายซึ่งมีรอยยับย่นคล้ายถูกขยำ
เสียดายที่หน้าสุดท้ายไม่ใช่แบบร่างของปริศนามังกร แต่เป็นแบบร่างของเล่นที่กำลังขายดิบขายดีที่สุดในประเทศญี่ปุ่นขณะนี้
“นี่ก็เป็นผลงานของอาจารย์ซิงงั้นเหรอ” จิ้งฉีสงสัย
“ดูจากแบบแล้วก็น่าจะใช่ ชิ้นส่วนทุกชิ้นล้วนจดบันทึกวิธีการทำงานเอาไว้อย่างละเอียด แล้วยังเขียนวันที่และแนวคิดในการประดิษฐ์ไว้ด้วย แต่ว่า...” หลิงหลงยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เหตุใดจึงมีรอยขยำ คล้ายจะฉีกแต่ไม่ได้ฉีก
“แต่ฉันจำได้ ตอนเปิดตัวเกมนี้ที่ญี่ปุ่น ไม่ได้บอกว่าเป็นผลงานของอาจารย์ซิง ดูเหมือนจะบอกว่าเป็นผลงานของบริษัทอะไรซักอย่างนี่แหละ...” จิ้งฉีพูดขึ้น
เขาชี้ไปที่แถวตัวหนังสือที่อยู่ด้านบน
“ลองดูประโยคนี้ซิ”
ฉันเป็นเพียงของเล่นชิ้นเล็กๆ แต่สามารถทำให้คุณค้นพบความตื่นเต้นอย่างคาดไม่ถึง
“นี่เป็นคำโฆษณาของเกมนี้ แม้แต่คำโฆษณาก็เหมือนกัน ไม่น่าใช่ความบังเอิญแล้วล่ะ”
“นายดูนี่ วันที่ด้านบนเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน แต่อาจารย์ซิงเสียชีวิตไปได้สองสัปดาห์ เกมนี้น่าจะเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา!” แม้หลิงหลงไม่เคยเห็นคำโฆษณา แต่ก็รู้สึกว่ามีความนัยแอบแฝงอยู่
“แปลกจริง” จิ้งฉีก็รู้สึกประหลาด แต่ก็ไม่รู้ว่าแปลกตรงไหน “รุ่นพี่ตรวจในนี้ไปก่อน ผมจะไปดูที่ห้องอาบน้ำ”
“ดี...ฝากด้วยแล้วกัน” หลิงหลงพยักหน้า
ขณะที่กำลังจะเข้าห้องน้ำ วูบหนึ่ง จิ้งฉีรู้สึกเหมือนถูกปะทะด้วยพลังต้านทานอย่างรุนแรง จนเขาเกือบยืนไม่อยู่
“เป็นไร จิ้งฉี” หลิงหลงเห็นจิ้งฉีคล้ายกำลังจะล้ม จึงเข้าไปพยุง
“เปล่าครับ...รู้สึก...เวียนหัวนิดหน่อยน่ะ” จิ้งฉีสั่นหัว
“...ฉันไปดูเอง”
“ไม่เป็นไรครับ” จิ้งฉีฝืนยิ้ม “ไหนๆ ก็เป็นที่สุดท้ายแล้ว ให้ผมจัดการต่อเลยแล้วกัน”
“อืม เอาเลย”
ห้องอาบน้ำนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงทำให้จิ้งฉีรู้สึกไม่สบายใจไปทั้งตัวคล้ายหนาวสั่นหรือเป็นเพราะคิดมากไปเอง
เขาสะบัดหัว แล้วเริ่มสำรวจ หากการฆาตกรรมเกิดขึ้นที่นี่ คงจะไม่พบเจออะไรแน่ๆ เพราะที่นี่ง่ายต่อการชะล้างทำความสะอาด แต่...ก็อย่างที่รุ่นพี่ว่า ร้อยถี่มีหนึ่งห่าง เพราะความที่ง่ายต่อการทำความสะอาด ก็อาจจะทำให้ฆาตกรพลาดหลงเหลือหลักฐานอะไรทิ้งไว้ก็ได้
ที่ๆ ฆาตกรคาดไม่ถึง!
