บทที่ 10
เมฆหมอกแห่งความอาลัย
เมฆหมอกแห่งความอาลัย
วันต่อมา
คุณครูหลินเดินวนอยู่ในห้องอาจารย์ใหญ่ กำลังคิดว่าจะเข้าไปยื่นหนังสือลาออกดีหรือไม่ ถ้าลาออก ครูใหญ่ต้องถามแน่ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เหลืออีกแค่สองเดือนก็จะเกษียณแล้วแท้ๆ แต่มันน่ากลัวจริงๆ สอดมือเข้าไปในกระเป๋า กำกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ ในนั้นมีตัวหนังสือเลือดเขียนไว้ว่า
“ฉันรู้นะ 10 ปีก่อนแกไปทำอะไรไว้ ถ้าไม่อยากตายให้รีบมาหาฉันที่เดิม ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกทุกคน ไม่ให้แกมีหน้าไปพบใครอีก”
คุณครูหลินรู้สึกถึงความเย็นวาบกำลังไต่ขึ้นมาตามกระดูกสันหลังแทบจะไม่ได้คิด เขารีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึกเรียนทันที
ข้างบนลมพัดแรง คุณครูหลินยืนหันซ้ายขวามองไปรอบๆ ไม่เห็นใครสักคน ถึงตอนนี้จะเป็นช่วงกลางวันแต่ความกลัวก็ปลุกขนทุกเส้นของเขาให้ลุกชัน หรือจะมีคนแกล้ง? เป็นไปไม่ได้ นอกจากพวกเราทั้งห้าคนก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ คิดจะกลับลงไป ทว่า
“ปัง!”
ประตูดาดฟ้าถูกปิดเสียแล้ว เขารีบวิ่งเข้าหาประตูใช้พละกำลังทั้งหมดทั้งดึงทั้งเขย่าแต่ประตูเจ้ากรรมก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดลง ลมปั่นป่วนปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าของตึกเรียน เสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ มันเป็นเสียงผู้หญิง
“ฉันมารับแล้ว...”
“ไม่ ไม่นะ ไม่” คุณครูหลินร้องเสียงหลง สองมือกุมหัวตัวเองไว้ “ไม่นะเหวินลี่ อย่าฆ่าฉันเลย อยากให้ทำอะไรฉันก็จะทำ แต่อย่าฆ่าฉันเลยนะ ฉันอยากจะไถ่บาป ขอร้องล่ะเหลินลี่”
“ไถ่บาป สิ่งที่พวกแกทำกับฉัน อภัยให้ไม่ได้” เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นดุดัน
“เธอกระโดดลงไปเอง พวกเราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”
“แกก็รู้นี่ว่าฉันกระโดดลงไปทำไม”
“พวกเราแค่ล้อเล่น ไม่คิดจะทำร้ายเธอเลย เด็กคนนั้น....คนที่เธอชอบฉันก็ไม่ได้ฆ่า เขาสืบรู้ความจริงเข้า พวกเขาก็เลย...ผลักลงไป...ฉันห้ามแล้วแต่ แต่ไม่มีใครฟัง ฉันก็เลย...ขอร้องล่ะเหวินลี่ อย่าฆ่าฉันเลยนะ”
“เจ้าพวกบาปหนา พวกแกไม่เพียงแต่ทำให้ฉันต้องตายอย่างทรมาน พวกแกยังไปฆ่าเขาอีก” สุ้มเสียงของเธอเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ฉันสำนึกผิดแล้ว พวกเราทำผิด ตอนนั้นทุกคนเมาก็เลยคิดจะล้อเธอเล่น ไม่ได้อยากจะทำอะไรจริงๆ จังๆ หรอก...คิดไม่ถึงว่าเธอจะกระโดดลงไป พวกเราก็เลยห้ามไม่ทัน”
“เหอๆๆ ล้อเล่นงั้นเหรอ?” น้ำเสียงเย็นยะเยือก
“ใช่ ใช่แล้ว” เหงื่อเย็นชื้นเต็มฝ่ามือคุณครูหลิน เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ “พวกฉันไม่คิดว่าเธอจะแค้นขนาดนี้ ถึงขนาดทำให้คนตายไปมากมาย”
“ดี ในเมื่อแกสารภาพมา ฉันก็จะปล่อยแกไป แต่แกต้องรีบไปสารภาพความจริงกับตำรวจ ไม่งั้นฉันจะให้แกตายอย่างทุเรศที่สุด”
“ได้ๆ ฉันจะไปสารภาพความจริงกับตำรวจ” ในชั่วโมงนี้คุณครูหลินไม่ใส่ใจกับเรื่องศักดิ์ศรีหรือชื่อเสียงอีกแล้ว ขอเพียงมีชีวิตรอดกลับไปได้ก็พอ
“ไปสิ” เสียงผุ้หญิงตะคอกดัง ทันใดนั้นกลุ่มเมฆดำและลมแรงก็สลายตัวไปในพริบตา แล้วประตูดาดฟ้าก็เปิดออกเองโดยอัตโนมัติ นี่มันการกระทำของภูตผีแท้ๆ
“ได้ๆ” ครูหลินวิ่งออกจากประตูไปทั้งที่ยังสั่นทั้งตัว
“ชิ ปอดแหกชะมัด”
ลู่กั้วและจิ้งฉีออกมาจากที่ซ่อนตัว สิ่งที่คุณครูหลินเห็นทั้งหมดเป็นฝีมือของลู่กั้วนี่เอง ตอนนี้พวกเขาก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในปีนั้น
“ถึงเวลาต้องสวดส่งวิญญาณแล้ว” จิ้งฉีเตือน แม้จะยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุและจุดจบที่แท้จริง แต่ก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นโรคอะไร การจ่ายยาก็จะง่ายขึ้น เรื่องสวดส่งวิญญาณก็ไม่ลำบากอีกต่อไป
“รู้แล้วน่า ไม่ต้องมาสั่ง” ลู่กั้วบ่น
เจ้าผมเงินเดินไปกลางดาดฟ้าเตรียมที่จะท่องคาถา ทันใดนั้นครูหลินก็กลับขึ้นมาอีกครั้ง
“โอ๊ะ!”
ทั้งสองสะดุ้งตกใจ คิดไม่ออกว่าการแสดงแหกตาเมื่อกี้ผิดพลาดตรงไหน คุณครูหลินถึงได้รู้เรื่องเข้า
แต่ทว่าคุณครูกลับดูเหม่อลอย สายตาเฉยเมย เดินตรงไปข้างหน้าราวหุ่นยนต์ ริมฝีปากขยับเหมือนพูดอะไรอยู่ พลางค่อยๆ เดินไปจนถึงริมดาดฟ้า
“เฮ้ จะทำอะไรน่ะ” ลู่กั้วรู้สึกแปลก จึงตะโกนออกมา
ครูหลินเหมือนจะไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา หรือว่า...จิ้งฉีเริ่มรู้สึกแล้ว
“คุณครูหลิน” เขาพุ่งตัวไปหาอย่างรวดเร็ว แต่ร่างกายของคุณครูร่วงหล่นลงดาดฟ้าไปแล้ว จิ้งฉีใช้ความไวกระโดดคว้าขาเขาเอาไว้
“ไอ้หมูเอ๊ย” ลู่กั้วจับขาของจิ้งฉีไว้อีกที ทั้งสามคนห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ลู่กั้วพยายามดึงทั้งสองคนขึ้นมา
“ตอนนี้ครูหลินเป็นพยานปากสำคัญ จะปล่อยให้เกิดเรื่องไปก่อนไม่ได้” จิ้งฉีที่ยังห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศพูดขึ้น
“ชิ ไม่บอกก็รู้น่า” ลู่กั้วสวนออกมา แต่ตอนนี้ทั้งสามคนถูกแขวนอยู่แบบนี้ มีแต่ขาของลู่กั้วเท่านั้นที่เกี่ยวพื้นดาดฟ้าเอาไว้ จะดึงคนอื่นขึ้นไปมันใช่เรื่องง่ายเสียเมื่อไหร่ เขาพยายามคิดหาวิชาคาถาที่จะช่วยแก้ปัญหานี้
“พลังลม” จิ้งฉีรีบพูด รู้ดีว่าถ้าอาศัยพลังเวทของเขาก็คงจะช่วยตัวเองได้คนเดียวเท่านั้น
“ฉันรู้น่า ไม่ต้องให้แกมาสอนหรอก” ลู่กั้วเคือง
“เจ้าแห่งลมจงฟัง ขอยืมพลังของเจ้า นำพาพวกข้าสู่ที่ปลอดภัยเดี๋ยวนี้”
เงียบสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อะไรกัน หรือว่าที่นี่จะเป็นเขตต้านพลังเวท” ลู่กั้วร้อนรน
“เอาเถอะน่า หาทางอื่นช่วยตัวเองกันก่อนตอนนี้ชีวิตของพวกเราเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย รอให้คนมาช่วยไม่รู้จะไหวรึเปล่า”
“ก็เพราะแกนั่นแหละ ไม่มีพลังเวทจะช่วยเหลือคนอื่น ทำให้ฉันต้องมาเดือดร้อนไปด้วย ฉันไม่เหมือนกับกะเทยอย่างนายหรอก”
“ห้องอยู่แบบนี้ รีบหาทางแก้ดีกว่า” จิ้งฉีตัดบท
จะทำอย่างไรดี ที่จริงถ้าเพียงแต่ลู่กั้วปล่อยมือ เขาก็จะสามารถพลิกตัวกลับขึ้นไปบนดาดฟ้าได้ ดังนั้น ตอนนี้สิ่งที่พอจะสามารถทำได้มีอยู่ทางเดียว
ลู่กั้วสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด
“ช่วยด้วย! มีใครอยู่มั้ย ช่วยด้วย! จะตายอยู่แล้ว ช่วยด้วย!”
“ไอ้โง่ ลมแรงขนาดนี้ แถมชั้นห้าก็เป็นห้องธุรการสมาคมและตอนนี้ก็เป็นชั่วโมงเรียนจะมีใครอยู่เล่า มีคนได้ยินก็แปลกแล้ว” จิ้งฉีคิดว่าลู่กั้วทำเป็นแต่เรื่องโง่ๆ
“ใช่ แถวนี้คนน้อย ตะโกนไปก็ไม่มีใครสนใจ” ลู่กั้วไม่ได้ฟังจิ้งฉีพูดให้จบ “แต่เอาเถอะ อาจจะมีปาฎิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”
“มาเร็ว สาวสวยแก้ผ้าอยู่ มาดูเร้ว” ลู่กั้วตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“อะไรกันหมอนี่” จิ้งฉีบ่นไม่มีเสียง
“เอ๊ะ? ไม่เห็นจะมีใคร” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากดาดฟ้า ลู่กั้วจึงตะโกนอย่างดีใจ “มีคนมาแล้ว”
“ทางนี้ พวกเราอยู่ทางนี้” นี่เขาได้ยินจริงๆ เหรอเนี่ย จิ้งฉีมึนงง หลังจากนั้นห้านาที ทั้งสามคนก็ถูกฉุดขึ้นมาจากความเป็ยความตาย
“ขอบคุณครับ” จิ้งฉีขอบคุณผู้ช่วยชีวิตที่นั่งหายใจหอบอยู่บนพื้น
“เหอะๆ ฉันว่าแล้ว ตะโกนว่าผู้หญิงแก้ผ้าได้ผลกว่า” ลู่กั้วภูมิใจ
“ทำไมพวกเธอเล่นอะไรอันตรายอย่างนี้”
“ก็ครูหลินนั่นแหละ”
“ครูหลิน?” เขาคนนั้นมองไปที่ครูหลินซึ่งนั่งอยู่อีกด้าน “ครูเป็นไงบ้าง?”
