วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คู่ปริศนา บทที่11 ปริศนาผนึกมังกร

บทที่ 11
ปริศนาผนึกมังกร


ฉันเป็นเพียงของเล่นชิ้นเล็กๆ แต่กลับสร้างความสนุกสนานได้อย่างไม่คาดฝัน


“มันอะไรกันเนี่ย” ลู่กั้วมองดูทั้งทางซ้ายและขวาเห็นต้นไม้ต้นเล็กๆ ตั้งเรียงรายห่างกันประมาณครึ่งเมตร พอพวกเขาก้าวเท้าเดินไปหนึ่งก้าว ต้นไม้พวกนั้นก็จะขยับขึ้นครั้งหนึ่ง พวกเขาติดอยู่ในค่ายกลต้นไม้พวกนี้ วนไปวนมาอยู่หลายรอบแล้ว
“ค่ายกลแปดทิศ”
จิ้งฉีพูดขึ้นสีหน้าเครียด ค่ายกลชนิดนี้เขาเคยได้ยินมาจากอาจารย์ถีเอ่อแต่เพิ่งจะเคยเจอจริงๆ เป็นครั้งแรกนี่แหละ
“อา ที่แท้ก็เป็นค่ายกลหินนี่เอง” ลู่กั้วคิดขึ้นได้ทันที สมัยก่อนอาจารย์ถังเฉาก็เคยสร้างค่ายกลแบบนี้ให้เขาฝึกซ้อมอยู่บ่อยๆ แต่ทว่าเขาไม่เคยจำชื่อมันได้เลย หินเอย ต้นไม้เอย ล้วนแต่เป็นส่วนประกอบของค่ายกลได้ทั้งนั้น ที่สำคัญคือถ้าหากไม่รู้วิธีที่จะออกไปก็จะถูกขังอยู่ในนั้นจนตาย ในอดีต ค่ายกลชนิดนี้มีไว้เพื่อป้องกันศัตรูที่จะบุกรุกเข้ามาทำร้าย แต่ว่าทำไมสถานที่หลิงหลงนัดให้ไปถึงมีค่ายกลอยู่ด้วยละ
“วะ ฮ่าๆๆ เรื่องจิ๊บจ๊อย” เมื่อครั้งเรียนกับอาจารย์ถังเฉาเขาได้ฝึกฝนหาทางออกจากค่ายกลแบบนี้จนชำนาญแล้ว ว่าแล้วลู่กั้วก็พาจิ้งฉีออกมาได้อย่างรวดเร็ว ตรงสุดทางเบื้องหน้าของพวกเขา มีคฤหาสน์ทรงจีนหลังใหญ่ปรากฎอยู่ ลู่กั้วเดินเข้าไปเคาะประตูอย่างแรง
“เปิดหน่อย”
แต่เงียบสงัด
ไร้สรรพเสียงตอบกลับมา
“แปลก ทำไมประตูนี้ไม่มีรูกุญแจ ไม่มีมือจับ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีกริ่ง แล้วอย่างนี้คนข้างในจะรู้ได้ยังไงว่ามีคนมา” จิ้งฉีพูดเบาๆ
“เอ๊ะ นี่อะไร?” ลู่กั้วสังเกตเห็นทางขวามือมีกล่องสีเหลี่ยมที่มีรอยบุ๋มลึกเข้าไป ภายในกล่องมีเครื่องตอบรับอยู่ ข้างบนมีจุดอยู่ 9 จุด ข้อความเขียนกำกับไว้ว่า

กรุณาขีดเส้นตรง 4 เส้น ให้ทั้ง 9 จุดเชื่อมต่อกัน ระวัง! เส้นทั้ง 4 ต้องทำให้สำเร็จในครั้งเดียว