จิ้งฉีเริ่มสำรวจตามมุมห้อง ไม่เว้นแม้แต่รอยแตกร้าวของกระเบื้อง
“ไม่มี”
จากการตรวจอย่างละเอียด ไม่พบสิ่งต้องสงสัยแม้เพียงเศษเสี้ยว เขาจึงรู้สึกห่อเหี่ยวหมดกำลังใจลงอย่างมาก ทรุดตัวนั่งพักอยู่ข้างอ่างอาบน้ำ
“หรือพวกเราจะวินิจฉัยกันผิด” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ผมนี่ยังไงก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี” โดยไม่ได้ตั้งใจ สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ก๊อกน้ำ
“จิ้งฉี ดูซิว่าฉันเจออะไร” หลิงหลงผลักประตูเข้ามา “เอ๋ นายกำลังทำอะไร”
“ผมคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว” จิ้งฉีหันไปมองหน้าหลิงหลงแล้วยิ้ม
“อะไรนะ แยกกันสอบสวน พวกนายเห็นพวกเราเป็นอะไร นักโทษรึไง” ไอโกะตะโกนอย่างคลุ้มคลั่ง
“ไม่ใช่อยู่แล้วครับ แต่ว่าเรามีหลักฐานเพียงพอที่จะชี้ว่าฆาตกรก็คือหนึ่งในหมู่พวกคุณ!” หลิงหลงเสียงเข้ม
“ใครกันล่ะ ชี้ตัวออกมาเลยสิ!” เธอยังคงไม่พอใจ
“พวกคุณวางใจได้ อีกสักพักเขาก็จะยืนขึ้นยอมรับเอง” หลิงหลงยิ้มยะเยือก ส่งซิกให้จิ้งฉี
“นี่คือคำถามเกี่ยวกับคดีหฤโหดทั้งสองคดี เดี๋ยวพวกเราจะแจกให้กับทุกคน”
“ว้าว!หาตัวฆาตกรด้วยวิธีแบบนี้ด้วย” ลู่กั้วทึ่ง
“แน่นอน!” จิ้งฉีมองเขาแวบหนึ่ง เป็นการส่งซิกว่าอย่าเสียงดัง “คำถามที่ผมจะแจกต่อไปนี้ เป็นคำถามง่ายๆ ทุกคนน่าจะทำได้ แต่ยังไงก็ตามผมขอเตือนไว้ก่อน อย่าแอบดูคำตอบของคนอื่นโดยเด็ดขาด เพราะคำถามของแต่ละคนไม่เหมือนกัน”
คำถามเหล่านี้ เขากับหลิงหลงช่วยกันคิดหัวแทบแตก “ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ...คำตอบที่คุณแอบดู อาจเป็นของฆาตกรก็ได้”
“มีวิธีแบบนี้ก็น่าจะเอามาใช้แต่แรก” เหอหุ้ยพูดขึ้น
“แค่คำถามชุดเดียวก็สามารถหาตัวฆาตกรได้? ถ้าหาได้แล้วจะอธิบายยังไง หลักฐานแบบนี้พิสูจน์ความผิดใครไม่ได้หรอก!”
คริสกังขา
“ข้อนี้คุณไม่ต้องห่วง” หลิงหลงยิ้มน้อยๆ “จิ้งฉี แจกคำถามให้ทุกคนเถอะ”
จิ้งฉีเริ่มแจกคำถามให้แต่ละคนอย่างเฉพาะเจาะจง
“ลู่กั้ว เสร็จแล้วนายก็ส่งทุกคนกลับห้องเหมือนเดิม จะได้ไม่มีใครหนีไปไหน” หลิงหลงอมยิ้ม
ลู่กั้วปฎิบัติหน้าที่ส่ง ซิงเยี่ย เหอหุ้ย พ่อบ้าน ไอโกะ และป้าอ้วนกลับเข้าห้อง
“ฮึ! ช่างคิดกันจริง...” ขณะรับแผ่นคำถาม ลูซิเฟอร์เอ่ยเสียงเรียบ
“ถ้าไม่ใช่เรื่องของแก ก็อย่ายื่นมือเข้ามาสอด!” จิ้งฉีเตือน
“ฮ่าๆ หากข้าคิดสอดจริง พวกเจ้าอยู่ไม่รอดถึงวันนี้หรอก”
ลูซิเฟอร์ยิ้มเย็นชา
“ถ้าไม่เป็นเพราะนายยื่นมือเข้ามา พวกเราก็คลี่คลายคดีไปนานแล้ว” หลิงหลงเข้ามาสมทบอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน
“มันก็แค่เกม จบเร็วไปก็ไม่สนุกหน่ะสิ” ลูซิเฟอร์ยิ้ม แต่ยังคงตามลู่กั้วกลับไปที่ห้อง
หลิงหลงกับจิ้งฉีมองตากัน คำพูดที่เข้าใจยากของลูซิเฟอร์วนเวียนอยูในห้วงคำนึง
.................................