“ฉันมันไร้ประโยชน์ ฉันมันคนไร้ค่า...” จิ้งฉีมองอย่างตกใจ คุณครูพึมพำเป็นคำพูดเดียวกับผู้หญิงคนนั้น
“เขาไปกระแทกถูกอะไรตรงไหนรึเปล่า?”
ผู้มีบุญคุณถาม เห็นคุณครูหลินที่นั่งอยู่ตาเหลือกขึ้นมา
“เอ๊ะ คุณเป็นหมอเหรอครับ?” ลู่กั้วถาม
“ใช่ ฉันเป็นหมอประจำอยู่ที่โรงเรียนนี้ พวกเธอเรียกว่าหมอหลิวก็ได้ จริงสิ ทำไมพวกเธอไม่เข้าเรียน มาอยู่ที่นี่ทำไม”
ลู่กั้วพูดไม่ออก
“ผมจะมาชกกับไอ้หมอนี่ว่าใครเจ๋งกว่ากัน” จิ้งฉีตอบแบบถูไถไม่รู้จะอธิบายว่ายังไง
“ใช่ๆ จู่ๆ ครูหลินเดินขึ้นมาแล้วก็ทำท่าจะกระโดดลงไป พวกเราก็เลยช่วยกันดึงเอาไว้” ลู่กั้วไหลตามน้ำ
“สภาพของครูหลินแปลกมาก พวกเธอรีบไปเรียนหนังสือกันก่อนเถอะ ทางนี้ฉันดูแลเอง” คุณหมอหลิวประคองครูหลินให้ลุกขึ้น
แต่เด็กหนุ่มทั้งสองยังอยากจะดูแลครูเอง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันจะแจ้งเรื่องที่พวกเธอช่วยคนเอาไว้ให้ ไม่ปิดบังหรอก” คุณหมอยิ้ม
“ดีครับ ถ้างั้นก็รบกวนคุณหมอด้วยแล้วกัน” ลู่กั้วเห็นว่าหมอคนนี้เป็นคนดีที่ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ ก็เลยไม่คิดระแวง แต่ว่า...ตรงข้ามกับความคิดของจิ้งฉีอย่างสิ้นเชิง
“พวกเธอไปเรียนกันเถอะ ถ้าใครถามก็บอกว่าฉันดูแลคนไข้อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” คุณหมอรีบตัดบท
ขณะที่ทั้งสองเดินลงมาจากดาดฟ้า จิ้งฉีเอาแต่ต่อว่าลู่กั้วไม่หยุดปาก
“ทำไมปล่อยให้คนสำคัญขนาดนั้นไปอยู่ในมือคนอื่น”
“ดูท่าทางครูหลินน่าจะมีปัญหา อีกอย่างเขาเป็นคนช่วยชีวิตพวกเรานะ” ลู่กั้วทำสีหน้าไร้เดียงสา
“ครูหลินเป็นพยานปากเอก ทำไมนาย...”
“แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่ปฎิเสธไปเล่า”
“ก็นายพูดซะขนาดนั้นแล้ว ฉันจะปฎิเสธได้ไง” จิ้งฉียังรู้สึกละล้าละลังอยู่จึงไม่ได้เอ่ยในสิ่งที่อยากจะพูด
“เกิดอะไรขึ้นฉันจะรับผิดชอบเอง เป็นแบบนี้โอเคม่ะ” ลู่กั้วเริ่มอารมณ์เสีย เดินออกจากประตูใหญ่ของตึกเรียน เสียงพูดเงียบลงแล้ว แต่ทว่า
“ตุ้บ!”
บางสิ่งบางอย่างหล่นลงมาต่อหน้าต่อตาพวกเขา ลู่กั้วและจิ้งฉียืนนิ่งตกใจอยู่อย่างนั้น สิ่งที่ตกมาคือ ครูหลิน
ลู่กั้วเอานิ้งแตะที่จมูกของครู พูดออกมาเสียงแผ่ว “สายไปแล้ว”
ทันใดนั้นจิ้งฉีก็คิดอะไรขึ้นมาได้ รีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า
“ไอ้บ้าเอ๊ย” ลู่กั้วเพิ่งจะได้สติ ตามจิ้งฉีไปทันที
คุณหมอหลิวนั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ท่าทางเหมือนเสียสติ อ้าปากกว้างจนยัดไข่เข้าไปได้ทั้งลูก พอเห็นจิ้งฉีและลู่กั้วกลับขึ้นมา ก็ชี้นิ้วที่สั่นเทาไปข้างหน้า พูดออกมาเสียงสั่น “ขะ...เขา เขา”
“พวกเราเห็นแล้ว เรื่องมันเป็นยังไง?” จิ้งฉีหน้าเครียด
“ฉันกำลังจะพยุงเขากลับไปที่ห้องพยาบาล แต่ว่าครูหลินเสียสติ ผลักฉันล้มลงแล้วกระโดดลงไป”
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้” ลู่กั้วตะโกน
“คำสาป คำสาปแน่ๆ” หมอหลิวตะโกนลั่น “เมื่อก่อนฉันไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้เลย แต่ตอนนี้มีคำสาปเท่านั้นที่อธิบายได้ คิดดูสิ คนดีๆ อย่างครูหลินจะเปลี่ยนไปกกะทันหันอย่างนี้ได้ยังไง? ต้องเป็นคำสาปแน่ๆ”
หรือจะเป็นคำสาปจริงๆ แต่จิ้งฉีก็ยังรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่ดี
............................
ไป๋จิ้งฉีเงยหน้าขึ้นมองป้ายหน้าประตูที่เขียนว่า ..ห้องพยาบาล.. ในใจยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“เอ๋...เธอเมื่อวาน...” คุณหมอกำลังจะออกไปข้างนอก เห็นจิ้งฉีก็รู้สึกประหลาดใจ “ไม่สบายเหรอ? ทำไมไม่เข้ามาล่ะ” พูดเสร็จก็หันตัวกลับเข้าไปข้างใน
“ขอบคุณครับ” จิ้งฉีตามเข้ามาโดยดี เขามองไปรอบๆ ก่อนจะถามขึ้น “เมื่อวานคุณหมออยู่ตรงนี้ ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากพวกผมเหรอครับ?”
“ไม่หรอก” หมอหลิวชี้ไปที่หน้าต่าง เห็นตึกเรียนหลังนั้นอยู่ข้างนอก “ฉันเห็นนะ ยังคิดว่าตัวเองตาฝาดเลย”
จิ้งฉีเดินตรงไปที่หน้าต่าง ไม่ผิด จากตรงนี้สามารถมองเห็นตึกเรียนหลังนั้นได้อย่างชัดเจน
“ทำไมเหรอ ไม่เชื่อฉันรึไง” หมอหลิวถามยิ้มๆ
“เปล่าครับ แค่รู้สึกแปลกๆ พวกผมหล่นลงมาได้ประมาณ 3 นาทีจากชั้น 5 ของตึกหลังนี้ไปดาดฟ้าของตึกนั่น เวลาแค่นั้นจะวิ่งไปถึงได้ยังไง”
“เธอคิดว่าฉันผลักเขาลงไปงั้นเหรอ” ถึงจะรู้ตัวว่าถูกสงสัยแต่คุณหมอหลิวก็ยังคงยิ้ม
ใช่ ประเด็นนี้น่าจะเป็นไปได้
แต่คนฉลาดอย่างจิ้งฉีไม่บอกความลับกับใครหรอก
“แต่ยังไง ฉันก็คิดไม่ออกว่าคุณครูหลินฆ่าตัวตายทำไม” คุณหมอหลิวพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
อย่างน้อยที่สุดเราก็ไม่มีหลักฐานพอที่จะยืนยันว่าเป็นฝีมือของเขา อีกอย่างเขาก็ช่วยพวกเราเอาไว้ ถ้าเขาไม่ไปที่นั่นเราอาจจะตายไปแล้วก็ได้...
จิ้งฉีสับสน
“ใช่ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอหลิว” จิ้งฉีส่งยิ้มให้แล้วจากมา
“ไม่เป็นไร” คุณหมอโบกมือยิ้มตอบ
หลังออกมาจากห้องพยาบาลจิ้งฉีมองดูนาฬิกา จากนั้นวิ่งเต็มฝีเท้า ตรงไปยังตึกเรียนข้างหน้า อยากจะลองดูว่าจากตึกนี้ไปตึกนู้นจะใช้เวลาเท่าไหร่ ต้องการแค่ 3 นาที 3 นาทีจริงๆ จิ้งฉีหอบหายใจแฮ่กๆ ยกนาฬิกาข้อมือดู
แต่เดี๋ยว อะไรบางอย่างแวบขึ้นมาในสมอง
ตอนที่คุณหมอหลิวขึ้นมา พูดออกมาว่า ‘ไม่เห็นมีใคร’ ประโยคนี้น่าจะหมายความว่า เขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจึงจะถูก หากว่ามองเห็นจากตึกข้างๆ ล่ะก็ โดยธรรมชาติก็น่าจะวิ่งตรงไปช่วยทันที แล้วคุณหมอพูดแบบนั้นออกมาทำไมกัน?
อีกอย่างเสียงหอบหายใจของเขาก็สม่ำเสมอ ไม่ได้หอบเลย หมอคนนี้น่าสงสัยจริงๆ
“ฮัลโหล ลุงฟงเหรอครับ มีเรื่องให้ช่วยสืบหน่อย” จิ้งฉีโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากหลี่ฟง
ช่วงบ่าย บนดาดฟ้าตึกเรียน
“นี่นายประสาทรึเปล่า อยากจะแกล้งฉันนักใช่มั้ย?” ลู่กั้วโมโหบ่นด่าไปชุดใหญ่ “ถึงนายจะฝีมือห่วย แต่เรื่องกล้วยๆ แค่นี้ก็ทำไม่ได้เลยรึไง ฉันไม่ใช่ค้างคาวนะ จะให้มาห้อยหัวแบบนี้ทำไม?”
“หมอคนนั้นน่าสงสัย ฉันจะให้เขารับสารภาพเอง” จิ้งฉีขีเกียจอธิบายให้มากความ ถึงอธิบายไปเจ้านี่มันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“ไม่มั้ง เขาช่วยชีวิตพวกเราไว้นะ นายยังคิดไปหาเรื่องเขาอีก”
จิ้งฉีไม่ฟังคำส่งเสียงอยู่ในลำคอ ฮึ ไร้เดียงสาซะจริงเจ้าหมาป่า
“นี่นายคิดว่าเขาบังเอิญโผล่มาจริงๆ รึไง”
“หมายความว่าเขาเป็นคนผลักครูหลินลงไปงั้นเหรอ” ลู่กั้วยังไม่เข้าใจ คุณหมอหลิวทำอย่างงั้นทำไมกัน
“มันก็ไม่แน่” จิ้งฉีเสียงต่ำ
“หรือว่าจะถีบลงไป?” ลู่กั้วถามอีก
“ถ้าอยากรู้นักก็ทำตามที่ฉันบอกแล้วกัน”
.............................