“หมายความว่าไง?”
“ง่ายมาก ก็ขีดเส้น 4 เส้น เชื่อมต่อทั้ง 9 จุด และในขณะที่ขีดเส้นทั้ง 4 จะยกปากกาขึ้นไม่ได้ไงล่ะ” จิ้งฉีอธิบาย
“เรื่องแค่นี้ เดี๋ยวลูกพี่จัดการเอง” ลู่กั้วยกมือขึ้นลากเส้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นมาอันหนึ่ง ถึงเส้นตรงทั้ง 4 จะเขียนเสร็จภายในครั้งเดียว แต่เขากลับไม่ได้ลากผ่านจุดตรงกลางเลยแม้แต่ครั้งเดียว เครื่องตอบรับจึงไม่ตอบสนอง”
“เฮ้อ โง่ตามเคย”
จิ้งฉีกำลังคิดหาวิธีอยู่ แล้วก็รู้ด้วยว่ามันไม่ง่ายอย่างที่ลู่กั้วคิด
“แกมาลองดูสิ” ลู่กั้วพยายามอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ได้ซักที ส่วนจิ้งฉีคิดซักพักก็ลงมือลากเส้นผ่านทั้ง 9 จุด ทันทีที่เขียนเสร็จเครื่องตอบรับก็ส่งเสียงดังขึ้น ประตูเปิดออกแล้ว
“ดวงดีล่ะว้า” ลู่กั้วไม่อยากจะยอมแพ้
“นี่เป็นการยืนยันว่าฉันคืออัจฉริยะ ส่วนนายมันก็แค่ไอ้ติ๊งต๊องคนหนึ่ง” จิ้งฉีเบื่อที่ลู่กั้วไม่ยอมรับในความสามารถของตน
“แก” ลู่กั้วโมโหกำลังจะต่อปากต่อคำ แต่กลับเห็นผู้สูงอายุคนหนึ่งเดินมาเบื้องหน้าเสียก่อน ชายชราแต่งตัวเหมือนพ่อบ้าน สายตาจ้องตรงมาที่พวกเข่
‘ป่านนี้เพิ่งจะโผล่หน้าออกมา พวกเราเข้ามาเองได้แล้วล่ะ’ ลู่กั้วคิดว่าผู้เฒ่าคนนี้จะออกมาเปิดประตูรับ
“ขอแสดงความยินดีที่คุณทั้งสองผ่านด่านเข้ามาได้ ฉันเป็นตัวแทนของคุณซิง ออกมาต้อนรับคุณทั้งสองคน”
“คุณซิง?” ติ้งฉีสะดุ้ง “หรือว่าจะเป็นคุณซิงเทียนกวางที่เพิ่งจะเสียไป” ตอนนั้นหลิงหลงเพียงแต่ให้ที่อยู่มา พร้อมกับบอกว่าที่นี่มีเรื่องสนุกรออยู่ ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องอะไร
“ใครกัน?” ลู่กั้วจำได้แต่ใบหน้าคนที่อยู่ในธนบัตรเท่านั้น ไม่รู้จักว่าคนๆ นี้คือใคร
“ท่านเป็นอัจฉริยะนักค้นคว้าเกมประลองปัญญา ถือว่าเป็นผู้นำด้านคิดค้นเกมเลยทีเดียว” ดังนั้นจึงไม่แปลกที่รอบบ้านเขาจะมีของประหลาดอยู่มากมาย
“ใช่แล้ว เกมประลองปัญญาที่มีชื่อเสียงที่สุดของท่านก็คือ ลูกแก้วมังกรทั้ง 9 ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้” เมื่อพูดถึงคุณซิงพ่อบ้านจะดูปลาบปลื้มชื่นชมเป็นอย่างมาก
“ได้ยินว่ามีหลายด่าน ทั่วโลกมีเพียง 5 คนเท่านั้นที่เล่นผ่านด่านสุดท้ายได้” จิ้งฉีก็เพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น
“ไม่ลึกลับขนาดนั้นหรอกมั้ง เจ้าตัวก็ตายไปแล้ว ยังจะให้ทุกคนมารวมตัวกันอีกทำไม” เรื่องทดสอบไอคิวแบบนี้ลู่กั้วไม่ชอบเอาเสียเลย
“สิ่งที่คุณท่านเสียดายที่สุดก็คือไม่มีผู้รับช่วงต่อ ดังนั้นทุกคนที่มารวมกันที่นี่ก็เพื่อร่วมการทดสอบเพื่อหาผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของท่าน” พ่อบ้านอธิบาย
“ชิ เล่นอะไรไร้สาระแบบนี้ ผมไม่อยากจะสนุกด้วยหรอก” ลู่กั้วตอบอย่างเบื่อหน่าย
“ผู้ชนะ นอกจากจะได้ตึกใหญ่หลังนี้แล้ว ยังจะได้สมบัติอีก 3 พันล้าน” พ่อบ้านพูดต่อ
“หา! 3 พันล้าน
เสียงตะโกนของลู่กั้วดังสะท้อนไปทั่ว แววตาเปลี่ยนเป็นเครื่องหมาย $ ขึ้นมาทันที “ตกลงๆ ผมจะเข้าแข่งด้วย” ดึงคอเสื้อของพ่อบ้านเข้ามาบอกเสียงดัง
“เชิญทั้งสองท่านรออยู่ที่ห้องรับแขกก่อน เตรียมรับโจทย์ปัญหา” พ่อบ้านผายมือทำท่าเชิญ
“ถามหน่อยครับ ในนี้มีคนชื่อหลิงหลงรึเปล่า?” จิ้งฉีถาม
“เออ...ที่พวกคุณถามหาใช่ลูกชายของสารวัตรหลิงรึเปล่าครับ รู้สึกว่าเขาจะมาติดพันคุณหนูของที่นี่อยู่นะ” พอเอ่ยชื่อ พ่อบ้านก็สาธยายความเสียยืดยาว
“สารวัตรหลิง!” ลู่กั้วและจิ้งฉีหันมาจ้องตากัน
“คุณพ่อของเขาเป็นสารวัตร พวกคุณไม่รู้หรือ?” พ่อบ้านแปลกใจ