ยี่สิบนาทีผ่านไป
เงาดำร่างหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ อยู่นอกหน้าต่าง ก่อนจะมองเข้ามาในห้องของอาจารย์ซิง
ดีที่เจ้าเด็กสามคนนั้นยังอยู่ในห้องพัก ไม่มีทางรู้ว่าเราอยู่ในนี้! ชิ ไอ้ลูกหมา อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดนักเลย!
เขาคนนั้นพลิกตัวจากหน้าต่างเข้ามาในห้อง ค่อยๆ ก้าวข้ามกองสารพัดสิ่งของเข้าไปในห้องอาบน้ำ
พอเห็นหลักฐานสำคัญยังอยู่ที่เดิมก็วางใจ
ดีจริง เฮอะ! พวกนักสืบสมัครเล่นอย่างนั้น จะมาพบหลักฐานนี้ได้ยังไง คำถามบ้าบออะไรนั่นแกล้งทำขึ้นมาชัดๆ
เขาล้วงผ้าเช็ดหน้าออก กำลังเตรียมเช็ดถู พลันน้ำเสียงเย้ยหยันก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“ตอนนี้เป็นเวลาตอบคำถาม คุณมาทำอะไรที่นี่”
คนผู้นั้นตกใจสุดขีด มือไม้สั่น ผ้าเช็ดหน้าหล่นลงบนพื้น
“ฮ่าๆ จิ้งฉี ในที่สุดก็เป็นไปตามที่นายคาด” หลิงหลงหันมายิ้ม “ฆาตกรติดกับเข้าให้แล้วจริงๆ”
คนถูกจับได้รีบยืนขึ้น “พวกคุณรู้ได้ไงว่าเป็นผม”
“ก่อนหน้าที่คุณจะเข้ามา พวกเราไม่รู้หรอก!” หลิงหลงหัวเราะ “ด้วยแผนการอันสลับซับซ้อนของคุณ ใครจะไปเดาได้ว่าใครคือฆาตกร”
“หึ ...คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะต้องมาพบจุดจบด้วยน้ำมือของพวกคุณ” คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็นชา
“เสียดาย...” เขาถอนหายใจนิ่งแล้วจึงขยับปากถาม “พวกคุณรู้ได้ยังไง”
“เป็นเพราะเรื่องนี้...” จิ้งฉีนำหนังสือที่พวกเขาค้นพบออกมา “พวกเราแปลกใจว่าทำไมเกมฝึกสมองที่อาจารย์ซิงบันทึกไว้ในหน้าสุดท้ายถึงเป็นเกมเดียวกันกับเกมใหม่ล่าสุดที่เพิ่งจะวางขายในญี่ปุ่น ตอนเปิดตัวพวกเขาก็ไม่ได้บอกว่านี่เป็นผลงานของอาจารย์ซิง ผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหวังซิ่งและซิงหลาง! พวกเขายักยอกสิ่งประดิษฐ์ของอาจารย์ซิงไปเป็นของตัวเอง เพราะเหตุนี้อาจารย์ซิงถึงได้โมโหจนอยากฉีกมันทิ้ง แต่จนแล้วจนรอดก็ทำไม่ลง เพราะมันเป็นเลือดเนื้อเป็นจิตวิญญาณของท่าน ถ้าคิดดูจากช่วงวันเวลาดังกล่าว เป็นไปได้ว่าเรื่องนี้จึงทำให้อาจารย์ซิงล้มป่วยจนทรุดหนักและถึงแก่กรรมในที่สุดดังนั้นสาเหตุของการฆาตกรรม ก็คือเพื่อล้างแค้นให้อาจารย์ซิงและคนที่เหลืออยู่”
“ดังนั้นพวกคุณจึงคิดว่า ผมต้องมาที่นี่” คนผู้นั้นกลับไม่แก้ตัวใดๆ
“คำถามที่แจกให้ทุกคน มีข้อหนึ่งถามว่า ศพของซิงหลางกับรอยเลือดบ่งบอกเวลาเสียชีวิตไม่ตรงกัน แสดงว่าถูกฆาตกรรมในสถานที่อีกแห่งแล้วค่อยเคลื่อนย้ายศพ เช่นนั้นแล้วเขาเสียชีวิตที่ไหน คำถามนี้ทำให้ฆาตกรนึกถึงที่ๆ ตนเองฆ่าซิงหลางว่าอาจหลงเลหือร่องรอยอะไรอยู่ จึงคิดหลบหน้าพวกเรา เข้ามาทำลายหลักฐาน!”
