บทที่ 4
ชั้นเรียนใหม่
ชั้นเรียนใหม่
“ทำได้ดีมาก พวกเธอเป็นทีมที่สองที่ปฎิบัติภารกิจได้สำเร็จ เอาล่ะฉันจะขอประกาศอย่างเป็นทางการล่ะนะ บัดนี้ลู่กั้วและไป๋จิ้งฉีได้รับการบรรจุเข้าร่วมองค์กรของเราอย่างสมบูรณ์แล้ว” ผู้อำนวยการกล่าวอย่างพอใจในผลงานของทั้งสอง
“นับแต่นี้เป็นต้นไปพวกเธอจะกลายเป็นทีมเดียวกันอย่างแท้จริง ฉะนั้นต่อไปนี้ต้องร่วมแรงร่วมใจกันให้ดี”
“หา!”
“ทำไมต้องให้ผมอยู่ทีมเดียวกับไอ้กะเทยนั่นด้วย” ลู่กั้วไม่พอใจคัดค้านเสียงแข็ง “ครั้งนี้ผ่านมาได้ก็เพราะฝีมือผมคนเดียวนะ ไอ้หมอนี่ไม่ได้ออกแรงสักนิด แถมยังทำตัวเงอะงะจนเกือบจะถูกกระชากวิญญาณไปด้วยซ้ำ...รับคนแบบนี้เข้าองค์กรไม่ดีมั้งครับท่าน ผอ.”
“เออ ใช่ ฉันยอมรับ ด้านเวทมนตร์ฉันสู้นายไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องความฉลาดล่ะก็ นายเทียบฉันไม่ติดเลยล่ะเจ้าลูกหมาป่า ยังจะมีหน้ามาบอกว่าฆาตกรเป็นมนุษย์ น่าขันชะมัด เรื่องแบบนี้แค่ใช้หัวแม่เท้าคิดก็คิดออกแล้วว่าเป็นฝีมือของวิญญาณร้าย ก็อย่างว่าล่ะนะคนบางคนถูกทิ้งให้อยู่กับหมาป่ามาตั้งแต่เด็ก ก็เลยไม่ถนัดเรื่องที่ต้องใช้สมองทำงาน”
จิ้งฉีตอกกลับจนคนฟังแทบหงายหลัง
“ยังไงก็เก่งกว่ากะเทย ครึ่งหญิงครึ่งชายก็แล้วกัน” ลู่กั้วโกรธจัดลมออกหู
“เฮ้ย ระวังปากหน่อยเจ้าหมาป้า หนอย...คำก็กะเทยสองคำก็กะเทย แล้วไอ้ครึ่งหญิงครึ่งชายนี่มันหมายความว่ายังไง หน้าอย่างนายมองผาดเดียวก็รู้แล้วว่าคงไม่ได้รับมาอบรมสั่งสอนมาก่อน” จิ้งฉีฉุนขาด
อาจารย์ถีเอ่อและอาจารย์ถังเฉานั่งเหงื่อตกฟังเสียงลูกศิษย์เถียงกันไปมาอยู่ข้างนอกห้อง
“ท่าน ผอ.แน่ใจแล้วหรือครับที่จะให้สองคนนั่นอยู่ทีมเดียวกัน” คุณผู้ช่วยพูดเบาๆ “ทีมที่ดีต้องมีความสามัคคี เห็นพวกเขาเอาแต่กัดกันอย่างนี้แล้ว เกรงว่าพอเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จะไม่ใช่แค่ไม่ช่วยเหลือกัน แต่อาจจะทำร้ายกันเลยก็ได้นะครับ”
“อืม เชื่อฉันสิ ไม่เป็นไรหรอกหน่า ฉันไม่ได้ต้องการให้พวกเขาใช้พละกำลังช่วยเหลือกัยสักหน่อย แต่อยากจะให้เอานิสัยใจคอค้ำจุนกันต่างหาก ดูจากภารกิจครั้งนี้สิก็ผ่านมาได้ด้วยดีไม่ใช่เหรอ?” ผู้อำนวยการกล่าวยิ้มๆ