จิ้งฉีแอบอยู่อย่างเงียบเชียบ พอคุณหมอหลิวเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า ก็มองไปรอบๆ ไม่เห็นใครสักคน จึงคิดจะกลับลงไป แต่ได้ยินเสียงเรียกเอาไว้เสียก่อน
“ในที่สุดคุณก็มาจนได้” จิ้งฉีและลู่กั้วออกมาจากที่ซ่อน
“นึกว่าใครมาเล่นตลก ที่แท้ก็พวกเธอนี่เอง” คุณหมอหลิวยิ้มเจื่อนๆ
“นี่ไม่ใช่การเล่นตลก” จิ้งฉียิ้มอย่างเยือกเย็น “ตอนที่มาช่วยพวกผมคุณไม่ได้อยู่ที่ห้องพยาบาล แต่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่”
หมอหลิวสั่นเล็กน้อย “ฮ่าๆ พวกเธอคิดได้ยังไงกัน”
“ห้องพยาบาลอยู่ทางขวามือ แต่พวกผมหล่นไปทางด้านซ้ายของดาดฟ้า หรือว่าคุณหมอมีตาทิพย์มองทะลุผ่านตึกได้ละครับ”
หมอหลิวยืนฟังด้วยรอยยิ้ม
“และตอนที่คุณเดินขึ้นมา คุณพูดออกมาว่า ไม่เห็นมีใคร ถ้ามองเห็นพวกเราจากห้องพยาบาลแล้วทำไมคุณถึงพูดออกมาอย่างนั้นล่ะ”
“โอ้” ลู่กั้วตาสว่างขึ้นทันที
“หากว่าคุณวิ่งมาจากห้องพยาบาลจริงล่ะก็ ไม่มีทางที่คุณจะไม่หอบเลยซักนิด ผมจึงมั่นใจว่าเวลานั้นคุณต้องอยู่ในตึกหลังนี้ และก่อนหน้านั้นคุณก็พบครูหลินแล้ว”
“หือ พบครูหลินก่อนแล้ว?” ลู่กั้วงง
“ใช่ นายจำได้ไหม ครูหลินจากไปแล้วพักหนึ่งก็กลับขึ้นมา แล้วท่าทางก็เปลี่ยนไป”
“ใช่ๆ” ตอนนั้นลู่กั้วคิดว่าถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงซะอีก
คุณหมอหลิวพูดออกมาเสียงจืด “มันก็แค่คำสาป”
“คำสาป ถ้าเป็นคำสาปจริงๆ ทำไมครูหลินไม่พูดออกมาว่า ฉันมันเป็นคนเลวล่ะ แต่กลับบ่นว่าฉันมันคนไร้ประโยชน์ ไม่สมเหตุสมผลเลย”
“เรื่องนี้ เธอคงต้องไปถามวิญญาณพวกนั้นดูเองแล้วล่ะ” หมอหลิวพูดขึ้นเสียงเยือกเย็น
“ผมจะเฉลยให้เองก็ได้ ที่จริงมันไม่ใช่คำสาป แต่เป็นการสะกดจิต” จิ้งฉีพูดเสียงดังฟังชัด
“สะกดจิต” ลู่กั้วรู้สึกว่าชักน่าสนใจขึ้นมาแล้ว
“คุณหมอหลิว เมื่อก่อนคุณเป็นนักค้นคว้าที่โรงพยาบาลจิตเวชถูกมั้ย” จิ้งฉีได้ไหว้วานให้หลี่ฟงตรวจสอบมาแล้ว
“เป็นเรื่องปกติ นักเรียนทั่วไปมักจะมีปัญหาด้านสภาพจิต มีจิตแพทย์มาช่วยให้คำปรึกษามันก็เป็นเรื่องดี ดูสิตาของเธอกะพริบถี่แบบนี้ สมัยก่อนคงเคยถูกทำร้ายมา เวลาพูดก็เลยไม่ค่อยจะมองตาคนอื่น นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอขาดความเชื่อมั่นในตนเอง”
“ผมจะเป็นยังไง ก็ไม่เกี่ยวกับคุณ” จิ้งฉีหลบตา
“ฮะ ฮะ ดีนี่ พูดได้ดี ผมไม่เหมือนกับหมอนี่ ดูซิว่าผมเป็นคนยังไง” ลู่กั้วท้า
“เธอก็เหมือนกัน ถึงจะมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง แต่แววตาเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง เหมือนไม่เคยอยู่กับครอบครัวมาก่อน”
“พูดส่งเดช” ลู่กั้วโมโห “บ้านของผมอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน พ่อแม่ฉันน่ะเก่งกาจที่สุดในกลุ่ม ทุกคนรักผมกันหมดแหละ”
“ฮ่าๆ จริงเหรอ?” เห็นได้ชัดเจนว่าหมอหลิวไม่เชื่อ
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง” จิ้งฉีตะคอก “คุณไม่ต้องแก้ตัว พวกเราสืบดูแล้ว คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าตัวตายเมื่อสิบปีก่อน ผู้ชายที่ตายเป็นพี่ชายของคุณ”
“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงจริงๆ นี่พวกเธอสืบจนรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ คงไม่ใช่นักเรียนธรรมดาแล้วมั้งเนี่ย” หมอหลิวพูดปนยิ้ม ไม่กลัวจะถูกเปิดโปงความลับแม้แต่น้อย
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ผมเป็น...” ลู่กั้วจะบอกสถานภาพที่แท้จริง แต่ถูกจิ้งฉีห้ามไว้ก่อน
“พวกเราจะเป็นใครไม่เกี่ยวกับคุณ ในปีนั้น พี่ชายที่คุณรักตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ แน่นอนคุณต้องสืบสาวหาความจริง จนรู้เรื่องของคนห้าคนที่เป็นต้นเหตุทำให้พี่ชายคุณต้องตาย คุณก็เลยวางแผนที่จะแก้แค้น”
“ฮ่าๆ เอาเลย พูดต่อสิ” คุณหมอหลิวไม่สะทกสะท้าน
“เพราะมีสองคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว คุณจึงเลือกลงมือกับคนในครอบครัวเขาแทน คุณอยากจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของการสูญเสียบ้าง คุณสะกดจิตลูกของพวกเขาให้กระโดดลงไป พวกนั้นจึงได้แต่พึมพำว่า ฉันมันคนไร้ประโยชน์ ฉันมันแค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น”
“ดี เหตุผลไม่เลวเลยล่ะ แต่ที่พวกเธอพูดมานี่มีหลักฐานรึเปล่า พวกเธอมีหลักฐานว่าฉันเป็นคนทำไหม ถึงคนที่ตายไปเมื่อสิบปีก่อนจะเป็นพี่ชายฉัน แต่มันก็ไม่ใช่หลักฐานยืนยันว่าฉันฆ่าคน เรื่องจิตเวชก็เหมือนกัน เป็นหลักฐานไม่ได้ ถึงพวกเธอจะบอกว่าตอนที่ห้อยหัวลงไปฉันไม่มีทางจะเห็นพวกเธอได้จากห้องพยาบาล มันก็ไม่ใช่ข้อยืนยันว่าครูหลิวถูกสะกดจิตจึงกระโดดลงไปตาย”
ไอ้เลว! ไม่เสียทีที่เรียนจิตวิทยามา มัดตัวยากมากเสียจจริง
จิ้งฉีจนปัญญา ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดเขาได้ แล้วทั้งหมดก็เป็นเพียงการคิดวิเคราะห์ตามหลักเหตุผลเท่านั้น ถึงหมอหลิวจะยอมรับ แต่สำคัญที่สุดคือต้องหาเหตุผลที่มีน้ำหนักพอจะเป็นหลักฐานมัดตัวไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้
“แกหมายความว่า พวกเราไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าเราห้องหัวอยู่ ในด้านที่แกมองไม่เห็นใช่มั้ย” ลู่กั้วเหมือนจะคิดอะไรได้
“ฮ่าๆ” หมอหลิวหัวเราะ “ใช่ ยืนยันไม่ได้หรอก ฮ่าๆ”
“ดี ผมจะเอาหลักฐานมาให้ดู” ลู่กั้ววิ่งไปยังด้านที่ตัวเองห้อยต่องแต่งอยู่เมื่อวาน “เมื่อวานผมกินซอสมะเขือเทศ แล้วมันก็หยดอยู่บนรองเท้า ตอนเอาเท้าเกี่ยวพื้นจับพวกเขาสองคนเอาไว้ น้ำซอสก็เลยเปื้อนติดอยู่ตรงนี้ไง” ลู่กั้วชี้นิ้วไปที่คราบซอสมะเขือเทศบนดาดฟ้า “นี่ไงหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าพวกเราตกไปตรงนี้” ที่จริงแล้วมันเป็นรอยใหม่ที่จิ้งฉีให้เขาทำไว้เมื่อกี้นี้เอง ถึงจะเป็นของปลอม แต่ก็น่าจะเป็นหลักฐานมัดตัวหมอหลิวได้
“เฮอะ พวกเธอนี่อ่อนหัดจริงๆ แกล้งเอาซอสมะเขือเทศหยดไว้แล้วคิดว่ามันจะเป็นหลักฐานได้งั้นเหรอ แค่หมอชันสูตรก็รู้แล้วว่ามันติดอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเธออย่ามาใช้วิธีปัญญาอ่อนอย่างนี้เลย ไม่ได้ผลหรอก”
“แก แกรู้ได้ไง” ลู่กั้วผงะถอยหลัง
“หึ คิดแล้วไม่มีผิด” หมอหลิวเบาใจไปเปลาะหนึ่ง อันที่จริงเมื่อครู่เขาก็ตกใจอยู่เหมือนกัน
นี่จะไม่มีวิธีทำให้หมอนี่ยอมจำนนได้เลยหรือ
จิ้งฉีกำหมัดแน่น
“พวกแกยังเด็ก รอสัก 10 ปีค่อยมาว่ากันต่อแล้วกัน” หมอหลิวทำท่าจะจากไป
ทันใดนั้นประตูดาดฟ้าก็ปิดดังปัง ทั้งสามคนตกใจพร้อมๆ กัน
“ไอ้พวกเด็กสารเลว” ถึงหมอหลิวจะใช้พละกำลังอย่างไรก็เปิดออกไปไม่ได้
“ข้างนอกนั่นมีพวกแกอยู่ใช่ไหม บอกให้มันมาเปิดประตูเดี๋ยวนี้” เขาตะคอกใส่ลู่กั้วและจิ้งฉี ถึงสีหน้าจะเรียบเฉย แต่กิริยาท่าทางดูสับสนหวั่นวิตก
‘ไอ้หมอนี่ยังพอจะมีสมองอยู่บ้าง รู้จักติดยันต์ป้องกันไว้ที่ประตู’
ทั้งลู่กั้วและจิ้งฉีมองหน้ากัน ต่างก็คิดว่าอีกฝ่ายติดยันต์เอาไว้
“โชคร้ายกำลังมาเยือนแล้วล่ะคุณหมอ” ลู่กั้วส่งเสียงดีใจ
“ฮึ ผีเผอ คำส่งคำสาปอะไรกัน ไร้สาระ เรื่องพวกนั้นฉันเป็นคนสร้างข่าวขึ้นมาเอง มันจะมีอยู่จริงได้ยังไง” หมอหลิวมองทั้งสองอย่างเหยียดหยาม
“จริงเหรอ? ก่อนหน้านี้มีการเชิญหมอผีมาปราบตั้งหลายครั้ง แต่เห็นว่าพวกนั้นกลายเป็นโรคประสาทกันไปหมด” จิ้งฉียิ้มเยือกเย็น
“ ฮ่าๆ ไอ้พวกลวงโลกพวกนั้นมันถูกฉันสะกดจิตทั้งนั้น” หมอหลิวหัวเราะเสียงดัง “โลกนี้มันมีคำสาปที่ไหนกัน วิญญาณแค้นบ้าบออะไร ทุกอย่างเป็นฝีมือฉันทั้งหมด” หมอหลิวพูดออกมาอย่างหมดเปลือก