“ผมประเมินพวกคุณต่ำไปจริงๆ” คนผู้นั้นถอนหายใจยาว “พวกคุณพูดถูก เป็นเพราะเรื่องการเปิดตลาดที่ญี่ปุ่น ทำให้โรคหัวใจของอาจารย์ซิงกำเริบ พวกมันนั่นแหละเป็นฆาตกร!”
“เดี๋ยวๆ...” ลู่กั้วฟังจนงงงวย “แล้วตกลงเขาฆ่าหวังซิ่งยังไง”
“เอางี้ ฉันให้ข้อสังเกตกับนาย 3 ข้อ” หลิงหลงยิ้ม
“ข้อ1 นายไม่มีนาฬิกา ฉะนั้นจึงอาศัยนายเป็นพยานในเรื่องเวลาที่เกิดเหตุ
ข้อ2 อาจารย์ซิงชอบศึกษาค้นคว้าเรื่องดินฟ้าอากาศ คนข้างกายของเขาก็พลอยเคยชินและพอเข้าใจอยู่บ้าง
ข้อ3 ศีรษะของผู้เคราะห์ร้ายถูกตัดโดยเข็มสั้นและเข็มยาวที่ถูกเหลาจนแหลมเฟี้ยว!”
“คิดไม่ถึงว่าพวกคุณจะรู้ละเอียดขนาดนี้” คนผู้นั้นถอนใจ
“เสียดายที่ตอนนั้นเกือบจะจับคุณได้อยู่แล้ว แต่ถูกลู...ซิงหัวก่อกวนเสียก่อน ไม่อย่างนั้นคนอีกคนก็ไม่ต้องมาตาย” จิ้งฉีพูดจริงจัง
“ตอนนี้คุณพร้อมจะอธิบายเรื่องทั้งหมดให้กระจ่างได้รึยังคุณพ่อบ้าน!”
“คุณพูดถูกทุกอย่าง ผมเป็นคนหลอกล่อซิงหลางให้ไปที่ห้องของนายท่าน จากนั้นก็ฆ่ามัน เอาเลือดของมันไปใส่ตู้เย็น เพื่อใช้อำพรางเวลา สร้างความสับสน ไม่คิดว่าพวกคุณจะหาที่เกิดเหตุเจอจนได้ ผมประมาทเกินไปที่ลืมเช็ดรอยนิ้วมือบนก๊อกน้ำ”
“สุดท้ายแล้ว ธรรมะต้องชนะอธรรมวันยังค่ำ...คุณเป็นคนที่มีความจงรักภักดีอย่างยิ่งและก็เป็นคนฉลาดมากอีกด้วย แผนการฆ่าหวังซิ่งของคุณไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย แต่ความผิดพลาดอันใหญ่หลวงก็คือคุณสะกดอารมณ์ตัวเองไม่อยู่นั่นแหละ” หลิงหลงกล่าว
“อะไรนะ” พ่อบ้านตะลึงงัน
“ความจริงพวกเราไม่ได้พบรอยนิ้วมือเลือดของคุณหรอก มันเป็นแค่สิ่งที่ผมเพิ่มเติมขึ้นเองที่หลัง” จิ้งฉีพูด “พวกเราคิดคำถามขึ้นมาถามพวกคุณ ก็เพื่อบอกเป็นนัยให้กับฆาตกรว่า มีหลักฐานหลงเหลืออยู่ในห้องอาบน้ำ แต่ถ้าคุณไม่โผล่มา พวกเราก็ไม่มีทางจับคุณได้แบบนี้”
พ่อบ้านยืนนิ่งไม่ไหวติง แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะดังลั่น
“ฮ่าๆๆ คิดไม่ถึงว่าคนที่ทำให้เราล้มได้ก็คือตัวเราเอง! ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
..............................................