มิน่าไอ้หมอนั่นถึงได้เข้าร่วมหน่วยสืบสวน TMX ที่แท้มีพ่อเป็นถึงระดับสารวัตรตำรวจนี่เอง
สารพัดคำถามที่วิ่งวนอยู่ในใจของลู่กั้วและจิ้งฉีกระจ่างในทันที
บ้านตระกูลซิงนี่แปลก กลางสวนดอกไม้มีหอนาฬิกาตั้งอยู่ด้วย เสมือนเป็นตัวแบ่งระหว่างสองตึกที่รูปแบบเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ลู่กั้วแหงนหน้าขึ้นมองหอนาฬิกา ที่มีเถาไม้เลื้อยพันอยู่เต็มไปหมด “มันจะเดินตรงมั้ยเนี่ย” ปกติเขาไม่ชอบใส่นาฬิกาอยู่แล้ว ได้แต่อาศัยดูของคนอื่นเป็นประจำ
“เที่ยงตรง” พ่อบ้านตอบ



.............................



เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ลู่กั้วและจิ้งฉีก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง ที่นี่ตกแต่งสไตล์ยุโรป มีเตาผิงขนาดใหญ่อยู่ติดกำแพง เปลวไฟที่อบอุ่นกำลังพวยพุ่งอยู่ภายใน เหนือขึ้นไปมีหัวกวางแขวนอยู่ หน้าเตาปูด้วยหนังหมีขาวจากขั้วโลกเหนือ
“เฮอะ ไม่นึกว่าวันสุดท้ายยังจะมีคนมาเพิ่มอีก” บนโต๊ะน้ำชา มีคนนั่งอยู่ 4 คน พวกเขากำลังเล่นไพ่กันอยู่
“คิดว่าจะมีแค่พวกเรา 6 คนซะอีก” ผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาคล้ายแม่มด จ้องมองมาที่ลู่กั้วและจิ้งฉีอย่างพินิจพิเคราะห์
“ดูท่ายังเด็กอยู่เลยนี่” อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงอายุประมาณ 30 ปีเห็นจะได้
“ก่อนอื่นผมขอแนะนำหน่อย” พ่อบ้านพูดกับเด็กหนุ่มทั้งสอง “คุณคนนี้ชื่อครูโซ่ คริส มาจากฝรั่งเศส เป็นคนที่นับถือท่านซิงมากและทำลายสถิติเกมหลงฟ่งได้เร็วที่สุด” เขาผายมือไปยังผู้ชายที่พูดขึ้นเป็นคนแรก
“ท่านผู้นี้คือคุณทานากะ ไอโกะ เพื่อนของท่านซิง เป็นคนญี่ปุ่น ผลงานของท่านซิงเข้าบุกเบิกในตลาดญี่ปุ่นได้ก็เพราะท่านนี้แหละ” คราวนี้ผายมือไปทางหญิงสาวที่หน้าเหมือนแม่มด จากนั้นเลื่อนไปที่ชายวัยกลางคนรูปร่างท้วม แล้วแนะนำ
“เขาคือคุณหวังซิ่ง เป็นหุ้นส่วนของท่านซิง เพราะเขานี่แหละ เกมหลายเกมจึงติดตลาดได้อย่างรวดเร็ว”
“ฉันชื่อเหอหุ้ย เป็นผู้ช่วยของท่างซิง” หญิงวัยกลางคนที่ดูสุภาพเรียบร้อยลุกขึ้นจับมือกับทั้งสอง
“สวัสดีครับ”
ในกลุ่มนั้นไม่มีคนรู้จักอยู่เลย จิ้งฉีรู้สึกอึดอัดอย่างไรไม่รู้
“และมีอีกสองท่านอยู่ในนี้ด้วย คนหนึ่งพวกคุณรู้จักดีแล้วคือ คุณหลิงหลง ส่วนอีกคนเป็นน้องชายของท่านชื่อซิงหลาง”


