วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คู่ปริศนา บทที่7 เงาทมิฬ

บทที่ 7
เงาทมิฬ


“จิ้งฉี”
หลังจากเข้าพบผู้อำนวยการแล้ว อาจารย์ถีเอ่อก็เรียกจิ้งฉีไว้ “การต่อสู้ครั้งแรกคงจะหนักมากสินะ” เขายิ้มอย่างอ่อนโยนมองที่ลูกศิษย์ ไม่มีความคิดจะต่อว่าเลยแม้แต่น้อย
“ขอโทษครับอาจารย์” ขอบตาของจิ้งฉีร้อนผ่าว แน่นหน้าอกอย่างแรง “อาจารย์ลำบากสอนผมมาตั้ง 5 ปี แต่ผมมันอ่อนแอ ใช้พลังอะไรไม่ได้ซักอย่าง เอาแต่ยืนเซ่อซ่าอยู่กับที่ ไม่มีแรงแม้จะตอบโต้เลยด้วยซ้ำ” เขารู้ตัวดีว่าถ้าไม่มีลู่กั้ว ตัวเองคงจะตายไปเป็นร้อยครั้งเข้าให้แล้ว
“เจอคู่ต่อสู้ไม่ธรรมดาอย่างนั้น ก็ต้องมีช็อกกันบ้างเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว” อาจารย์ถีเอ่อพยายามหาวิธีพูดกับจิ้งฉี “เธอจะมีชีวิตจมอยู่ในอดีตไม่ได้นะจิ้งฉี”
จิ้งฉีเงียบไม่ตอบสักคำ
“ฉันรู้ว่าไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้นทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ สร้างบาดแผลขึ้นในใจของเธอ ทำลายจิตวิญญาณของเธอแต่ตอนนี้เธอก็ก้าวขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยพิเศษแล้ว ถ้าไม่ยอมออกมาจากเงามืดนั่นเสียที เธอก็จะไม่มีวันเข้มแข็งได้เลยนะจิ้งฉี”
“ผมเคยสัญญาว่าผมจะต้องแข็งแกร่ง ผมจะต้องช่วยคนๆ นั้นให้ได้” จิ้งฉีสีหน้ามุ่งมั่นขึ้น ถึงจะพูดไม่ค่อยเต็มเสียงก็เถอะ
“ดี มีความตั้งใจดี” ถีเอ่อยิ้มออกมาอีกครั้ง “ที่จริงด้วยไหวพริบและพลังของเธอในตอนนี้ น่าจะฝ่าทะลุสิ่งที่ปิดกั้นใจเธอออกมาได้ไม่ยาก ติดอยู่ที่ว่า เธอยังไม่เชื่อใจตัวเอง ก็เลยสะกดพลังตัวเองเอาไว้”
“จิ้งฉี โอกาสที่เธอจะพบคนแบบลูซิเฟอร์และคนที่เธอเคยพบในอดีตในโลกนี้น่ะ มีไม่มากนักหรอก เธอก็เป็นคนมีฝีมือ มีความสามารถคนหนึ่ง อย่าไปคิดว่าตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้ เธอต้องเชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ เชื่อว่าตัวเองทำได้” ถีเอ่อเข้าใจดีว่า เงามืดในอดีตที่ตามเกาะกินหัวใจของเด็กหนุ่มอยู่นั้นสามารถทำลายทุกๆ อย่างของจิ้งฉี ทำให้เขาหมดความเชื่อมั่น หมดกำลังใจ และหมดแม้กระทั่งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่ว่าจิ้งฉีกลับเหมือลอย หวนคิดไปถึงดวงตาสีม่วงท่ามกลางทะเลเพลิงอันร้อนแรง ลูซิเฟอร์ก็มีตาสีม่วง พวกเขาอาจจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันก็ได้
“ลูซิเฟอร์ไม่ใช่ฝ่ายมารธรรมดา ครั้งหน้าถ้าพบกัน พวกเธออย่าไปปะทะกับเขาซึ่งๆ หน้าเด็ดขาด ปล่อยให้อาจารย์จัดการเอง เข้าใจมั้ย” ถีเอ่อสั่งเอาไว้
“ครับ แต่ลู่กั้วก็สู้กับเขาได้สูสีนะครับ มีแต่ผมที่เอาแต่ยืนงงอยู่ห่างๆ” จิ้งฉีรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“ลู่กั้วน่ะ ถึงจะปากดีไม่ยอมใครบ้าง แต่ก็ไม่เคยยอมปล่อยให้ใครอยู่ในอันตรายคนเดียวหรอก คงจะเป็นเพราะโตมาในฝูงหมาป่าล่ะมั้ง” ถีเอ่อรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเด็กทั้งสองไม่ค่อยจะดีนัก “อย่าไปคิดเล็กคิดน้อยเลยจิ้งฉี ยังมีอะไรๆ ที่เธอต้องเรียนรู้จากลู่กั้วอีกเยอะ”
แต่ทว่าเมื่อคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ในห้องผู้อำนวยการ จิ้งฉีก็รู้สึกฮึดฮัดฉุนเฉียวเจ้าเพื่อนคู่หูขึ้นมาทันที มีอย่างที่ไหนพูดจาว่าเขาเสียจนไม่เหลือชิ้นดี
ถึงพลังของลู่กั้วจะทิ้งห่างจิ้งฉีอย่างไม่เห็นฝุ่น แต่เมื่อย้อนกลับไปมองความวุ่นวายปั่นป่วนที่เขาก่อขึ้นตอนชี้ตัวฆาตกรแล้วล่ะก็ เอาความเก่ง ผลงาน และความเสียหาย มาหักลบดูแล้วก็จบเห่ พวกเขาเป็นหน่วยปฎิบัติการพิเศษไม่ใช่หน่วยทะเลาะวิวาทเสียหน่อย จะมาทำอะไรส่งเดชได้ยังไง
“ฮ่าฮ่า นิสัยป่าเถื่อนนั่นน่ะ มันแสดงให้เห็นถึงความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปของเขาล่ะ เพื่อปกป้องสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก็เลยต้องทำตัวให้คนอื่นเกรงกลัว” คิดถึงคนสำคัญสุดของตัวเองแล้ว จิ้งฉีก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา
“ผมรู้ว่าผมจะต้องช่วยคนๆ นั้น แต่ว่า...” เสียงหนึ่งดังสะท้อนขึ้นในหัว