“คุณลุง!” ซิงเยี่ยวิ่งตามพ่อบ้านที่กำลังถูกส่งตัวขึ้นรถตำรวจ
“คุณหนู” แม้ถูกใส่กุญแจมือแต่พ่อบ้านก็ยังโค้งให้ซิงเยี่ยด้วยความภักดี “ขอโทษครับคุณหนู ต่อไปลุงคงดูแลคุณหนูไม่ได้แล้ว ลุงทำให้นายท่านต้องผิดหวัง”
“อย่าพูดแบบนั้นสิคะ” ซิงเยี่ยน้ำตายองหน้า “ทำไมลุงถึงทำอย่างนี้ คุณลุงจะลาออกไปเฉยๆ ก็ได้ แต่กลับมาทำเรื่องแบบนี้เพื่อคุณพ่อ”
“คุณหนู พระคุณที่คุณท่านชุบเลี้ยงผมมา แม้ต้องบุกน้ำลุยไฟลุงก็ยอม ขอแค่ได้ตอบแทนพระคุณของคุณท่าน นี่เป้นเรื่องสุดท้ายที่ลุงทำเพื่อคุณท่าน แต่เสียดาย ...” พ่อบ้านถอนใจยาว
“ลุงพ่อบ้านครับ ผมรู้ว่าลุงเสียใจที่ยังไม่ได้จัดการกับอีกคนที่เหลือ แต่ลุงไม่มีสิทธิ์มาตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นอีกนะครับ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง”
หลิงหลงพูดขึ้นเมื่อได้ยินคำพ่อบ้าน
“คนที่ลุงอยากแก้แค้น ก็หนีไม่พ้นต้องชดใช้ในสิ่งที่เธอก่อไว้”
“ใช่! เสียทีที่ติดตามคุณท่านมาหลายปี อ่านหนังสือก็มากมาย เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังไม่เข้าใจ โง่เง่าจริงๆ!” พ่อบ้านถอนหายใจอีกครั้ง
“คุณหนูถนอมสุขภาพด้วย แล้วลืมคนเลวๆ อย่างลุงซะเถิดขอรับ!” พูดจบก็ก้าวขึ้นรถไป
“คุณลุง...” ซิงเยี่ยน้ำตานองหน้า
“วางใจเถอะ ฉันจะขอร้องลุงฟงขอใฟ้ท่านผู้พิพากษาลดหย่อนโทษให้” หลิงหลงปลอบ
“อือ...ขอบคุณค่ะ” ซิงเยี่ยเช็ดน้ำตา
“ล้อลเนน่า!” เสียงตะโกนของลู่กั้วดังเข้ามา “อย่าบอกนะว่าเงินสามพันล้านนั่นก็กุขึ้นมา”
“โง่จริงๆ ยังไม่เข้าใจอีกรึไง ปริศนามังกรเป็นแค่แผนที่ลุงพ่อบ้านวางเอาไว้ เพื่อแก้แค้นแทนอาจายร์ซิง แล้วจะมีสามพันล้านมาให้พวกนายได้ยังไง อย่าว่าแต่สามพันล้านเลย แม้แต่คฤหาสน์หลังนี้ก็เปลี่ยนเจ้าของแล้ว”
หลิงหลงไปพบสัญญาการโอนกรรมสิทธิ์บ้านตระกูลซิงให้คนอื่นเข้า เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านี่เป็นหนึ่งในแผนที่พ่อบ้านวางเอาไว้
“ใช่...” ซิงเยี่ยก้มหน้าลง “แม้แต่ฉัน ลุงพ่อบ้านก็ไม่ยอมบอก เขาคงจะวางแผนแก้แค้นแทนพ่อไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
“ฉันไม่สนใจ!” ลู่กั้วร้องตะโกนด้วยความโกรธ
“นายร้องทำซากอะไร ถึงจะมีสามพันล้านก็จริงเหอะ คนอย่างนายไขปริศนามังกรได้รึไง” จิ้งฉีเอือมระอา
“ทำไมจะไม่ได้ นัดไว้ห้าวัน นี่ยังเหลืออีกตั้งสองวัน ฉันต้องเปิดได้แน่” ลู่กั้วยังไม่ยอม
“น่าขัน อย่าว่าแต่ห้าวันเลย ต่อให้ห้าสิบปี นายก็ไม่มีปัญญาไขมันออกได้” จิ้งฉีพูด ขณะเดียวกันก็แย่งมังกรไม้จากมือลู่กั้ว
“หึ ปริศนามังกร หลอกลวงกันทั้งเพ!” ว่าแล้วก็ขว้างมันลงไปบนพื้น
ผัวะ....!
มังกรไม้แตกออกเสียงดัง
ผู้คนในบริเวณนั้นต่างพากันตกใจ หลังพบว่า แม้จริงแล้วใจกลางของมังกรแน่นตัน ไม่มีกล่องใดๆ ซ่อนอยู่ มิน่าเล่าพวกเขาถึงไม่สามารถไขปริศนาได้สักที
“เฮอะ! ฉันว่าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ตาแก่นั่นจะมีเงินสามพันล้าน” ไอโกะแค่นหัวเราะ
“คุณไอโกะ นอกจากหวังซิ่งกับซิงหลางแลว อีกคนที่ว่าก็คือคุณ!”