“ออแฮ่ม!” ท่าน ผอ.กระแอมไอเพื่อยุติการโต้เถียงของเด็กหนุ่มทั้งคู่ “จำเอาไว้ให้ดี พวกเธอทั้งสองเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยปฎิบัติการพิเศษแล้ว จะต้องรักษาสถานภาพนี้ให้เป็นความลับสุดยอด เมื่อใดก็ตามที่สถานภาพของใครคนหนึ่งถูกเปิดเผย หรือมีบุคคลภายนอกล่วงรู้ อนุญาตให้อีกฝ่ายปิดความทรงจำส่วนนั้นของเพื่อนร่วมทีมได้และหากมีภารกิจเราจะแจ้งพวกเธอโดยเร็วที่สุด แต่ตอนนี้ทางเราได้เตรียมสถานภาพทางสังคมและที่อยู่แห่งใหม่เอาไว้ให้พวกเธอแล้ว”
“อ้าว พวกเราพักอยู่ในวิทยาลัยไม่ได้แล้วเหรอครับ?” ลู่กั้วยังอาลัยอาวรณ์สถานศึกษาที่อยู่มานานนับสิบปี
“ก็ไม่เชิง เพียงแต่พวกเธอจะอาศัยอยู่ในองค์กรอย่างเดิมไม่ได้วางใจเถอะ องค์กรของเราเป็นส่วนหนึ่งที่แทรกอยู่ในวิทยาลัย TMX ยังไงเสียพวกเราก็ไม่ส่งเธอไปอยู่ที่ไกลๆ หรอกน่า เพื่อความสะดวกในการติดต่อ ทางเราจะส่งพวกเธอเข้าไปเรียนในวิทยาลัยทั่วไปของ TMX ที่นั่นสอนแต่วิชาธรรมดาๆ ให้พวกมนุษย์ธรรมดาๆ ได้เรียนกัน”
“แล้วที่พักหล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง ทางเราจัดเตรียมไว้ให้แล้วเหมือนกัน”
“ถ้างั้นก็หมายความว่าพวกเราเป็นหน่วยงานลับ วิทยาลัยของเราก็เป็นวิทยาลัยลับน่ะสิครับ”
“จิ้งฉีพูดถูก ดังนั้นพวกเธอต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด มันจะเป็นผลดีต่อพวกเธอและวิทยาลัยด้วย เข้าใจไหม?” คุณผู้ช่วยเพิ่มเติม
“ถ้าเข้าใจแล้ว ก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ลู่กั้ว ไป๋จิ้งฉี ฉันขออวยพรให้พวกเธอประสบความสำเร็จในทุกภารกิจนะ” ผู้อำนวยการยื่นมือออกมาจากหลังม่าน จับมือแสดงความยินดีกับเด็กหนุ่มทั้งสองคน
....................
บนทางเท้าในเขตมัธยมปลายของวิทยาลัย TMX
ลู่กั้วเอียงคอปรายตามองจิ้งฉีที่เดินอยู่ข้างๆ “เฮอะ เมื่อไหร่จะตายๆ ไปซักที”
“นั่นน่ะ ฉันน่าจะเป็นคนพูดถึงจะถูก” จิ้งฉีตอกกลับ
“แล้วอย่าเที่ยวไปบอกใครว่ารู้จักฉันล่ะ” ลู่กั้วไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมผู้อำนวยการถึงต้องเจ้ากี้เจ้าการจับพวกเขามาร่วมทีมเดียวกันด้วย
“อย่างกับฉันอยากจะรู้จักนายนักนี่”
....................