“พวกเขาทั้งห้าคน เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด ไม่บอกให้ใครรู้ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าพี่ชายของคุณถูกฆ่าตาย” ลู่กั้วสงสัย
“ในโลกนี้ฉันกับพี่มีแค่กันและกันสองคนเท่านั้น ตลอดมามีอะไรพวกเราก็คุยๆกันทุกเรื่องเสมอ ถึงตอนนั้นฉันจะอยู่ต่างประเทศก็จริง แต่ฉันก็รู้ว่าเขารักอยู่กับครูของตัวเอง แต่อยู่ๆ ครูคนนั้นก็ฆ่าตัวตายอย่างไม่มีสาเหตุ ทีแรกเขาไม่เชื่อว่ามันเป็นการฆ่าตัวตายจริงๆ จึงพยายามสืบจนรู้ความจริง ว่าไอ้พวกนั้นมันจะข่มขืนเธอ เธอจึงเลือกจะกระโดดลงจากที่นี่เพื่อปกป้องตัวเองจากมลทิน พี่ชายของฉันจดทุกอย่างไว้ในบันทึกประจำวัน ฉันไปพบมันเข้าตอนเก็บข้าวของของเขา จากนั้นมาฉันก็สาบานว่าจะแก้แค้นแทนพี่ให้ได้” หมอหลิวดูฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย
“น่าเสียดาย เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว คนพวกนั้นได้ขึ้นเป็นหัวหน้า บางคนได้ย้ายไปที่อื่น ฉันก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ครอบครัวของมันแทน แล้วก็สร้างข่าวบอกกับคนอื่นว่าที่นี่ต้องคำสาป ลมปากคนน่ากลัวเสมอ ยิ่งเล่าปากต่อปากยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายฉันจึงเริ่มลงมือแก้แค้น”
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณหมอนะ แต่ที่คุณแก้แค้นไปนั่นเป็นลูกหลานของเขาทั้งนั้น ไม่รู้สึกว่ามันเกินไปหน่อยรึไง”
“เกินไป? มนุษย์เราตั้งแต่แรกเกิด ตาชั่งชีวิตก็เริ่มลำเอียงแล้ว พี่ชายฉันทำอะไรผิดงั้นเหรอ พวกมันต่างก็ทำเพื่ออนาคตของตัวเอง เพียงแค่ไม่อยากจะถูกสังคมลงโทษก็เลยฆ่าพี่ชายฉัน แค่นี้ก็ถือว่าเมตตาเกินพอแล้วสำหรับพวกมัน ฉันไม่เคยคิดเสียใจที่ทำลงไปแบบนั้นเลย” แววตาของหมอหลิวเย็นชาไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย มีเพียงเปลวเพลิงแห่งความแค้นเท่านั้นที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณก็น่าจะคิดถึงจิตใจของพี่ชายคุณบ้าง” จิ้งฉีเข้าใจแล้วว่าทำไมที่นี่ถึงมีไอหมอกแห่งวิญญาณปกคลุมอยู่ และประตูถึงได้ปิดเอง
“ความรู้สึกของพี่งั้นเหรอ” หมอหลิวคิ้วขมดว ไม่เข้าใจคำพูดของจิ้งฉี
“ได้ฟังแบบนี้แล้ว ผมคงต้องทำให้คุณได้เห็นความในใจของพี่ชายคุณแล้วล่ะ” จิ้งฉีกัดลิ้นตัวเอง เลือดหยดลงบนพื้นพริบตานั้นก็กลายเป็นแสงสีขาวลอยขึ้นมา ท่างกลางกลุ่มแสงสีขาวนวลนั้นปรากฎเงาร่างของใครคนหนึ่ง คุณหมอหลิวนิ่งงันไปทันที
“พี่...”
“หลิวเฉียน...” แววตาของพี่ชายเต็มไปด้วยความปวดร้าว “เพราะพี่แท้ๆ นายถึงต้องทิ้งจิตใจที่ดีงามของตัวเองไป พี่ไม่น่าเลย”
“พี่...” หมอหลิวยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“พี่อยู่ที่นี่มาตลอด อยู่คนละมิติกับพวกนาย พี่เห็นนายฆ่าพวกเขาคนแล้วคนเล่า ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่พวกเขาทำกับพี่เลย”
“พี่ ฉันทำเพื่อพี่” หมอหลิวเสียงแข็งอยู่ในลำคอ
“นายไม่ควรปล่อยให้จิตใจมีแต่ความเคียดแค้นเลย อาเฉียน ที่พี่อยากจะเห็นจริงๆ คือเห็นนายมีแต่ความสุข ที่จริงแค่นายเอาสมุดบันทึกไปให้ตำรวจ พวกนั้นก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ไม่ทำให้จิตวิญญาณของนายต้องสกปรกอย่างนี้”
“ฉันรู้ แต่ฉันยอมไม่ได้หรอกที่จะเห็นพวกมันรับโทษติดคุกกันแค่ 10-20 ปีแล้วกลับมาเสวยสุขใช้ชีวิตกันตามสบายได้อีกครั้ง แต่พี่กับครูต้องตายอย่างทรมาน แม้แต่วิญญาณก็ยังต้องล่องลอยไปสู่สุคติไม่ได้ ทั้งหมดเป็นความผิดของพวกมัน”
“ไม่ ไม่ใช่ว่าพวกพี่ไปไม่ได้ แต่พี่ปล่อยนายไว้อย่างนี้ไม่ได้ต่างหากอาเฉียน พี่เป็นห่วงนายนะ”
“ฉัน...” หมอหลิวงงอยู่อย่างนั้น
“พี่ห่วงนาย รู้ดีว่าถ้านายสืบรู้ความจริงทีหลังว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ นายจะต้องไม่ปล่อยคนพวกนั้นแน่ ดังนั้นพี่จึงเขียนความจริงทั้งหมดลงสมุดบันทึก เพื่อให้นายเอาไปให้ตำรวจ เรื่องทุกอย่างจะได้จบ แต่ไม่นึกเลยว่านายจะ...”
“พี่ ฉัน...ฉันเข้าใจแล้วพี่...” หมอหลิวก้มหน้าลง
“ขอโทษนะพี่ ฉันทำให้พี่ผิดหวัง” เขาค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวๆ จนไปถึงริมดาดฟ้า “ฉันเสียใจจริงๆ ไว้เราไปคุยกันในโลกหน้านะพี่” ขณะพูดหมอหลิวก็พุ่งตัวกระโดดลงเบื้องล่าง
“เดี๋ยว!” ลู่กั้วเห็นท่าไม่ดีกระโดดไปจับตัวหมอเอาไว้
“คิดว่าตายแล้วจะแก้ปัญหาได้งั้นเหรอ อย่าคิดนะว่าฉันจะปล่อยให้แกตายง่ายๆ ไม่มีวันซะหรอก” พูดออกมาอย่างโกรธเคือง
“ฉันอยากตาย แกจะเอายังไงกับฉันอีก”
“ความตายก็ไถ่โทษนายไม่ได้หรอก ถ้าคิดจะไถ่โทษให้ตัวเองก็ต้องกล้ารับกับสิ่งที่จะตามมา” เสียงพี่ชายดังก้องกังวานอยู่บนฟากฟ้า
“เข้าใจแล้ว” น้ำตาใสๆ ไหลออกมาจากสองตาของหมอหลิว
...........................
จิ้งฉีและลู่กั้วพยักหน้าให้กัน มองหลี่ฟงควบคุมตัวหมอหลิวจากไปแล้วถอนหายใจยาวออกมาพร้อมกัน
“จบสิ้นซะที...เฮ้อ”ลู่กั้วพ่นลมออกจากปาก
“ใครบอก พวกเขาอยู่ในโลกมนุษย์นานเกินไปแล้ว ถ้าไม่ช่วยล่ะก็ ไม่มีทางได้ขึ้นสวรรค์แน่” จิ้งฉีเตือน
“รู้แล้วน่า สุดท้ายนายก็ต้องพึ่งลูกพี่ลู่กั้วอยู่ดีล่ะว้า” ลู่กั้วอารมณ์บ่จอย ยืนอยู่กลางดาดฟ้าแล้วท่องคาถา
“เหล่าสัมภเวสีทั้งหลาย วิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์ จงกลับไปสู่ภพภูมิที่ควรจะไปในโลกหลังความตาย ความเคียดแค้น ความเกลียด ความหลงมัวเมา ความเสียใจทั้งหมดทั้งมวลจงสลายไปในแสงสว่างอันเจิดจ้านี้”
แสงสีขาวสองดวงลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า ถึงแม้ภารกิจของเขาจะลุล่วงไปแล้ว แต่ถ้าหากวัดกันในฐานะตำรวจธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขากลับไม่ได้ใช้เหตุผลและหลักฐานที่ตนเองหาได้ มาทำให้ผู้รายยอมจำนน ดังนั้นในข้อนี้พวกเขายังคงพ่ายแพ้อยู่ดี
“ไม่สนแล้ว” ลู่กั้วบิดขี้เกียด “กลับไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทาง”
“เดินทางไปไหน?” เป็นครั้งแรกที่จิ้งฉีคิดตามไม่ทัน
“นายลืมไปแล้วหรือนี่ ก็ดี ลืมแล้วก็อย่าไปเลย” ทันใดนั้นจิ้งฉีก็นึกขึ้นได้ พวกเขานัดหลิงหลงเอาไว้ ถ้าสามารถคลี่คลายคดีนี้ได้ภายใน 1 อาทิตย์ก็ให้รีบตามไปหาเขา ที่นั่นมีเรื่องสนุกรออยู่ จิ้งฉียิ้ม
“เฮ้ย วันนี้แกต้องเลี้ยงข้าวฉันนะ” ลู่กั้วเดินนำอยู่ข้างหน้า หันมาตะโกนบอก
“ก็แล้วมันเรื่องอะไรของฉันล่ะ”
“เพราะฉันไม่มีเงินนะสิ” ลู่กั้วบอกเหตุผล ครั้งที่แล้วหลิงหลงเอาเงินเขาไปกินเหล้าหมดแล้ว ตอนนี้ในบัญชีเงินเก็บของเขาจึงเท่ากับ 0 คิดแล้วก็เจ็บใจ
“ไอ้งี่เง่าเอ๊ย” จิ้งฉีตะโกนไล่หลัง
คุณครูหลินเดินวนอยู่ในห้องอาจารย์ใหญ่ กำลังคิดว่าจะเข้าไปยื่นหนังสือลาออกดีหรือไม่ ถ้าลาออก ครูใหญ่ต้องถามแน่ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เหลืออีกแค่สองเดือนก็จะเกษียณแล้วแท้ๆ แต่มันน่ากลัวจริงๆ สอดมือเข้าไปในกระเป๋า กำกระดาษแผ่นหนึ่งไว้ ในนั้นมีตัวหนังสือเลือดเขียนไว้ว่า
“ฉันรู้นะ 10 ปีก่อนแกไปทำอะไรไว้ ถ้าไม่อยากตายให้รีบมาหาฉันที่เดิม ไม่อย่างนั้นฉันจะบอกทุกคน ไม่ให้แกมีหน้าไปพบใครอีก”
คุณครูหลินรู้สึกถึงความเย็นวาบกำลังไต่ขึ้นมาตามกระดูกสันหลังแทบจะไม่ได้คิด เขารีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึกเรียนทันที
ข้างบนลมพัดแรง คุณครูหลินยืนหันซ้ายขวามองไปรอบๆ ไม่เห็นใครสักคน ถึงตอนนี้จะเป็นช่วงกลางวันแต่ความกลัวก็ปลุกขนทุกเส้นของเขาให้ลุกชัน หรือจะมีคนแกล้ง? เป็นไปไม่ได้ นอกจากพวกเราทั้งห้าคนก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ คิดจะกลับลงไป ทว่า
“ปัง!”