หลิงหลงกล่าวเสียงเย็นชา
“แล้ว...แล้วไง” ไอโกะเริ่มวิตก “ฉันจะกลับล่ะ ไม่อยากอยู่เห็นหน้าพวกเธอแล้ว!” พูดจบเธอก็จัดแจงขึ้นรถมัสแตงค์ ขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“แย่จริงผู้หญิงคนนี้!” เหอหุ้ยเคือง ก่อนจะหันไปถามซิงเยี่ย “แล้วคุณหนูคิดจะทำยังไงต่อล่ะคะ”
เพราะสามคนนั้นฉ้อฉลหลอกลวง ทรัพย์สมบัติที่อาจารย์ซิงสะสมมาครึ่งชีวิตจึงสูญสิ้นไปหมดแล้ว แม้แต่คฤหาสน์หลังนี้ก็ถูกขายทอดตลาด
“ฉันคงต้องหางานทำน่ะคะ โตขนาดนี้แล้ว ถึงพ่อยังอยู่ก็ไม่ควรพึ่งพาท่านอยู่ดี”
“คุณหนูซิงเยี่ย หากไม่รังเกียจ ไปทำงานที่บริษัทผมได้นะครับ แม้เป็นบริษัทจัดจำหน่ายเกมเล็กๆ แต่ก็อยากจะให้คุณหนูมาร่วมงานด้วย” คริสเสนอ
“ขอโทษค่ะ ฉัน...”
ซิงเยี่ยยังไม่ทันปฎิเสธ หลิงหลงก็พูดตัดหน้าขึ้นมาก่อน “ดีเลยครับ! คุณหนูซิงเยี่ยบอกบ่อยๆ ว่าอยากไปออสเตรเลีย คราวนี้ไม่ใช่แค่ไปเที่ยวนะแต่ยังได้ไปทำงานด้วย ใครจะไม่อยากทำล่ะ แฮ่ม ทำไมผมไม่โชคดีอย่างคุณหนูซิงบ้างน้า...”
“คุณหลิงหลง...” ซิงเยี่ยมองหลิงหลงอย่างประหลาดใจ เหมือนไม่เชื่อว่าคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากเขา
“คุณหนูซิงเยี่ย...” หลิงหลงรู้ว่าซิงเยี่ยคิดอะไรอยู่
“ผมมาที่นี่ก็เพราะเห็นข่าวการถึงแก่กรรมของคุณพ่อคุณและได้เห็นรูปถ่ายของคุณบนหน้าหนังสือพิมพ์ คุณคล้ายกับเพื่อนคนหนึ่งของผมมาก ผมถึงได้เจาะจงมาที่นี่เพื่อมาดูให้แน่ใจว่าใช่เธอหรือเปล่า แต่น่าเสียดาย...”
นัยน์ตาหลิงหลงฉายแววของความปวดร้าว “แม้คุณจะไม่ใช่เธอแต่ผมก็หวังว่าคุณจะพบกับความสุข”
“อา...รุ่นพี่ที่แท้ก็...” ลู่กั้วกำลังคิดจะพูดอะไร แต่ถูกจิ้งฉีปิดปากไว้เสียก่อน
“คุณหนูซิงเยี่ย คุณยังไม่รีบตอบผมก็ได้ ลองคิดดูสักพักหนึ่งก่อน ยังไงบริษัทเราก็พร้อมต้อนรับคุณเสมอ”
จิ้งฉีมองหลิงหลง
“ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ”
“อืม ยินดีที่ได้รู้จักพวกคุณ...แล้วค่อยพบกัยใหม่นะครับ...” หลิงหลงบอกลาทุกคน
ซิงเยี่ยมองดูท่าทีของหลิงหลงแล้วก็รู้สึกเหมือนกำลังร้องไห้
..............................
ในรถเก๋งคันเล็กของหลิงหลง ระหว่างทางกลับเมือง TMX
“โอ้... ที่แท้รุ่นพี่ก็เคยถูกหญิงทิ้งนี่เอง...”ลู่กั้วกุมหัวอยู่ที่เบาะหลัง แสดงท่าทางเสียใจอย่างสุดซึ้ง “อ๋อ...รู้แล้ว สงสัยเพราะไปกิ๊กกับหญิงอื่น แฟนมาเห็นเลยโกรธแล้วหนีไป มาตอนนี้รุ่นพี่เลยนึกเสียใจ เพิ่งจะพบว่าเธอคือรักแท้ จึงออกตามหาไปทั่วทุกหนทุกแห่ง...”