ว้า ผู้เข้าแข่งขันเยอะขนาดนี้ เงิน 3 พันล้านคงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว
ลู่กั้วอ้าปากค้าง
“จริงสิ ท่านซิงก็มีลูกสาวนี่ ทำไมไม่ยกสมบัติให้ลูกล่ะครับ” จิ้งฉีประหลาดใจ “ทำไมต้องหาคนมาเล่นเกมชิงสมบัติกันด้วย?”
“ความหวังของคุณซิงคืออยากให้กิจการของท่านมีผู้สืบทอด ส่วนคุณหนูท่านได้จัดเตรียมไว้ให้แล้ว ถึงคฤหาสน์หลังนี้จะไม่ได้ยกให้คุณหนู แต่ท่านก็ซื้อบ้านที่เมือง TMX เตรียมไว้ให้ พร้อมกับเงินก้อนใหญ่ที่สามารถใช้ได้อย่างสุขสบายไปตลอดชีวิต”
“ครึกครื้นกันจัง” เสียงใสอ่อนเยาว์ดังมาจากด้านหลัง เขาคือคุณชายซิงหัว พ่อบ้านรีบก้มหัวทำความเคารพ
“แก” ลู่กั้วร้องเสียงหลงชี้ไปที่เด็กคนนั้น
“หือ เราเคยพบกันมาก่อนเหรอ?” คุณชายซิงหัวอายุประมาณ 7-8 ขวบ บนใบหน้าแฝงไว้ด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นเหมือนปีศาจ รูปร่างหน้าตาเหมือนกับลูซิเฟอร์ยังไงยังงั้น