“นักเรียน วันนี้จะแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนที่ย้ายเข้ามาใหม่สองคน เอาล่ะ เชิญเข้ามาได้จ้ะ” อาจารย์ผู้สอนเชิญนักเรียนใหม่เข้ามาในห้อง
“อ่า...สวัสดีครับทุกๆ คน ผมชื่อลู่กั้ว ผมสีขาวนี่เป็นมาตั้งแต่เกิดแล้วนะครับ” ลู่กั้วแนะนำตัวพร้อมกับทำท่าชี้ไปที่เส้นผมของตัวเองอย่างน่ารักน่าชัง แต่ไม่มีปฎิกิริยาตอบรับใดๆ เพื่อนนักเรียนทั้งห้องเงียบสนิท
“ผมไป๋จิ้งฉี ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ ส่วนคนที่ดูโง่ๆ นี่ ผมไม่รู้จักนะ” จิ้งฉีพูดออกมาน่าตาเฉย แล้วก้มหัวลงอย่างมีมารยาท
“ต๊าย! หล่อจัง ยังกะตุ๊กตาแน่ะ” กลุ่มนักเรียนหญิงเริ่มส่งเสียงซุบซิบ
“เท่กว่าคนเมื่อกี้เยอะเลย”
“จริงด้วย หน้าหวานขนาดนั้น ผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่นะ”
“ผู้ชายน่า คงมาแบบกึ่งๆ ไงเธอ ทั้งสวยทั้งหล่อ อินเทรนด์จะตาย”
“ท่าทางก็ดูดี น่ารักจัง”
“ใช่ๆ เทียบกับตาผมเงินที่ทำท่าคิขุเมื่อกี้แล้ว หล่อกว่าเยอะเลย”
ทุเรศจริ้ง แม่พวกนี้ ตาไม่มีแววเอาซะเลย
ลู่กั้วฉุนขึ้นมา มองไปที่จิ้งฉีอย่างไม่สบอารมณ์
“นักเรียนใหม่ทั้งสองคนนั่งแถวหลังสุดเลยนะจ๊ะ” อาจารย์ชี้ไปที่โต๊ะตัวสุดท้ายริมหน้าต่าง
“ครับ”
ขณะเดินไปที่โต๊ะ พวกเขาผ่านนักเรียนหญิงรูปร่างบอบบางคนหนึ่ง หน้าตาสะสวยของเธอดึงดูดสายตาของทั้งสองให้มองไปพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย นักเรียนหญิงคนนั้นมองตอบและส่งยิ้มที่อบอุ่นมาให้ ที่แปลกคือพวกเขาเห็นแมวสีดำตัวหนึ่งนั่งเกาะอยู่บนไหล่ของเธอด้วย แต่เหมือนกับว่าเพื่อนทั้งห้องจะไม่มีใครเห็นเจ้าเหมียวตัวนี้เลย
“มองอะไร รีบๆ ไปซะเจ้าตัวเหม็น” แมวดำตัวนั้นแยกเขี้ยวจ้องมาที่พวกเขา
“ไอ้แมวเฮงซวย เดี๋ยวพ่อจับกินซะเลยนี่” ลู่กั้วที่อารมณ์กำลังคุกรุ่นอยู่แล้ว ถลึงตาจ้องกลับไปยังเจ้าเหมียวอย่างกับจะกินจริงๆ
....................
ช่วงพักกลางวัน
จิ้งฉีถูกสาวๆ ตามประกบล้อมหน้าล้อมหลังอย่างกับแซนด์วิช
“เธอแซ่ไป๋ใช่มั้ยจ๊ะ ไม่ค่อยจะเคยได้ยินมาก่อนเลย ย้ายมาจากโรงเรียนไหนล่ะ?”
“แล้วมีแฟนรึยัง”
ลู่กั้วซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงเจ๊าะแจ๊ะของสาวๆ พวกนั้นแล้วก็รู้สึกฉุนขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“หนวกหู!”