“ดูท่านายคงจำมาจากละครน้ำเน่าใช่มั้ย” จิ้งฉีจ้องใบหน้าที่ภาคภูมิใจของลู่กั้วอย่างระอา
“ถูกต้องนะครับ นายนี่เก่งเหมือนกันนะเนี่ย”
หลิงหลงฝืนยิ้ม แต่ก็ไม่อาจปกปิดความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในใจซึ่งเขาเองก็ไม่อยากเอ่ยถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงของมัน
“แต่ว่าฉันก็ยังไม่เข้าใจอยุ่ดี ลุงพ่อบ้านฆ่าหวังซิ่งกับซิงหลางยังไง” ลู่กั้วเก็บความสงสัยมานาน
“ฉันก็ให้ข้อสังเกตกับนายไปแล้วนี่ ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ งั้นจะพูดให้ฟังอีกครั้ง ข้อ1 นายไม่มีนาฬิกา ฉะนั้นจึงต้องอาศัยนายเป็นพยานในการมองเห็น ข้อ2 อาจารย์ซิงชอบศึกษาค้นคว้าเรื่องดินฟ้าอากาศและข้อ3 ศีรษะทั้งสองถูกตัดโดยเข็มสั้นและเข็มยาวที่ถูกเหลาจนแหลมเฟี้ยว! จบข่าว...”
นี่แหละจุดเด่นของหลิงหลง ไม่ว่าเวลาใด อารมณ์ไหน เขาก็ยังพูดเล่นได้เสมอ
“กรณีซิงหลางก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ จุดสำคัญที่สุดของคดีทั้งหมดก็คือการเคลื่อนย้ายศพ แค่ไม่ถูกคนอื่นเห็นเข้าก็นับว่าสำเร็จแล้ว” จิ้งฉีเสริม “สำหรับเลือดที่ไหลนองอยู่ในห้องของเขาก็ไม่ยากอะไร พอฆ่าเสร็จก็เอาเลือดไว้ในตู้เย็น พอย้ายศพมาไว้ที่ห้องนั้นแล้วก็นำเลือดที่แช่เย็นไว้มาสาด เพื่ออำพรางว่าห้องของซิงหลางเป็นสถานที่เกิดเหตุ จะได้ทำให้เราคาดการณ์เรื่องเวลาเสียชีวิตไม่ถูก”
“นี่พวกนายพูดให้มันเข้าใจง่ายๆ หน่อยได้มั้ย” ลู่กั้วคิดตามจนปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมดแล้ว
หลิงหลงซึ่งกำลังขับรถหันมาหัวเราะ “เรื่องบางอย่างพูดง่ายๆ ก็ไม่สนุกน่ะสิ”
“เฮ้อ...ก็คดีมันคลี่คลายไปแล้ว ฉันก็เลยขี้เกียจคิด” ลู่กั้วยิ้มเย้ย
“เจ้างั่ง” จิ้งฉีก่นด่าเสียงต่ำ
แต่ทว่า ขณะที่เขาหันกลับมาและมองลงไปยังหน้าผาชันริมถนนก็เห็นรถมัสแตงค์คันหนึ่งกำลังลุกไหม้อยู่เบื้องล่าง ถ้าจำไม่ผิดนั่นมันรถของไอโกะนี่นา!
นั่นมัน
จิ้งฉีเกาะกระจก
ดูลักษณะแล้วน่าจะเป็นการพลิกตกลงไป เมื่อครู่รุ่นพี่เพิ่งบอกว่าเธอหนีไม่พ้นต้องชดใช้ในสิ่งที่ก่อ หรือว่า...รุ่นพี่มองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้?
“เป็นไรไป” หลิงหลงสังเกตเห็นจิ้งฉีมีท่าทางแปลกๆ
“ปะ...เปล่า...” เด็กหนุ่มตอบ
ช่างเถอะคงเป็นอย่างที่รุ่นพี่พูด กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมสนอง นี่คงเป็นสิ่งที่เธอต้องชดใช้!