หรือจะเป็นลูซิเฟอร์จริงๆ? เป็นไปไม่ได้น่า พบกันคราวก่อนเจ้าหมอนั่นยังอายุประมาณ 5 ขวบอยู่เลย ถึงจะเป็นปีศาจก็ไม่น่าจะโตเร็วขนาดนี้
จิ้งฉีคิดในใจ
“เขาเป็นลูกของซิงหลางน่ะ เคยพบกันมาก่อนหรือคะ” ไอโกะถามด้วยความประหลาดใจ
“หน้าตาคล้ายเหมือนคนรู้จักน่ะ” จิ้งฉีตอบเบาๆ
“หึหึ” ซิงหัวมองลู่กั้วและจิ้งฉี แล้วหัวเราะอย่างมีเลศนัย
“หิวจัง มีอะไรกินบ้าง?” ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหน้า ทันทีที่สิ้นเสียง หลิงหลงก็เดินเข้ามา “อ้าว มากันแล้วเหรอ?” ผ่านไปหลายวันเขาคิดว่าทั้งสองจะมาไม่ได้เสียอีก
“เพิ่งมาถึงน่ะ ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีเงินรออยู่” ลู่กั้วเอาแต่คิดถึงเงิน 3 พันล้าน น้ำลายแทบจะไหลย้อยออกมา
“เงินนั่นไม่ได้ระบุเจ้าของสักหน่อย” หวังซิ่งไม่พอใจ
“เรื่องนั้นเป็นไงมั่ง” หลิงหลงไม่สนใจหวังซิ่ง หันไปถามลู่กั้วกับจิ้งฉี
“เรียบร้อย มีลูกพี่ลู่กั้วอยู่ทั้งคน ทุกอย่างต้องเรียนร้อยอยู่แล้ว ถึงแม้จะมีบางคนแทบเอาชีวิตไม่รอดก็เหอะ” ลู่กั้วตบหน้าอกตัวเองอย่างผยอง
“ฮ่าๆ ปิดเรื่องได้เร็วอย่างนี้ถือว่าเยี่ยมยอดไปเลยนะเนี่ย รายละเอียดเดี๋ยวไว้ค่อยคุยทีหลังนะ” หลิงหลงยิ้ม ในเวลาเดียวกันก็ส่งซิกไม่ให้ทั้งสองเปิดเผยตัวเอง
“นี่พวกคุณรู้จักกันเหรอ?” เหอหุ้ยประหลาดใจ
“ใช่ พวกเรามาหาหลิงหลง ไม่คิดเลยว่าที่นี่จะมีเรื่องสนุกอย่างนี้”
“ถ้างั้นพวกคุณก็ไม่ได้มาเพราะเรื่องท่านซิงน่ะสิ” คริสแปลกใจ
“ก่อนมานี่ ผมไม่รู้จักเขาเลย” ลู่กั้วตอบตรงไปตรงมา
“ฮ่าๆ ไอ้น้องชาย นายชวด 3 พันล้านแล้วล่ะ” ไอโกะหัวเราะเสียงดัง
“หมายความว่าไง” ลู่กั้วตกใจ
“คนที่ไม่เคยรู้จักท่านซิง ไม่น่าจะหาวิธีแก้ไขปริศนาผนึกมังกรได้” พ่อบ้านตอบ
จิ้งฉีงง “ปริศนาผนึกมังกรอะไรกัน?”
“มันคือโจทย์ปัญหาที่ท่านซิงทิ้งเอาไว้ ผู้ที่ไขปริศนานี้ได้ถือเป็นผู้ชนะ มีสิทธิ์ได้รับสมบัติทั้งหมด”
โอ้ ลู่กั้วรู้สึกเหมือนเพียงชั่วพริบตาตัวเองก็ตกลงไปอยู่ในขุมนรกเสียแล้ว จุกในอกเหมือนมีขนมปังติดอยู่ยังไงยังงั้น
“ต๊าง ต๊าง ต๊าง...”
เสียงนาฬิกาดังขึ้น 6 ครั้งติดต่อกัน พ่อบ้านเริ่มประกาศ
“ผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมตอบปัญหาผนึกมังกรมีเพียงไม่กี่ท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้ แน่นอนมีคุณซิงหัวรวมอยู่ด้วย แต่คุณซิงหัวจะไม่แข่งขัน เพียงแต่ต้องการความสนุกเท่านั้น มีผู้เข้าร่วมแข่งขันเพิ่มอีกสองคน ทุกท่านคงจะได้พบแล้ว”
ขณะนั้นเองมีหญิงหน้าตาสะสวย ท่าทางสง่างาม เดินเข้ามาอายุอานามน่าจะไล่เลี่ยกับเด็กหนุ่มทั้งสอง เธอผู้นี้คือคุณหนูซิง
“คุณหนูซิงมีอะไรจะให้ผมช่วยหรือครับ” หลิงหลงเก็กหล่อ เดินตรงเข้าไปจับมือคุณหนูซิงไว้
“ฉันแค่จะมาแจ้งให้ทุกคนทราบว่า ได้เวลาทานอาหารแล้ว” คุณหนูซิงสีหน้าขัดเขินแต่ไม่ได้ปฎิเสธหลิงหลง
“เชิญทุกท่านตามมาทางนี้ ผมจะประกาศกฎกติกาของการแข่งขันให้ทราบภายหลัง” พ่อบ้านทำท่าเชิญไปยังโต๊ะอาหาร