นักเรียนหญิงที่เพิ่งจะทำหน้าระรื่น หันไปแขวะทันที “ยุ่งอะไรตาเฒ่าน้อย ฉันพูดกับจิ้งฉีเกี่ยวอะไรกับนาย”
“นั่นสิ น่าเกลียดชะมัด ทุเรศ”
ความอดทนของลู่กั้วขาดผึงลง ความเกรี้ยวกราดกำลังจะระเบิดออกมา แต่ทว่า
“ลู่กั้ว ออกไปเดินเล่นข้าวนอกกันไหม” เสียงหวานใสลอยเข้ามาสกัดไว้เสียก่อน เป็นสาวสวยที่มีแมวดำเกาะอยู่บนไหล่นั่นเอง เจ้าแมวน่าเกลียดนั่นยังคงจ้องเขาไม่วางตา
‘หึ ได้โอกาสไล่ไอ้แมวผีนี่แล้ว’
ลู่กั้วคิดในใจ
“อย่าไปใส่ใจเลย จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้คิดร้ายอะไรกับเธอหรอก” นักเรียนหญิงพูดยิ้มๆ
“อืม งั้นเหรอ ขอบใจนะ” ลู่กั้วสังเกตเห็นเจ้าแมวผีนั่นแยกเขี้ยวใส่ เหมือนไม่พอใจที่เห็นเขาเดินข้างๆสาวสวยคนนี้
“โอ๊ะ มีใบไม้ติดอยู่บนไหล่เธอแน่ะ” ทำทีเป็นเอื้อมมือไปจะคว้าเอาตัวเจ้าแมวดำ
“ไปให้พ้น อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ” แมวน้อยตวัดกรงเล็บข่วนไปสองที ปรากฎรอยเลือดซึมเป็นแนวยาวอยู่บนหลังมือของลู่กั้ว
“กล้าข่วนฉันเรอะ วอนหาที่ตายซะแล้ว” ลู่กั้วโกรธจัด
“เอ๊ะ นี่เธอเห็นเข่อถางั้นเหรอ?” นักเรียนหญิงแปลกใจ “คิดว่ามีแต่ฉันซะอีกที่เห็นเขาได้ เธอก็ด้วยงั้นเหรอ?”
“ใช่ นี่มันคงไม่ได้แผลงฤทธิ์อะไรใช่มั้ย?”
“ไม่นี่ เข่อถาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ตั้งแต่เกิดมาฉันก็เห็นเขาอยู่ข้างกายมาตลอดไม่เคยห่างเลย” เด็กสาวพูดด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
“แต่มันเป็นแมวปีศาจ”
“ฉันรู้” เธอตอบ ไม่ได้มีทีท่าแยแสกับคำว่าปีศาจเลยแม้แต่น้อย
“งั้นเหรอ” ลู่กั้วพยักหน้า เหมือนจะเข้าใจ ดูๆ ไปแล้วเจ้าแมวดำตัวนี้ก็ไม่ได้มีท่าทางก้าวร้าวดุดันอย่างแมวปีศาจทั่วไป
“เออจริงสิ ฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเองเลย ฉันชื่อชาร์ลิซนะจ๊ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” ชาร์ลิซทาบฝ่ามือลงบนอกแนะนำตัวเองแล้วยิ้มให้ลู่กั้ว
“ฉันลู่กั้ว” ลู่กั้วตอบกลับอย่างงงๆ ทำเอาชาร์ลิซหัวเราะร่า
“ฮิๆ ฉันรู้แล้วน่า”
....................