ประตูดาดฟ้าถูกปิดเสียแล้ว เขารีบวิ่งเข้าหาประตูใช้พละกำลังทั้งหมดทั้งดึงทั้งเขย่าแต่ประตูเจ้ากรรมก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็มืดลง ลมปั่นป่วนปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าของตึกเรียน เสียงหนึ่งดังขึ้นกลางอากาศ มันเป็นเสียงผู้หญิง
“ฉันมารับแล้ว...”
“ไม่ ไม่นะ ไม่” คุณครูหลินร้องเสียงหลง สองมือกุมหัวตัวเองไว้ “ไม่นะเหวินลี่ อย่าฆ่าฉันเลย อยากให้ทำอะไรฉันก็จะทำ แต่อย่าฆ่าฉันเลยนะ ฉันอยากจะไถ่บาป ขอร้องล่ะเหลินลี่”
“ไถ่บาป สิ่งที่พวกแกทำกับฉัน อภัยให้ไม่ได้” เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นดุดัน
“เธอกระโดดลงไปเอง พวกเราไม่อยากให้เป็นแบบนั้น”
“แกก็รู้นี่ว่าฉันกระโดดลงไปทำไม”
“พวกเราแค่ล้อเล่น ไม่คิดจะทำร้ายเธอเลย เด็กคนนั้น....คนที่เธอชอบฉันก็ไม่ได้ฆ่า เขาสืบรู้ความจริงเข้า พวกเขาก็เลย...ผลักลงไป...ฉันห้ามแล้วแต่ แต่ไม่มีใครฟัง ฉันก็เลย...ขอร้องล่ะเหวินลี่ อย่าฆ่าฉันเลยนะ”
“เจ้าพวกบาปหนา พวกแกไม่เพียงแต่ทำให้ฉันต้องตายอย่างทรมาน พวกแกยังไปฆ่าเขาอีก” สุ้มเสียงของเธอเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“ฉันสำนึกผิดแล้ว พวกเราทำผิด ตอนนั้นทุกคนเมาก็เลยคิดจะล้อเธอเล่น ไม่ได้อยากจะทำอะไรจริงๆ จังๆ หรอก...คิดไม่ถึงว่าเธอจะกระโดดลงไป พวกเราก็เลยห้ามไม่ทัน”
“เหอๆๆ ล้อเล่นงั้นเหรอ?” น้ำเสียงเย็นยะเยือก
“ใช่ ใช่แล้ว” เหงื่อเย็นชื้นเต็มฝ่ามือคุณครูหลิน เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ “พวกฉันไม่คิดว่าเธอจะแค้นขนาดนี้ ถึงขนาดทำให้คนตายไปมากมาย”
“ดี ในเมื่อแกสารภาพมา ฉันก็จะปล่อยแกไป แต่แกต้องรีบไปสารภาพความจริงกับตำรวจ ไม่งั้นฉันจะให้แกตายอย่างทุเรศที่สุด”
“ได้ๆ ฉันจะไปสารภาพความจริงกับตำรวจ” ในชั่วโมงนี้คุณครูหลินไม่ใส่ใจกับเรื่องศักดิ์ศรีหรือชื่อเสียงอีกแล้ว ขอเพียงมีชีวิตรอดกลับไปได้ก็พอ
“ไปสิ” เสียงผุ้หญิงตะคอกดัง ทันใดนั้นกลุ่มเมฆดำและลมแรงก็สลายตัวไปในพริบตา แล้วประตูดาดฟ้าก็เปิดออกเองโดยอัตโนมัติ นี่มันการกระทำของภูตผีแท้ๆ
“ได้ๆ” ครูหลินวิ่งออกจากประตูไปทั้งที่ยังสั่นทั้งตัว
“ชิ ปอดแหกชะมัด”
ลู่กั้วและจิ้งฉีออกมาจากที่ซ่อนตัว สิ่งที่คุณครูหลินเห็นทั้งหมดเป็นฝีมือของลู่กั้วนี่เอง ตอนนี้พวกเขาก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในปีนั้น
“ถึงเวลาต้องสวดส่งวิญญาณแล้ว” จิ้งฉีเตือน แม้จะยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุและจุดจบที่แท้จริง แต่ก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นโรคอะไร การจ่ายยาก็จะง่ายขึ้น เรื่องสวดส่งวิญญาณก็ไม่ลำบากอีกต่อไป
“รู้แล้วน่า ไม่ต้องมาสั่ง” ลู่กั้วบ่น
เจ้าผมเงินเดินไปกลางดาดฟ้าเตรียมที่จะท่องคาถา ทันใดนั้นครูหลินก็กลับขึ้นมาอีกครั้ง
“โอ๊ะ!”
ทั้งสองสะดุ้งตกใจ คิดไม่ออกว่าการแสดงแหกตาเมื่อกี้ผิดพลาดตรงไหน คุณครูหลินถึงได้รู้เรื่องเข้า
แต่ทว่าคุณครูกลับดูเหม่อลอย สายตาเฉยเมย เดินตรงไปข้างหน้าราวหุ่นยนต์ ริมฝีปากขยับเหมือนพูดอะไรอยู่ พลางค่อยๆ เดินไปจนถึงริมดาดฟ้า
“เฮ้ จะทำอะไรน่ะ” ลู่กั้วรู้สึกแปลก จึงตะโกนออกมา
ครูหลินเหมือนจะไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา หรือว่า...จิ้งฉีเริ่มรู้สึกแล้ว
“คุณครูหลิน” เขาพุ่งตัวไปหาอย่างรวดเร็ว แต่ร่างกายของคุณครูร่วงหล่นลงดาดฟ้าไปแล้ว จิ้งฉีใช้ความไวกระโดดคว้าขาเขาเอาไว้
“ไอ้หมูเอ๊ย” ลู่กั้วจับขาของจิ้งฉีไว้อีกที ทั้งสามคนห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ลู่กั้วพยายามดึงทั้งสองคนขึ้นมา
“ตอนนี้ครูหลินเป็นพยานปากสำคัญ จะปล่อยให้เกิดเรื่องไปก่อนไม่ได้” จิ้งฉีที่ยังห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศพูดขึ้น
“ชิ ไม่บอกก็รู้น่า” ลู่กั้วสวนออกมา แต่ตอนนี้ทั้งสามคนถูกแขวนอยู่แบบนี้ มีแต่ขาของลู่กั้วเท่านั้นที่เกี่ยวพื้นดาดฟ้าเอาไว้ จะดึงคนอื่นขึ้นไปมันใช่เรื่องง่ายเสียเมื่อไหร่ เขาพยายามคิดหาวิชาคาถาที่จะช่วยแก้ปัญหานี้
“พลังลม” จิ้งฉีรีบพูด รู้ดีว่าถ้าอาศัยพลังเวทของเขาก็คงจะช่วยตัวเองได้คนเดียวเท่านั้น
“ฉันรู้น่า ไม่ต้องให้แกมาสอนหรอก” ลู่กั้วเคือง
“เจ้าแห่งลมจงฟัง ขอยืมพลังของเจ้า นำพาพวกข้าสู่ที่ปลอดภัยเดี๋ยวนี้”
เงียบสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อะไรกัน หรือว่าที่นี่จะเป็นเขตต้านพลังเวท” ลู่กั้วร้อนรน
“เอาเถอะน่า หาทางอื่นช่วยตัวเองกันก่อนตอนนี้ชีวิตของพวกเราเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย รอให้คนมาช่วยไม่รู้จะไหวรึเปล่า”
“ก็เพราะแกนั่นแหละ ไม่มีพลังเวทจะช่วยเหลือคนอื่น ทำให้ฉันต้องมาเดือดร้อนไปด้วย ฉันไม่เหมือนกับกะเทยอย่างนายหรอก”
“ห้องอยู่แบบนี้ รีบหาทางแก้ดีกว่า” จิ้งฉีตัดบท
จะทำอย่างไรดี ที่จริงถ้าเพียงแต่ลู่กั้วปล่อยมือ เขาก็จะสามารถพลิกตัวกลับขึ้นไปบนดาดฟ้าได้ ดังนั้น ตอนนี้สิ่งที่พอจะสามารถทำได้มีอยู่ทางเดียว
ลู่กั้วสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด
“ช่วยด้วย! มีใครอยู่มั้ย ช่วยด้วย! จะตายอยู่แล้ว ช่วยด้วย!”
“ไอ้โง่ ลมแรงขนาดนี้ แถมชั้นห้าก็เป็นห้องธุรการสมาคมและตอนนี้ก็เป็นชั่วโมงเรียนจะมีใครอยู่เล่า มีคนได้ยินก็แปลกแล้ว” จิ้งฉีคิดว่าลู่กั้วทำเป็นแต่เรื่องโง่ๆ
“ใช่ แถวนี้คนน้อย ตะโกนไปก็ไม่มีใครสนใจ” ลู่กั้วไม่ได้ฟังจิ้งฉีพูดให้จบ “แต่เอาเถอะ อาจจะมีปาฎิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้”
“มาเร็ว สาวสวยแก้ผ้าอยู่ มาดูเร้ว” ลู่กั้วตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“อะไรกันหมอนี่” จิ้งฉีบ่นไม่มีเสียง
“เอ๊ะ? ไม่เห็นจะมีใคร” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากดาดฟ้า ลู่กั้วจึงตะโกนอย่างดีใจ “มีคนมาแล้ว”
“ทางนี้ พวกเราอยู่ทางนี้” นี่เขาได้ยินจริงๆ เหรอเนี่ย จิ้งฉีมึนงง หลังจากนั้นห้านาที ทั้งสามคนก็ถูกฉุดขึ้นมาจากความเป็ยความตาย
“ขอบคุณครับ” จิ้งฉีขอบคุณผู้ช่วยชีวิตที่นั่งหายใจหอบอยู่บนพื้น
“เหอะๆ ฉันว่าแล้ว ตะโกนว่าผู้หญิงแก้ผ้าได้ผลกว่า” ลู่กั้วภูมิใจ
“ทำไมพวกเธอเล่นอะไรอันตรายอย่างนี้”
“ก็ครูหลินนั่นแหละ”
“ครูหลิน?” เขาคนนั้นมองไปที่ครูหลินซึ่งนั่งอยู่อีกด้าน “ครูเป็นไงบ้าง?”
“ฉันมันไร้ประโยชน์ ฉันมันคนไร้ค่า...” จิ้งฉีมองอย่างตกใจ คุณครูพึมพำเป็นคำพูดเดียวกับผู้หญิงคนนั้น
“เขาไปกระแทกถูกอะไรตรงไหนรึเปล่า?”