อ่อนแอ แกมันอ่อนแอ
และคงดังกังวานย้ำอยู่อย่างนั้น
“พูดไปก็เหมือนฝันกลางวัน” เสียงค่อยๆ ลอดผ่านริมฝีปากออกมาเบาๆ “พลังของคนพวกนั้นคงไม่ด้อยไปกว่าพลังของอาจารย์ ไอ้กระจอกอย่างผมเอาชนะไม่ได้หรอก”
ความไม่เชื่อมั่นในตัวเองนี่แหละ คือจุดอ่อนของเธอ จิ้งฉี
อาจารย์ถีเอ่อทอดถอนใจ
“จิ้งฉีถ้ามีโอกาสฉันอยากจะแนะนำให้พวกเธอรู้จักคนๆ หนึ่ง”
“ใครหรือครับ?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะหสวิธีให้พวกเธอมาเจอกันเอง...เขาน่าจะช่วยเธอได้” พูดจบ ถีเอ่อก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ครับ”


....................



โรงอาหารของวิทยาลัย TMX
จิ้งฉีมองดูลู่กั้วที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกางแขนจนศอกชี้ ตักอาหารในจนากินอย่างตะกละตะกลาม เลอะเทอะมูมมามเสียจนคนมองกินอะไรไม่ลง
“นี่ไม่เอาใช่มั้ย?” เจ้าผมเงินคว้าหมับไปที่น่องไก่ในจานของจิ้งฉี
“ชิ พวกกะเทยก็งี้แหละ เวลากินก็ยังงอแงเลือกมาก”
“นายว่าใครเป็นกะเทย” ถึงจะคิดเรื่องอื่นอยู่ แต่พอถูกแหย่เข้าหน่อยจิ้งฉีก็ฮึดฮัดขึ้นทันที
“อร่อยจัง” ลู่กั้วไม่สนใจ หยิบซี่โครงหมูของฝ่ายตรงข้ามยัดเข้าปากไปอีกชิ้น
อาจารย์ถีเอ่ออยากจะให้ฉันเอาอย่างเจ้าบ้าเนี่ยนะ
มองลู่กั้วที่กินไปดูดนิ้วไปไม่ได้
“นี่ถ้าแกไม่กิน ฉันขอหมดเลยละกัน” พูดยังไม่ทันจบก็ดึงจานข้าวของจิ้งฉีเข้ามาตรงหน้า
“ฉันยังไม่ได้กินเลยนะ เจ้าหมาตะกละ” จิ้งฉีดึงจานกลับ
“ขอแค่เป็นของฟรี จะมากจะน้อยแค่ไหนฉันก็จะกินให้หมด” ลู่กั้วกระชากจานกลับเข้ามาเต็มแรง แล้วจานอาหารก็ถูกดึงไปมาอยู่อย่างนั้น
“เธอสองคนอยู่นี่เอง” เสียงใสๆ ดังขึ้น ทั้งสองหยุดการยื้อแย่งลงทันที
“ชาร์ลิซ” ลู่กั้วหน้าแดง รีบปล่อยจาน เช็ดมือที่เปื้อนน้ำมันเข้ากับกางเกง
“กำลังตามหาตัวพอดี” เจ้าแมวดำเข่อถายังคงนั่งนิ่งอยู่บนไหล่ของเธอจ้องมองมาที่ลู่กั้วเขม็ง
“พวกเธอรู้ใช่มั้ย ว่าอาทิตย์หน้าชั้น .ปลายของเราจะจัดงานปาร์ตี้”
“ปาร์ตี้?” จิ้งฉียังไม่รู้เรื่อง
“อื้ม ปาร์ตี้แฟนซีน่ะ เพื่อนๆ อยากจะเต้นรำกับพวกเธอมากเลย”