หลังเลิกเรียน
“เดินตามทำไมเนี่ย ไปห่างๆ ฉันหน่อยไป๊” ลู่กั้วตะคอกแล้วเดินเลี่ยงออกมารักษาระยะห่างระหว่างตัวเองกับจิ้งฉีไว้
“นายบ้าหรือเปล่าเนี่ย ฉันจะเดินกลับบ้านเกี่ยวอะไรกับนาย นายน่ะแหละเดินไปห่างๆ เลย”จิ้งฉีต่อคำ ค้อนไปที่เพื่อนร่วมทีม
“นี่แกจะสะกดรอยฉันงั้นเหรอ?” ลู่กั้วทำหน้าเหมือนรู้ทันความคิดของฝ่ายตรงข้าม
“สะกดรอยงั้นเหรอ? นี่นายคิดว่านายเป็นใครกัน? ฉันถึงต้องมาตามสะกดรอยคนอย่างนายเนี่ย” จิ้งฉียิ้มเหยียดๆ อย่างระอา
สองคู่หูคู่แค้นเดินไปทะเลาะกันไปจนถึงหน้าอพาร์ตเมนท์หลังหนึ่ง
“อย่าบอกนะว่า แกก็อยู่ที่นี่” ลู่กั้วตวาดเสียงแหลม
“แล้วถ้าฉันจะอยู่ที่นี่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย” จิ้งฉีเริ่มจะฉุนขึ้นมาแล้ว
“เฮ้ย ทำไมกดเลข 18 วะ”
“หือ? อย่าบอกนะว่านายก็อยู่ชั้น 18”
“ใช่ ฉันอยู่ชั้น 18 นี่แกตั้งใจจะกัดฉันเรอะ?”
“กัดนายงั้นเหรอ? ฉันกลัวเป็นโรคหมาบ้าน่ะ”
“นี่มันบ้านฉันนะ แกเอากุญแจออกมาทำไม”
“บ้านนายที่ไหน นี่บ้านฉันชัดๆ”
“หา! หรือว่า...” ทั้งสองคิดถึงความเป็นไปได้ที่น่ากลัว แล้วยื่นกุญแจคนละดอกออกมาเปรียบเทียบกัน สองคู่กัดจ้องตากันไปมา
รู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันที
นี่ฉันต้องพักอยู่กับเจ้าหมอนี่เหรอเนี่ย?
เข้ามาในบ้านแล้ว ทั้งลู่กั้วและไป๋จิ้งฉีนั่งอยู่คนละด้านของโซฟาจ้องหน้ากันเขม็ง เรื่องเลวร้ายที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่เพียงแต่เรียนห้องเดียวกัน นี่ทั้งคู่ยังต้องมาพักอยู่ด้วยกันอีก ถึงจะมีห้องนอนคนละห้องก็เถอะ แต่พอคิดว่าต้องทนเห็นหน้ากันตั้งแต่เช้าจรดค่ำแล้วก็พานรู้สึกอึดอัดใจยังไงไม่รู้
“เป็นแบบนี้แล้ว...ไหนลองบอกมาซิ นายจะเอายังไง”จิ้งฉีถอนหายใจยาว
“อะไร เอาไง? เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของฉันซักหน่อย”
“งั้นมันความผิดฉันงั้นรึไง?”
“ไม่มีทางอื่น งั้นมาทำสัญญากัน” ไป๋จิ้งฉีกุมขมับ จนปัญญาจะแก้ปัญหา
“สัญญาก็สัญญา กลัวซะที่ไหน” ลู่กั้วเท้าคางท่าทางกวนโมโห
“ข้อที่หนึ่ง ห้ามขับถ่ายเรี่ยราดในบ้าน”
“ชิ เรื่องอย่างนี้ใครไม่รู้ก็โง่แล้ว”
“ข้อสอง ห้ามนายเข้าไปในห้องนอนของฉันเด็ดขาด”
“แกก็เหมือนกัน”
“ข้อสาม ในคืนพระจันทร์เต็มดวงหมาป่าห้ามหอน”
“ประสาทรึเปล่า ฉันไม่ได้เป็นหมาป่าจริงๆซะหน่อย”
“และข้อสุดท้าย สำคัญที่สุด ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาดว่าเราอยู่ด้วยกัน”
“เฮอะ ฉันกำลังจะบอกอยู่พอดี”
“ตกลงตามนี้ ลูกผู้ชายพูดแล้วห้ามคืนคำนะ”
เอาอีกแล้ว เสียงโช้งเช้งของคมดาบจากฝีปากทั้งสองกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วห้องอีกแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น