“ย้อนกลับมาเรื่องเดิมดีกว่า รุ่นพี่ปฎิเสธคุณซิงเยี่ยไปแบบนั้นมันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอ” ลู่กั้วไม่เพียงพูดไม่คิด ยังอดไม่ได้ที่จะถาม “ก็ตอนแรกรุ่นพี่เป็นคนจีบเธอก่อนไม่ใช่เหรอ”
แรกเริ่มเขาก็คิดว่าหลิงหลงชองซิงเยี่ย ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้
“ฮ่าๆๆ” หลิงหลงหัวเราะ “ผู้หญิงแค่ผ่านมาแล้วผ่านไป ความพอเพียงสิทำให้เราสงบสุขอย่างแท้จริง นี่ล่ะแนวทางการใช้ชีวิตของฉัน”
“ความพอเพียงทำให้เราสงบสุข? ดีล่ะ! ผมไม่ชอบสงบสุข ส่งเงินทั้งหมดมาให้ผมเดี๋ยวนี้!” ลู่กั้วไม่พูดเปล่าเริ่มทึ้งเสื้อหลิงหลงไปมา
“หวา” พอถูกลู่กั้วยื้อ มือของหลิงหลงก็เขยื้อน ไม่นิ่งพอ พวงมาลัยหมุนออกนอกทิศทาง
“ไอ้หมาบ้า แกทำอะไร! คนกำลังขับรถอยู่นะเฟ้ย!”
“ให้ตายเหอะลู่กั้ว ถ้านายอยากตายนักก็กระโดดลงไปเองสิ ไม่ต้องมาลากพวกเราไปด้วย” จิ้งฉีบ่นการกระทำที่ไร้ความคิดของลู่กั้ว
“ฉันยังไม่ได้ใช้ชีวิตให้คุ้มค่าเลย ไม่ได้การ ครั้งนี้ถูกต้มซะเปื่อย ต้องหาโอกาสเอาคืนซะแล้ว”
พอคิดถึงเงินสามพันล้านที่ถูกหลอก อารมณ์ขุ่นเคืองก็ตามมาไม่หยุด
“นายนี่ปัญญาอ่อนรึเปล่า คนเราตายไปก็ไม่ได้ใช้เงิน แล้วจะมีประโยชน์อะไรอีก ไอ้คนขี้งกเอ๊ย เห็นแก่เงินมากกว่าชีวิตหรือไงเนี่ย!”
จิ้งฉีด่าว่า
“ฉันไม่สน แกยืมตังค์ฉันไปคราวก่อน ตอนนี้บวกดอกเบี้ยเข้าไปแล้ว ก็แค่แสนแปดเอง”
อะไรที่เกี่ยวกับเงิน ลู่กั้วล้วนจำแม่น
“แสนแปด แกบ้าหรือเปล่า นั่นมันปล้นกันแล้ว!” จิ้งฉีรู้สึกหน้าชาเสียจนอยากถีบลู่กั้วลงข้างทางซะเดี๋ยวนั้น
“ไม่สนเฟ้ย! เอามาให้ฉันสักหน่อยเป็นการปลอบขวัญก็ยังดี”
ลู่กั้วร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง
ลูซิเฟอร์ยืนอยู่บนหน้าผา มองดูรถคันเล็กที่แล่นเลี้ยวไปมาเหมือนไส้เดือนบนผืนทราย แค่นเสียงเย็นชาอยู่ในลำคอ
“หึ...ถ้าไม่เพราะพลังของข้ายังไม่กลับคืน...” เขามองดูบาดแผลที่กลางฝ่ามือ “คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้ยังหลงเหลือคนที่พลังสูงส่งขนาดนี้อยู่อีก”
“ยังไงก็ตามแต่ ตอนนี้ข้ามาแล้ว เจ้าหนีชะตากรรมไม่พ้นหรอก ไม่ต้องรีบร้อน รอให้หา ‘กุญแจ’ พบก่อนเถอะ เมื่อนั้นแหละ...ฮ่าๆ” เขาแสยะยิ้มก่อนจะหายตัวไปในอากาศ
ทั่วทั้งห้องแดงฉานไปด้วยเลือด
ร่างของเจ้าของห้องนอนนิ่งอยู่บนพื้น
ศีรษะกับตัวถูกฟันขาดกระเด็น
ออกจากกัน
ชื่อ สุรีน่า จอนสั้น ม.3/2 เลขที่ 17
ตอบลบความสวยงาน 1 คะแนน
การใช้ภาษา 2 คะแนน
เนื้อหา 2 คะแนน
องค์ประกอบ 2 คะแนน
เทคนิค 1 คะแนน
รวม 8 คะแนนนะจ้า