ชิ ชาร์ลิซเอาแต่หันไปคุยกับไอ้หน้าหวาน ทุเรศชะมัด
ลู่กั้วไม่สบอารมณ์
“งั้นเหรอ ฉันไม่มีอารมณ์จะไปร่วมงานหรอก แต่ว่าเจ้าหมาป่านี่คงอยากจะออกงานจนเนื้อเต้นแล้วล่ะมั้ง?” จิ้งฉีชี้ไปที่ลู่กั้ว
“ลู่กั้วน่ะไปแน่อยู่แล้ว แต่ว่าเธอก็ต้องไปให้ได้นะจิ้งฉี ขอร้องล่ะ”
“อย่าไปขอร้องคนพรรค์นั้นเลยชาร์ลิซ ไม่ไปก็ดีแล้ว ไอ้หมอนี่จะทำให้งานไม่สนุกซะเปล่าๆ” ลู่กั้วทนฟังไม่ไหว
“ไม่ได้นะ งานแบบนี้จิ้งฉีไม่ไปไม่ได้ เธอต้องไปร่วมงาน ตกลงตามนี้นะ ฉันไปล่ะ” พูดจบชาร์ลิซก็เดินจากไป
“เฮ้ย นี่นายยังไม่ได้ไล่เจ้าแมวนั่นไปอีกเหรอ” จิ้งฉีถามขึ้น
“ชิ มีความสามารถก็ไปจัดการเองสิ”
“ฮึ ไอ้คนบางคนไร้น้ำยามากกว่าล่ะม้าง” จิ้งฉีเปรยเสียงเรียบพลางยกน้ำชาขึ้นดื่ม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แกว่าใคร คนที่เอาแต่ยืนตัวสั่นอย่างแก ไม่มีสิทธิ์มาว่าฉัน” ลู่กั้วโมโหจัดทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ แผ่นไม้กระดานส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะแตกออกเป็นรอยยาว อาหารที่ยังไม่ทันจะกินให้หมดหกกระจาย
“นี่...” เพื่อนนักเรียนที่เป็นเวรทำงานในโรงอาหารเดินเข้ามาเห็นโต๊ะแตก เศษอาหารเรี่ยราดเต็มพื้นและสายตาที่แทบจะฉีกทึ้งฝ่ายตรงข้ามของสองหนุ่ม แล้วถามออกมาว่า “ค่าเสียหายใครจะจ่าย?”
“เขา” ทั้งสองชี้นิ้วไปยังฝ่ายตรงข้ามพร้อมกัน
“ชิ” ก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปคนละทาง




อีกด้านหนึ่งในโรงพยาบาล TMX
“เสี่ยวอ้าย ปาร์ตี้อาทิตย์หน้าเธอต้องไปให้ได้นะ” ชาร์ลิซนั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าขาวซีดของเด็กสาวบนเตียง
“แต่...แต่ว่า...” เสี่ยวอ้ายรู้สภาพตัวเองดี “พรุ่งนี้ฉันก็จะผ่าตัดแล้ว โอกาสสำเร็จมีแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์” ประกายในแววตาของเธอค่อยๆ อ่อนลง
“ไม่เป็นใรหรอกน่า...ถ้าเป็นเสี่ยวอ้ายล่ะก็ ต้องสำเร็จอยู่แล้ว เธอเป็นคนดีแล้วก็น่ารักด้วย เทวดาต้องคุ้มครองเธอแน่ๆ เชื่อฉันสิ”
“ขอบใจนะชาร์ลิซ” เสี่ยวอ้ายน้ำตาคลอ
“พอถึงวันนั้นฉันจะช่วยแต่งตัวให้สวยๆ จิ้งฉีจะต้องเข้ามาโค้งให้และขอเต้นรำกับเธอ” ชาร์ลิซพูดยิ้มๆ “ฉะนั้น เธอต้องรีบหายไวๆ นะเสี่ยวอ้าย”
“อื้ม ฉันจะต้องหายแน่นอน” เสี่ยวอ้ายหวนนึกถึงภาพของจิ้งฉี ที่เธอได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ ในใจก็เกิดมีพลังฮึกเหิมขึ้นมา


เธอจะต้องหาย เสี่ยวอ้าย
ชาร์ลิซคิดอยู่ในใจ

“ไม่มีประโยชน์หรอกชาร์ลิซ เขาอยู่ได้ไม่เกินวันพรุ่งนี้แล้ว...”เข่อถามองมือของเด็กสาวทั้งสองที่จับกุมกันไว้มั่นอย่างเวทนา
“ผมรู้ว่าผมจะต้อง
ช่วยคนๆ นั้น แต่ว่า...”
“อ่อนแอ แกมันอ่อนแอ”
“ไอ้กระจอกอย่างผมเอาชนะไม่ได้หรอก”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น