ผู้มีบุญคุณถาม เห็นคุณครูหลินที่นั่งอยู่ตาเหลือกขึ้นมา
“เอ๊ะ คุณเป็นหมอเหรอครับ?” ลู่กั้วถาม
“ใช่ ฉันเป็นหมอประจำอยู่ที่โรงเรียนนี้ พวกเธอเรียกว่าหมอหลิวก็ได้ จริงสิ ทำไมพวกเธอไม่เข้าเรียน มาอยู่ที่นี่ทำไม”
ลู่กั้วพูดไม่ออก
“ผมจะมาชกกับไอ้หมอนี่ว่าใครเจ๋งกว่ากัน” จิ้งฉีตอบแบบถูไถไม่รู้จะอธิบายว่ายังไง
“ใช่ๆ จู่ๆ ครูหลินเดินขึ้นมาแล้วก็ทำท่าจะกระโดดลงไป พวกเราก็เลยช่วยกันดึงเอาไว้” ลู่กั้วไหลตามน้ำ
“สภาพของครูหลินแปลกมาก พวกเธอรีบไปเรียนหนังสือกันก่อนเถอะ ทางนี้ฉันดูแลเอง” คุณหมอหลิวประคองครูหลินให้ลุกขึ้น
แต่เด็กหนุ่มทั้งสองยังอยากจะดูแลครูเอง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันจะแจ้งเรื่องที่พวกเธอช่วยคนเอาไว้ให้ ไม่ปิดบังหรอก” คุณหมอยิ้ม
“ดีครับ ถ้างั้นก็รบกวนคุณหมอด้วยแล้วกัน” ลู่กั้วเห็นว่าหมอคนนี้เป็นคนดีที่ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้ ก็เลยไม่คิดระแวง แต่ว่า...ตรงข้ามกับความคิดของจิ้งฉีอย่างสิ้นเชิง
“พวกเธอไปเรียนกันเถอะ ถ้าใครถามก็บอกว่าฉันดูแลคนไข้อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน” คุณหมอรีบตัดบท
ขณะที่ทั้งสองเดินลงมาจากดาดฟ้า จิ้งฉีเอาแต่ต่อว่าลู่กั้วไม่หยุดปาก
“ทำไมปล่อยให้คนสำคัญขนาดนั้นไปอยู่ในมือคนอื่น”
“ดูท่าทางครูหลินน่าจะมีปัญหา อีกอย่างเขาเป็นคนช่วยชีวิตพวกเรานะ” ลู่กั้วทำสีหน้าไร้เดียงสา
“ครูหลินเป็นพยานปากเอก ทำไมนาย...”
“แล้วทำไมเมื่อกี้ไม่ปฎิเสธไปเล่า”
“ก็นายพูดซะขนาดนั้นแล้ว ฉันจะปฎิเสธได้ไง” จิ้งฉียังรู้สึกละล้าละลังอยู่จึงไม่ได้เอ่ยในสิ่งที่อยากจะพูด
“เกิดอะไรขึ้นฉันจะรับผิดชอบเอง เป็นแบบนี้โอเคม่ะ” ลู่กั้วเริ่มอารมณ์เสีย เดินออกจากประตูใหญ่ของตึกเรียน เสียงพูดเงียบลงแล้ว แต่ทว่า
“ตุ้บ!”
บางสิ่งบางอย่างหล่นลงมาต่อหน้าต่อตาพวกเขา ลู่กั้วและจิ้งฉียืนนิ่งตกใจอยู่อย่างนั้น สิ่งที่ตกมาคือ ครูหลิน
ลู่กั้วเอานิ้งแตะที่จมูกของครู พูดออกมาเสียงแผ่ว “สายไปแล้ว”
ทันใดนั้นจิ้งฉีก็คิดอะไรขึ้นมาได้ รีบวิ่งขึ้นไปบนดาดฟ้า
“ไอ้บ้าเอ๊ย” ลู่กั้วเพิ่งจะได้สติ ตามจิ้งฉีไปทันที
คุณหมอหลิวนั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง ท่าทางเหมือนเสียสติ อ้าปากกว้างจนยัดไข่เข้าไปได้ทั้งลูก พอเห็นจิ้งฉีและลู่กั้วกลับขึ้นมา ก็ชี้นิ้วที่สั่นเทาไปข้างหน้า พูดออกมาเสียงสั่น “ขะ...เขา เขา”
“พวกเราเห็นแล้ว เรื่องมันเป็นยังไง?” จิ้งฉีหน้าเครียด
“ฉันกำลังจะพยุงเขากลับไปที่ห้องพยาบาล แต่ว่าครูหลินเสียสติ ผลักฉันล้มลงแล้วกระโดดลงไป”
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้” ลู่กั้วตะโกน
“คำสาป คำสาปแน่ๆ” หมอหลิวตะโกนลั่น “เมื่อก่อนฉันไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้เลย แต่ตอนนี้มีคำสาปเท่านั้นที่อธิบายได้ คิดดูสิ คนดีๆ อย่างครูหลินจะเปลี่ยนไปกกะทันหันอย่างนี้ได้ยังไง? ต้องเป็นคำสาปแน่ๆ”
หรือจะเป็นคำสาปจริงๆ แต่จิ้งฉีก็ยังรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่ดี
............................
ไป๋จิ้งฉีเงยหน้าขึ้นมองป้ายหน้าประตูที่เขียนว่า ..ห้องพยาบาล.. ในใจยิ่งรู้สึกแปลกๆ
“เอ๋...เธอเมื่อวาน...” คุณหมอกำลังจะออกไปข้างนอก เห็นจิ้งฉีก็รู้สึกประหลาดใจ “ไม่สบายเหรอ? ทำไมไม่เข้ามาล่ะ” พูดเสร็จก็หันตัวกลับเข้าไปข้างใน
“ขอบคุณครับ” จิ้งฉีตามเข้ามาโดยดี เขามองไปรอบๆ ก่อนจะถามขึ้น “เมื่อวานคุณหมออยู่ตรงนี้ ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากพวกผมเหรอครับ?”
“ไม่หรอก” หมอหลิวชี้ไปที่หน้าต่าง เห็นตึกเรียนหลังนั้นอยู่ข้างนอก “ฉันเห็นนะ ยังคิดว่าตัวเองตาฝาดเลย”
จิ้งฉีเดินตรงไปที่หน้าต่าง ไม่ผิด จากตรงนี้สามารถมองเห็นตึกเรียนหลังนั้นได้อย่างชัดเจน
“ทำไมเหรอ ไม่เชื่อฉันรึไง” หมอหลิวถามยิ้มๆ
“เปล่าครับ แค่รู้สึกแปลกๆ พวกผมหล่นลงมาได้ประมาณ 3 นาทีจากชั้น 5 ของตึกหลังนี้ไปดาดฟ้าของตึกนั่น เวลาแค่นั้นจะวิ่งไปถึงได้ยังไง”
“เธอคิดว่าฉันผลักเขาลงไปงั้นเหรอ” ถึงจะรู้ตัวว่าถูกสงสัยแต่คุณหมอหลิวก็ยังคงยิ้ม
ใช่ ประเด็นนี้น่าจะเป็นไปได้
แต่คนฉลาดอย่างจิ้งฉีไม่บอกความลับกับใครหรอก
“แต่ยังไง ฉันก็คิดไม่ออกว่าคุณครูหลินฆ่าตัวตายทำไม” คุณหมอหลิวพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
อย่างน้อยที่สุดเราก็ไม่มีหลักฐานพอที่จะยืนยันว่าเป็นฝีมือของเขา อีกอย่างเขาก็ช่วยพวกเราเอาไว้ ถ้าเขาไม่ไปที่นั่นเราอาจจะตายไปแล้วก็ได้...
จิ้งฉีสับสน
“ใช่ครับ ขอบคุณมากครับคุณหมอหลิว” จิ้งฉีส่งยิ้มให้แล้วจากมา
“ไม่เป็นไร” คุณหมอโบกมือยิ้มตอบ
หลังออกมาจากห้องพยาบาลจิ้งฉีมองดูนาฬิกา จากนั้นวิ่งเต็มฝีเท้า ตรงไปยังตึกเรียนข้างหน้า อยากจะลองดูว่าจากตึกนี้ไปตึกนู้นจะใช้เวลาเท่าไหร่ ต้องการแค่ 3 นาที 3 นาทีจริงๆ จิ้งฉีหอบหายใจแฮ่กๆ ยกนาฬิกาข้อมือดู
แต่เดี๋ยว อะไรบางอย่างแวบขึ้นมาในสมอง
ตอนที่คุณหมอหลิวขึ้นมา พูดออกมาว่า ‘ไม่เห็นมีใคร’ ประโยคนี้น่าจะหมายความว่า เขาได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจึงจะถูก หากว่ามองเห็นจากตึกข้างๆ ล่ะก็ โดยธรรมชาติก็น่าจะวิ่งตรงไปช่วยทันที แล้วคุณหมอพูดแบบนั้นออกมาทำไมกัน?
อีกอย่างเสียงหอบหายใจของเขาก็สม่ำเสมอ ไม่ได้หอบเลย หมอคนนี้น่าสงสัยจริงๆ
“ฮัลโหล ลุงฟงเหรอครับ มีเรื่องให้ช่วยสืบหน่อย” จิ้งฉีโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากหลี่ฟง
ช่วงบ่าย บนดาดฟ้าตึกเรียน
“นี่นายประสาทรึเปล่า อยากจะแกล้งฉันนักใช่มั้ย?” ลู่กั้วโมโหบ่นด่าไปชุดใหญ่ “ถึงนายจะฝีมือห่วย แต่เรื่องกล้วยๆ แค่นี้ก็ทำไม่ได้เลยรึไง ฉันไม่ใช่ค้างคาวนะ จะให้มาห้อยหัวแบบนี้ทำไม?”
“หมอคนนั้นน่าสงสัย ฉันจะให้เขารับสารภาพเอง” จิ้งฉีขีเกียจอธิบายให้มากความ ถึงอธิบายไปเจ้านี่มันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
“ไม่มั้ง เขาช่วยชีวิตพวกเราไว้นะ นายยังคิดไปหาเรื่องเขาอีก”
จิ้งฉีไม่ฟังคำส่งเสียงอยู่ในลำคอ ฮึ ไร้เดียงสาซะจริงเจ้าหมาป่า
“นี่นายคิดว่าเขาบังเอิญโผล่มาจริงๆ รึไง”
“หมายความว่าเขาเป็นคนผลักครูหลินลงไปงั้นเหรอ” ลู่กั้วยังไม่เข้าใจ คุณหมอหลิวทำอย่างงั้นทำไมกัน
“มันก็ไม่แน่” จิ้งฉีเสียงต่ำ
“หรือว่าจะถีบลงไป?” ลู่กั้วถามอีก
“ถ้าอยากรู้นักก็ทำตามที่ฉันบอกแล้วกัน”
.............................