เมื่อถึงเวลาอาหาร ซิงหลางก็ปรากฎตัวขึ้น ท่าทางของเขารุ่มร่ามไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าการแต่งตัวไม่เรียบร้อย เชิ้ตที่ใส่ก็ติดกระดุมผิด สูงๆ ต่ำๆ กางเกงก็หลวมโครก เมื่อเทียบกับการแต่งตัวของลูกชายแล้วดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ใครเห็นก็ไม่เชื่อว่าเป็นพ่อลูกกัน
“มาเร็ว มากินข้าวกันได้แล้ว” ซิงหลางเรียกทุกคน จากนั้นก็ยื่นมือจะไปคว้าอาหารบนโต๊ะ
“ไร้มารยาท คุณทำแบบนี้พวกเราจะกินลงได้ยังไง?” ไอโกะโมโหขึ้นทันที
“คุณอา” คุณหนูซิงเยี่ยถึงจะเป็นหลาน แต่ก็ไม่คิดจะต่อว่าคุณอาไปมากกว่านี้ ถึงมันจะเป็นกิริยาที่แย่จริงๆ ก็เถอะ
“เชอะ ทำเป็นหยิ่งยโส สิ่งประดิษฐ์ของพี่มันก็แค่ขยะกองหนึ่งเท่านั้นแหละ” ซิงหลางสบประมาท
“นี่เขากล้าดูถูกพี่ชายตัวเองขนาดนี้เชียวเหรอ?” ลู่กั้วถามหลิงหลง
“เขาเป็นน้องชายของซิงเทียนกวางน่ะ ไม่ได้ทำงานทำการอะไรหรอก ได้ยินว่าช่วงแรกๆ เขาเสนอให้ท่านซิงเอาเกมเข้ามาขายในตลาดก็เลยได้เป็นผู้จัดการน่ะ” หลิงหลงตอบ
“ทุกท่านเชิญนั่ง” พ่อบ้านเชื้อเชิญ การทานข้าวร่วมกับคนไม่คุ้นเคยช่างเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดอะไรเช่นนี้
ขณะที่การทานอาหารใกล้จะสิ้นสุดลง พ่อบ้านได้เอามังกรไม้ออกมา 8 ตัว แต่ละตัวยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ขนาดใหญ่เท่าท่อนแขน
“นี่คือสิ่งที่จะใช้แข่งขัน มังกรเหล่านี้ดูแล้วก็ธรรมดาแต่ที่จริงมันคือกล่องใบหนึ่ง ทุกท่านเพียงแต่หาวิธีเปิดมันออกให้ได้ มรดกของคุณท่านจะเป็นของคนที่เปิดออกได้เพียงคนเดียวเท่านั้น”
“ง่ายยังงั้นเลยเหรอ?” ลู่กั้วเอ่ยขึ้น ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเข้าใจหรือไม่เข้าใจคุณซิงเลยซักนิด
“จะพูดว่าง่ายก็คงไม่ง่าย หากไม่เคยเล่นเกมในกลุ่มมังกรล่ะก็ คงจะหาทางเปิดออกได้ยาก” พ่อบ้านกล่าว “แต่ว่าทางเราจะไม่สนใจเรื่องวิธีการเปิดของพวกท่าน ขอแค่เพียงเปิดออกมาได้เท่านั้นก็พอแล้ว”
“แค่เปิดออกก็ใช้ได้งั้นรึ” ซิงหลางแย่งมังกรจากพ่อบ้านไปตัวหนึ่ง
“ใช่ แต่ห้ามทำลายมันเด็ดขาด เพราะถ้าหากมังกรถูกทำลายหรือชำรุด จะถูกตัดสิทธิ์ในการแข่งขันทันที เมื่อทุกคนได้รับมังกรแล้วขอให้สลักชื่อของแต่ละคนติดไว้ด้วย หรือจะทำเครื่องหมายสัญลักษณ์แทนก็ได้” พ่อบ้านส่งมีดให้กับทุกคน ซิงหลางรับไปอย่างรวดเร็ว ซิงหัวยิ้มแหยๆ ให้พ่อของตน
“บอกใบ้หน่อยได้มั้ย”
คริสถือมังกรไว้ในมือ เขาลองสำรวจดูแล้ว แม้แต่เกล็ดก็ยังมีขนาดเท่ากัน หาจุดเปิดไม่ได้เลยจริงๆ
“ไม่ได้ครับ” พ่อบ้านตอบ “เราให้เวลาในการแข่งขัน 5 วัน หลังจากนั้นหากไม่มีใครไขปริศนาในตัวมังกรได้ มรดกและคฤหาสน์จะถูกยกให้แก่มูลนิธิทันที” เมื่อเห็นว่านอกจากหลิงหลงกับจิ้งฉีแล้ว คนอื่นๆ กำลังสนใจพิจารณามังกรของตนอย่างละเอียด เขาจึงหยุดพูดไปพักหนึ่ง
“ทั้งสองท่าน ผมได้จัดที่พักไว้ใกล้กับห้องคุณหลิงหลงแล้ว อีกสักครู่ผมจะพาไป” พ่อบ้านพูดกับลู่กั้วและจิ้งฉี
“รบกวนด้วยครับ” จิ้งฉีรับทราบ
“เอาล่ะ สุดท้ายเรามาตั้งนาฬิกาให้ตรงกันก่อน” พ่อบ้านพูด
“ผมเข้าใจว่า ทุกๆท่านคงอยากจะออกไปศึกษาหาวิธีไขปริศนากันเต็มแก่แล้ว นับจากนี้ไปอีก 5 วัน เวลา 1 ทุ่มตรงการแข่งขันจะยุติลง” ทุกคนหันมองออกไปที่หอนาฬิกาแล้วตั้งเวลาให้ตรงกัน มีเพียงลู่กั้วคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้จะทำไงดี
“ผมไม่มีนาฬิกา ทำยังไงดีล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วงครับ ที่หอนาฬิกามีหน้าปัดอยู่ทั้ง 4 ด้าน ไม่ว่างจะอยู่ที่ไหนคุณก็สามารถดูเวลาได้” พ่อบ้านตอบ
หลังอาหารค่ำ พ่อบ้านพาจิ้งฉีและลู่กั้วไปที่ห้องพักที่จัดให้อยู่ติดกับหลิงหลง คฤหาสน์ของตระกูลซิงเป็นอาคารสองกลุ่มที่เหมือนกัน แบ่งฝั่งด้วยหอนาฬิกาที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ห้องพักของพวกเขาอยู่ทางด้านซ้ายของหอนาฬิกา เรียงลำดับตามห้องคือ หลิงหลง, จิ้งฉี, ลู่กั้ว, ซิงหลางและซิงหัว ส่วนอีกด้านมี ครูโซ่, คริส, เหอหุ้ย, หวังซิ่งและทานากะ ไอโกะ ส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับห้องซิงหัวเป็นห้องว่าง
สำหรับคนในตระกูลซิงจะพักอยู่อีกด้านของหอนาฬิกา ซึ่งมีอยู่ 4 ห้อง หลังจากที่ซิงเทียนกวางเสียชีวิตไปแล้ว ก็มีแต่ซิงเยี่ย พ่อบ้านและป้าอ้วนแม่บ้านอยู่กันคนละห้อง
หลังจากพ่อบ้านจากไปแล้วลู่กั้วก็รีบเล่าเรื่องการฆ่าตัวตายในวิทยาลัยให้หลิงหลงฟัง แน่นอนคำพูดที่หลุดจากปากของเขาหนีไม่พ้นการเป็นอัศวินของตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจิตแพทย์”
หลิงหลงไม่มีเวลาพอที่จะสืบสาวราวเรื่องเกี่ยวกับคดีนี้ ดังนั้นเบื้องหลังเบื้องลึกต่างๆ เขาจึงไม่รู้แม้แต่น้อย
“เวลานิดเดียวก็หาตัวฆาตกรได้ พวกนายเก่งไม่เบาเหมือนกันนะ” หลิงหลงเอ่ยปากชมจากใจจริง
“แน่นอนอยู่แล้ว มีลูกพี่ลู่กั้วอยู่ทั้งคน จะมีคดีไหนที่ปิดไม่ได้” ลู่กั้วกระหยิ่มยิ้มย่อง
“แต่ว่าคดีนี้พวกเราไม่ได้เป็นคนคลี่คลาย...” จิ้งฉีพูดเสียงอ่อยๆ
“ที่จริงคนเราก็ต้องอาศัยโชคช่วยกันบ้างแหละน่า” หลิงหลงเข้าใจความคิดของจิ้งฉี “พวกนายใช้เวทมนตร์ทำให้หมอนั่นยอมปริปากออกมาได้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว”
มาถึงตรงนี้แล้ว ลู่กั้วจึงเอ่ยปากขึ้น “ไป๋จิ้งฉี แกก็ฉลาดไม่เบานะ ที่คิดปิดประตู ให้เขาคิดว่าเป็นการกระทำของพี่ชาย”
“ไม่ใช่ฉัน นั่นมันฝีมือพี่ชายเขาจริงๆ” จิ้งฉีส่ายหัว
“ชิ ว่าแล้ว ถึงแกอยากจะทำแต่คงไม่มีพลังพอหรอก” ลู่กั้วรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
“จริงสิ หลิงหลงคุณมาที่นี่เพื่อเงิน 3 พันล้านนั่นจริงเหรอหรือว่าเพราะคุณหนูซิงเยี่ยกันแน่”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ฉันมาเพื่อจะยืนยันเรื่องๆ หนึ่งเท่านั้น” สีหน้าของหนุ่มเจ้าเสน่ห์เครียดขึ้นทันตา
“เรื่องอะไร?”
“เรื่องมันนานมาแล้ว” หลิงหลงแกล้งลากเสียงยาว “ความลับน่ะ”
“ช่างเถอะ” ลู่กั้วกุมขมับ
“แค่ฉันเปิดกล่องนี่ออกก็จะได้เงิน 3 พันล้านแล้ว” ในหัวนึกวาดภาพความเป็นอยู่ที่สุขสบายหลังได้เงินก้อนโต ด้านจิ้งฉีก็มองมังกรไม้ในมืออย่างใช้ความคิด