จิ้งฉีแอบอยู่อย่างเงียบเชียบ พอคุณหมอหลิวเดินขึ้นมาบนดาดฟ้า ก็มองไปรอบๆ ไม่เห็นใครสักคน จึงคิดจะกลับลงไป แต่ได้ยินเสียงเรียกเอาไว้เสียก่อน
“ในที่สุดคุณก็มาจนได้” จิ้งฉีและลู่กั้วออกมาจากที่ซ่อน
“นึกว่าใครมาเล่นตลก ที่แท้ก็พวกเธอนี่เอง” คุณหมอหลิวยิ้มเจื่อนๆ
“นี่ไม่ใช่การเล่นตลก” จิ้งฉียิ้มอย่างเยือกเย็น “ตอนที่มาช่วยพวกผมคุณไม่ได้อยู่ที่ห้องพยาบาล แต่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่”
หมอหลิวสั่นเล็กน้อย “ฮ่าๆ พวกเธอคิดได้ยังไงกัน”
“ห้องพยาบาลอยู่ทางขวามือ แต่พวกผมหล่นไปทางด้านซ้ายของดาดฟ้า หรือว่าคุณหมอมีตาทิพย์มองทะลุผ่านตึกได้ละครับ”
หมอหลิวยืนฟังด้วยรอยยิ้ม
“และตอนที่คุณเดินขึ้นมา คุณพูดออกมาว่า ไม่เห็นมีใคร ถ้ามองเห็นพวกเราจากห้องพยาบาลแล้วทำไมคุณถึงพูดออกมาอย่างนั้นล่ะ”
“โอ้” ลู่กั้วตาสว่างขึ้นทันที
“หากว่าคุณวิ่งมาจากห้องพยาบาลจริงล่ะก็ ไม่มีทางที่คุณจะไม่หอบเลยซักนิด ผมจึงมั่นใจว่าเวลานั้นคุณต้องอยู่ในตึกหลังนี้ และก่อนหน้านั้นคุณก็พบครูหลินแล้ว”
“หือ พบครูหลินก่อนแล้ว?” ลู่กั้วงง
“ใช่ นายจำได้ไหม ครูหลินจากไปแล้วพักหนึ่งก็กลับขึ้นมา แล้วท่าทางก็เปลี่ยนไป”
“ใช่ๆ” ตอนนั้นลู่กั้วคิดว่าถูกวิญญาณร้ายเข้าสิงซะอีก
คุณหมอหลิวพูดออกมาเสียงจืด “มันก็แค่คำสาป”
“คำสาป ถ้าเป็นคำสาปจริงๆ ทำไมครูหลินไม่พูดออกมาว่า ฉันมันเป็นคนเลวล่ะ แต่กลับบ่นว่าฉันมันคนไร้ประโยชน์ ไม่สมเหตุสมผลเลย”
“เรื่องนี้ เธอคงต้องไปถามวิญญาณพวกนั้นดูเองแล้วล่ะ” หมอหลิวพูดขึ้นเสียงเยือกเย็น
“ผมจะเฉลยให้เองก็ได้ ที่จริงมันไม่ใช่คำสาป แต่เป็นการสะกดจิต” จิ้งฉีพูดเสียงดังฟังชัด
“สะกดจิต” ลู่กั้วรู้สึกว่าชักน่าสนใจขึ้นมาแล้ว
“คุณหมอหลิว เมื่อก่อนคุณเป็นนักค้นคว้าที่โรงพยาบาลจิตเวชถูกมั้ย” จิ้งฉีได้ไหว้วานให้หลี่ฟงตรวจสอบมาแล้ว
“เป็นเรื่องปกติ นักเรียนทั่วไปมักจะมีปัญหาด้านสภาพจิต มีจิตแพทย์มาช่วยให้คำปรึกษามันก็เป็นเรื่องดี ดูสิตาของเธอกะพริบถี่แบบนี้ สมัยก่อนคงเคยถูกทำร้ายมา เวลาพูดก็เลยไม่ค่อยจะมองตาคนอื่น นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอขาดความเชื่อมั่นในตนเอง”
“ผมจะเป็นยังไง ก็ไม่เกี่ยวกับคุณ” จิ้งฉีหลบตา
“ฮะ ฮะ ดีนี่ พูดได้ดี ผมไม่เหมือนกับหมอนี่ ดูซิว่าผมเป็นคนยังไง” ลู่กั้วท้า
“เธอก็เหมือนกัน ถึงจะมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง แต่แววตาเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง เหมือนไม่เคยอยู่กับครอบครัวมาก่อน”
“พูดส่งเดช” ลู่กั้วโมโห “บ้านของผมอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดน พ่อแม่ฉันน่ะเก่งกาจที่สุดในกลุ่ม ทุกคนรักผมกันหมดแหละ”
“ฮ่าๆ จริงเหรอ?” เห็นได้ชัดเจนว่าหมอหลิวไม่เชื่อ
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง” จิ้งฉีตะคอก “คุณไม่ต้องแก้ตัว พวกเราสืบดูแล้ว คุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฆ่าตัวตายเมื่อสิบปีก่อน ผู้ชายที่ตายเป็นพี่ชายของคุณ”
“ฮ่าๆ คิดไม่ถึงจริงๆ นี่พวกเธอสืบจนรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ คงไม่ใช่นักเรียนธรรมดาแล้วมั้งเนี่ย” หมอหลิวพูดปนยิ้ม ไม่กลัวจะถูกเปิดโปงความลับแม้แต่น้อย
“แน่นอนอยู่แล้ว ก็ผมเป็น...” ลู่กั้วจะบอกสถานภาพที่แท้จริง แต่ถูกจิ้งฉีห้ามไว้ก่อน
“พวกเราจะเป็นใครไม่เกี่ยวกับคุณ ในปีนั้น พี่ชายที่คุณรักตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ แน่นอนคุณต้องสืบสาวหาความจริง จนรู้เรื่องของคนห้าคนที่เป็นต้นเหตุทำให้พี่ชายคุณต้องตาย คุณก็เลยวางแผนที่จะแก้แค้น”
“ฮ่าๆ เอาเลย พูดต่อสิ” คุณหมอหลิวไม่สะทกสะท้าน
“เพราะมีสองคนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว คุณจึงเลือกลงมือกับคนในครอบครัวเขาแทน คุณอยากจะให้พวกเขาได้ลิ้มรสความเจ็บปวดของการสูญเสียบ้าง คุณสะกดจิตลูกของพวกเขาให้กระโดดลงไป พวกนั้นจึงได้แต่พึมพำว่า ฉันมันคนไร้ประโยชน์ ฉันมันแค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น”
“ดี เหตุผลไม่เลวเลยล่ะ แต่ที่พวกเธอพูดมานี่มีหลักฐานรึเปล่า พวกเธอมีหลักฐานว่าฉันเป็นคนทำไหม ถึงคนที่ตายไปเมื่อสิบปีก่อนจะเป็นพี่ชายฉัน แต่มันก็ไม่ใช่หลักฐานยืนยันว่าฉันฆ่าคน เรื่องจิตเวชก็เหมือนกัน เป็นหลักฐานไม่ได้ ถึงพวกเธอจะบอกว่าตอนที่ห้อยหัวลงไปฉันไม่มีทางจะเห็นพวกเธอได้จากห้องพยาบาล มันก็ไม่ใช่ข้อยืนยันว่าครูหลิวถูกสะกดจิตจึงกระโดดลงไปตาย”
ไอ้เลว! ไม่เสียทีที่เรียนจิตวิทยามา มัดตัวยากมากเสียจจริง
จิ้งฉีจนปัญญา ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะเอาผิดเขาได้ แล้วทั้งหมดก็เป็นเพียงการคิดวิเคราะห์ตามหลักเหตุผลเท่านั้น ถึงหมอหลิวจะยอมรับ แต่สำคัญที่สุดคือต้องหาเหตุผลที่มีน้ำหนักพอจะเป็นหลักฐานมัดตัวไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้
“แกหมายความว่า พวกเราไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าเราห้องหัวอยู่ ในด้านที่แกมองไม่เห็นใช่มั้ย” ลู่กั้วเหมือนจะคิดอะไรได้
“ฮ่าๆ” หมอหลิวหัวเราะ “ใช่ ยืนยันไม่ได้หรอก ฮ่าๆ”
“ดี ผมจะเอาหลักฐานมาให้ดู” ลู่กั้ววิ่งไปยังด้านที่ตัวเองห้อยต่องแต่งอยู่เมื่อวาน “เมื่อวานผมกินซอสมะเขือเทศ แล้วมันก็หยดอยู่บนรองเท้า ตอนเอาเท้าเกี่ยวพื้นจับพวกเขาสองคนเอาไว้ น้ำซอสก็เลยเปื้อนติดอยู่ตรงนี้ไง” ลู่กั้วชี้นิ้วไปที่คราบซอสมะเขือเทศบนดาดฟ้า “นี่ไงหลักฐานที่ยืนยันได้ว่าพวกเราตกไปตรงนี้” ที่จริงแล้วมันเป็นรอยใหม่ที่จิ้งฉีให้เขาทำไว้เมื่อกี้นี้เอง ถึงจะเป็นของปลอม แต่ก็น่าจะเป็นหลักฐานมัดตัวหมอหลิวได้
“เฮอะ พวกเธอนี่อ่อนหัดจริงๆ แกล้งเอาซอสมะเขือเทศหยดไว้แล้วคิดว่ามันจะเป็นหลักฐานได้งั้นเหรอ แค่หมอชันสูตรก็รู้แล้วว่ามันติดอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเธออย่ามาใช้วิธีปัญญาอ่อนอย่างนี้เลย ไม่ได้ผลหรอก”
“แก แกรู้ได้ไง” ลู่กั้วผงะถอยหลัง
“หึ คิดแล้วไม่มีผิด” หมอหลิวเบาใจไปเปลาะหนึ่ง อันที่จริงเมื่อครู่เขาก็ตกใจอยู่เหมือนกัน
นี่จะไม่มีวิธีทำให้หมอนี่ยอมจำนนได้เลยหรือ
จิ้งฉีกำหมัดแน่น
“พวกแกยังเด็ก รอสัก 10 ปีค่อยมาว่ากันต่อแล้วกัน” หมอหลิวทำท่าจะจากไป
ทันใดนั้นประตูดาดฟ้าก็ปิดดังปัง ทั้งสามคนตกใจพร้อมๆ กัน
“ไอ้พวกเด็กสารเลว” ถึงหมอหลิวจะใช้พละกำลังอย่างไรก็เปิดออกไปไม่ได้
“ข้างนอกนั่นมีพวกแกอยู่ใช่ไหม บอกให้มันมาเปิดประตูเดี๋ยวนี้” เขาตะคอกใส่ลู่กั้วและจิ้งฉี ถึงสีหน้าจะเรียบเฉย แต่กิริยาท่าทางดูสับสนหวั่นวิตก
‘ไอ้หมอนี่ยังพอจะมีสมองอยู่บ้าง รู้จักติดยันต์ป้องกันไว้ที่ประตู’
ทั้งลู่กั้วและจิ้งฉีมองหน้ากัน ต่างก็คิดว่าอีกฝ่ายติดยันต์เอาไว้
“โชคร้ายกำลังมาเยือนแล้วล่ะคุณหมอ” ลู่กั้วส่งเสียงดีใจ
“ฮึ ผีเผอ คำส่งคำสาปอะไรกัน ไร้สาระ เรื่องพวกนั้นฉันเป็นคนสร้างข่าวขึ้นมาเอง มันจะมีอยู่จริงได้ยังไง” หมอหลิวมองทั้งสองอย่างเหยียดหยาม
“จริงเหรอ? ก่อนหน้านี้มีการเชิญหมอผีมาปราบตั้งหลายครั้ง แต่เห็นว่าพวกนั้นกลายเป็นโรคประสาทกันไปหมด” จิ้งฉียิ้มเยือกเย็น
“ ฮ่าๆ ไอ้พวกลวงโลกพวกนั้นมันถูกฉันสะกดจิตทั้งนั้น” หมอหลิวหัวเราะเสียงดัง “โลกนี้มันมีคำสาปที่ไหนกัน วิญญาณแค้นบ้าบออะไร ทุกอย่างเป็นฝีมือฉันทั้งหมด” หมอหลิวพูดออกมาอย่างหมดเปลือก
“พวกเขาทั้งห้าคน เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด ไม่บอกให้ใครรู้ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าพี่ชายของคุณถูกฆ่าตาย” ลู่กั้วสงสัย
“ในโลกนี้ฉันกับพี่มีแค่กันและกันสองคนเท่านั้น ตลอดมามีอะไรพวกเราก็คุยๆกันทุกเรื่องเสมอ ถึงตอนนั้นฉันจะอยู่ต่างประเทศก็จริง แต่ฉันก็รู้ว่าเขารักอยู่กับครูของตัวเอง แต่อยู่ๆ ครูคนนั้นก็ฆ่าตัวตายอย่างไม่มีสาเหตุ ทีแรกเขาไม่เชื่อว่ามันเป็นการฆ่าตัวตายจริงๆ จึงพยายามสืบจนรู้ความจริง ว่าไอ้พวกนั้นมันจะข่มขืนเธอ เธอจึงเลือกจะกระโดดลงจากที่นี่เพื่อปกป้องตัวเองจากมลทิน พี่ชายของฉันจดทุกอย่างไว้ในบันทึกประจำวัน ฉันไปพบมันเข้าตอนเก็บข้าวของของเขา จากนั้นมาฉันก็สาบานว่าจะแก้แค้นแทนพี่ให้ได้” หมอหลิวดูฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย
“น่าเสียดาย เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว คนพวกนั้นได้ขึ้นเป็นหัวหน้า บางคนได้ย้ายไปที่อื่น ฉันก็เลยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ครอบครัวของมันแทน แล้วก็สร้างข่าวบอกกับคนอื่นว่าที่นี่ต้องคำสาป ลมปากคนน่ากลัวเสมอ ยิ่งเล่าปากต่อปากยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายฉันจึงเริ่มลงมือแก้แค้น”
“ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณหมอนะ แต่ที่คุณแก้แค้นไปนั่นเป็นลูกหลานของเขาทั้งนั้น ไม่รู้สึกว่ามันเกินไปหน่อยรึไง”
“เกินไป? มนุษย์เราตั้งแต่แรกเกิด ตาชั่งชีวิตก็เริ่มลำเอียงแล้ว พี่ชายฉันทำอะไรผิดงั้นเหรอ พวกมันต่างก็ทำเพื่ออนาคตของตัวเอง เพียงแค่ไม่อยากจะถูกสังคมลงโทษก็เลยฆ่าพี่ชายฉัน แค่นี้ก็ถือว่าเมตตาเกินพอแล้วสำหรับพวกมัน ฉันไม่เคยคิดเสียใจที่ทำลงไปแบบนั้นเลย” แววตาของหมอหลิวเย็นชาไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย มีเพียงเปลวเพลิงแห่งความแค้นเท่านั้นที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณก็น่าจะคิดถึงจิตใจของพี่ชายคุณบ้าง” จิ้งฉีเข้าใจแล้วว่าทำไมที่นี่ถึงมีไอหมอกแห่งวิญญาณปกคลุมอยู่ และประตูถึงได้ปิดเอง
“ความรู้สึกของพี่งั้นเหรอ” หมอหลิวคิ้วขมดว ไม่เข้าใจคำพูดของจิ้งฉี
“ได้ฟังแบบนี้แล้ว ผมคงต้องทำให้คุณได้เห็นความในใจของพี่ชายคุณแล้วล่ะ” จิ้งฉีกัดลิ้นตัวเอง เลือดหยดลงบนพื้นพริบตานั้นก็กลายเป็นแสงสีขาวลอยขึ้นมา ท่างกลางกลุ่มแสงสีขาวนวลนั้นปรากฎเงาร่างของใครคนหนึ่ง คุณหมอหลิวนิ่งงันไปทันที
“พี่...”
“หลิวเฉียน...” แววตาของพี่ชายเต็มไปด้วยความปวดร้าว “เพราะพี่แท้ๆ นายถึงต้องทิ้งจิตใจที่ดีงามของตัวเองไป พี่ไม่น่าเลย”
“พี่...” หมอหลิวยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
“พี่อยู่ที่นี่มาตลอด อยู่คนละมิติกับพวกนาย พี่เห็นนายฆ่าพวกเขาคนแล้วคนเล่า ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่พวกเขาทำกับพี่เลย”
“พี่ ฉันทำเพื่อพี่” หมอหลิวเสียงแข็งอยู่ในลำคอ
“นายไม่ควรปล่อยให้จิตใจมีแต่ความเคียดแค้นเลย อาเฉียน ที่พี่อยากจะเห็นจริงๆ คือเห็นนายมีแต่ความสุข ที่จริงแค่นายเอาสมุดบันทึกไปให้ตำรวจ พวกนั้นก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ไม่ทำให้จิตวิญญาณของนายต้องสกปรกอย่างนี้”
“ฉันรู้ แต่ฉันยอมไม่ได้หรอกที่จะเห็นพวกมันรับโทษติดคุกกันแค่ 10-20 ปีแล้วกลับมาเสวยสุขใช้ชีวิตกันตามสบายได้อีกครั้ง แต่พี่กับครูต้องตายอย่างทรมาน แม้แต่วิญญาณก็ยังต้องล่องลอยไปสู่สุคติไม่ได้ ทั้งหมดเป็นความผิดของพวกมัน”
“ไม่ ไม่ใช่ว่าพวกพี่ไปไม่ได้ แต่พี่ปล่อยนายไว้อย่างนี้ไม่ได้ต่างหากอาเฉียน พี่เป็นห่วงนายนะ”
“ฉัน...” หมอหลิวงงอยู่อย่างนั้น
“พี่ห่วงนาย รู้ดีว่าถ้านายสืบรู้ความจริงทีหลังว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ นายจะต้องไม่ปล่อยคนพวกนั้นแน่ ดังนั้นพี่จึงเขียนความจริงทั้งหมดลงสมุดบันทึก เพื่อให้นายเอาไปให้ตำรวจ เรื่องทุกอย่างจะได้จบ แต่ไม่นึกเลยว่านายจะ...”
“พี่ ฉัน...ฉันเข้าใจแล้วพี่...” หมอหลิวก้มหน้าลง
“ขอโทษนะพี่ ฉันทำให้พี่ผิดหวัง” เขาค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวๆ จนไปถึงริมดาดฟ้า “ฉันเสียใจจริงๆ ไว้เราไปคุยกันในโลกหน้านะพี่” ขณะพูดหมอหลิวก็พุ่งตัวกระโดดลงเบื้องล่าง
“เดี๋ยว!” ลู่กั้วเห็นท่าไม่ดีกระโดดไปจับตัวหมอเอาไว้
“คิดว่าตายแล้วจะแก้ปัญหาได้งั้นเหรอ อย่าคิดนะว่าฉันจะปล่อยให้แกตายง่ายๆ ไม่มีวันซะหรอก” พูดออกมาอย่างโกรธเคือง
“ฉันอยากตาย แกจะเอายังไงกับฉันอีก”
“ความตายก็ไถ่โทษนายไม่ได้หรอก ถ้าคิดจะไถ่โทษให้ตัวเองก็ต้องกล้ารับกับสิ่งที่จะตามมา” เสียงพี่ชายดังก้องกังวานอยู่บนฟากฟ้า
“เข้าใจแล้ว” น้ำตาใสๆ ไหลออกมาจากสองตาของหมอหลิว
...........................
จิ้งฉีและลู่กั้วพยักหน้าให้กัน มองหลี่ฟงควบคุมตัวหมอหลิวจากไปแล้วถอนหายใจยาวออกมาพร้อมกัน
“จบสิ้นซะที...เฮ้อ”ลู่กั้วพ่นลมออกจากปาก
“ใครบอก พวกเขาอยู่ในโลกมนุษย์นานเกินไปแล้ว ถ้าไม่ช่วยล่ะก็ ไม่มีทางได้ขึ้นสวรรค์แน่” จิ้งฉีเตือน
“รู้แล้วน่า สุดท้ายนายก็ต้องพึ่งลูกพี่ลู่กั้วอยู่ดีล่ะว้า” ลู่กั้วอารมณ์บ่จอย ยืนอยู่กลางดาดฟ้าแล้วท่องคาถา
“เหล่าสัมภเวสีทั้งหลาย วิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์ จงกลับไปสู่ภพภูมิที่ควรจะไปในโลกหลังความตาย ความเคียดแค้น ความเกลียด ความหลงมัวเมา ความเสียใจทั้งหมดทั้งมวลจงสลายไปในแสงสว่างอันเจิดจ้านี้”
แสงสีขาวสองดวงลอยขึ้นสู่ฟากฟ้า ถึงแม้ภารกิจของเขาจะลุล่วงไปแล้ว แต่ถ้าหากวัดกันในฐานะตำรวจธรรมดาคนหนึ่ง พวกเขากลับไม่ได้ใช้เหตุผลและหลักฐานที่ตนเองหาได้ มาทำให้ผู้รายยอมจำนน ดังนั้นในข้อนี้พวกเขายังคงพ่ายแพ้อยู่ดี
“ไม่สนแล้ว” ลู่กั้วบิดขี้เกียด “กลับไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทาง”
“เดินทางไปไหน?” เป็นครั้งแรกที่จิ้งฉีคิดตามไม่ทัน
“นายลืมไปแล้วหรือนี่ ก็ดี ลืมแล้วก็อย่าไปเลย” ทันใดนั้นจิ้งฉีก็นึกขึ้นได้ พวกเขานัดหลิงหลงเอาไว้ ถ้าสามารถคลี่คลายคดีนี้ได้ภายใน 1 อาทิตย์ก็ให้รีบตามไปหาเขา ที่นั่นมีเรื่องสนุกรออยู่ จิ้งฉียิ้ม
“เฮ้ย วันนี้แกต้องเลี้ยงข้าวฉันนะ” ลู่กั้วเดินนำอยู่ข้างหน้า หันมาตะโกนบอก
“ก็แล้วมันเรื่องอะไรของฉันล่ะ”
“เพราะฉันไม่มีเงินนะสิ” ลู่กั้วบอกเหตุผล ครั้งที่แล้วหลิงหลงเอาเงินเขาไปกินเหล้าหมดแล้ว ตอนนี้ในบัญชีเงินเก็บของเขาจึงเท่ากับ 0 คิดแล้วก็เจ็บใจ
“ไอ้งี่เง่าเอ๊ย” จิ้งฉีตะโกนไล่หลัง
“ฉันมันไร้ประโยชน์ ฉันมันคนไร้ค่า...”
“คำสาป คำสาปแน่ๆ”
เลือดไหลรินหยดลงไปบนพื้น
พริบตานั้นก็กลายเป็นแสงสีขาวลอยขึ้นมา
“คำสาป คำสาปแน่ๆ”
เลือดไหลรินหยดลงไปบนพื้น
พริบตานั้นก็กลายเป็นแสงสีขาวลอยขึ้นมา
ชื่อ ด.ช. ภัทรกร รัคนชินกร ม.3/2 เลขที่ 12
ตอบลบความ สวยงาม 2 คะแนน
การใช้ภาษา 2 คะแนน
เนื้อหา2 คะแนน
องค์ประกอบ2 คะแนน
เทคนิก 2 คะแนน
รวม10คะแนน
ชื่อ ด.ช.กีฬา กุลวัฒโฑ ม.3/2 เลขที่ 3
ตอบลบความสวยงาม 2 คะแนน
การใช้ภาษา 2 คะแนน
เนื้อหา 2 คะแนน
องค์ประกอบ 2 คะแนน
เทคนิค 2 คะแนน
รวม = 10 คะแนน
ชื่อ ด.ช. ธนัช ตระกูลนำโชคชัย ม.3/2 เลขที่ 15
ตอบลบความสวยงาม 2 คะแนน
การใช้ภาษา 2 คะแนน
เนื้อหา 1 คะแนน
องค์ประกอบ 2 คะแนน
เทคนิค 1 คะแนน
รวม = 8 คะแนน
ชื่อ ด.ญ.ณัฐชา โพธิสูง ชั้น ม.3/2 เลขที่ 20
ตอบลบความสวยงาม 2 คะแนน
การใช้ภาษา 2 คะแนน
เนื้อหา 2 คะแนน
องค์ ประกอบ 2 คะแนน
เทคนิค 1 คะแนน
รวม 9 คะแนน