ทั้งสองคุยเล่นอยู่ในห้องของหลิงหลงจนดึกมากแล้วจึงแยกย้ายกันกลับห้องของตน ลู่กั้วเมื่อกลับมาถึงห้องแล้วก็ยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หาย เหมือนได้นั่งอยู่บนกองเงินแล้วอย่างนั้น


เขาหลับตาเห็นภาพสาวๆ ที่ห้อมล้อมอยู่ไม่ห่าง อาหารเลิศรสวางกองอยู่ตรงหน้า จิ้งฉีถือกล่องมังกรคุกเข่าอยู่แทบเท้า ฮ่าฮ่า...
ลู่กั้วควบคุมตัวเองไม่ได้เสียแล้ว
แต่เวลานี้จะมัวมาหัวเราะอยู่ไม่ได้ นั่งฝันตอนนี้ดูจะเร็วไปหน่อย ลู่กั้วเอามังกรไม้ออกมาพิจารณา แปลก แม้แต่บนเกล็ดมังกรก็ยังไม่เห็นจะมีจุดแตกต่างกันเลย ดูเหมือนกันไม่หมดทั้งตัว

ครืน..เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นหวั่นไหว เป็นสัญญาณเตือนว่าฝนกำลังจะตกแล้ว ลู่กั้วตื่นจากความคิดเรียกสติกลับคืนมาจากการหาวิธีเปิดกล่องมังกร เงยหน้ามองหอนาฬิกา “โอ๊ะ! ตีสามครึ่งแล้วหรือเนี่ย เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ” ขณะนั้นเองเขาก็เห็นเงาคนแวบผ่านอยู่บนหอนาฬิกา ขยี้ตามองซ้ำอีกครั้ง แต่ไม่มีแล้ว


เป็นไปไม่ได้มั้งดึงขนาดนี้แล้ว ใครจะบ้าไปยืนอยู่บนนั้น ฮ้าว... ง่วงแล้ว นอนดีกว่า ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 4 วันค่อยๆ คิดแล้วกัน
ว่าแล้วก็เปลี่ยนชุดนอนแล้วกระโดดขึ้นเตียง



..............................



ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ในความงัวเงีย ลู่กั้วได้ยินเสียงคนเคาะประตู เขาลูกขึ้นขยี้ตาแล้วถามออกไป
“ใคร?”
“ฉันเอง จิ้งฉี”
“มีอะไร” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวทันที “แกจะรีบฆ่าหมูไปส่งตลาดรึไง”
“เกิดเรื่องแล้ว ทุกคนไปที่ห้องโถงใหญ่กันหมดแล้ว นายรีบๆ ตื่นแล้วออกมาเร็วเข้า”
หา! หรือว่าจะมีใครเปิดกล่องได้แล้ว ลู่กั้วตัวชาเหมือนถูกน้ำเย็นราดลงมาทั้งตัว สติสตังแจ่มชัดขึ้นทันที


โอ้! ความฝันที่สวยงามสลายลงแล้วหรือนี่?
“พระเจ้า ขออย่าเพิ่งให้มีใครเปิดกล่องมังกรได้เลย” ทว่าท่าทางของจิ้งฉีเหมือนกับมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นแล้วอย่างนั้นแหละ


“แค่เปิดออกก็ใช้ได้งั้นรึ”
“ใช่ แต่ห้ามทำลายมังกร
แต่ละตัวลงอย่างเด็ดขาด”
จิ้งฉีก้มมองมังกรไม้ในมืออย่างใช้ความคิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น