วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คู่ปริศนา บทที่9 คดีโรงเรียนฆ่าตัวตาย

บทที่ 9
คดีโรงเรียนฆ่าตัวตาย


ฉันมันคนไร้ประโยชน์ มีชีวิตอยู่ต่อไปก็เท่านั้น คนอย่างฉันเกิดมาบนโลกนี้เพื่ออะไรกัน? ฉันมันก็แค่คนไร้ค่าคนหนึ่งเท่านั้น


“รายที่สาม” หลี่ฟงเอาผ้าขาวปิดห่อร่างผู้ตาย
“ถ้าถูกสาปก็ยังดีหน่อย” หลิงหลงพูดเสียงเบาเอื่อย สายตามองตรงไปยังตึกเรียนเบื้องหน้า
“ดี?” ร่องรอยความสงสัยปรากฎอยู่บนใบหน้าของหลี่ฟง
“ใช่” ไอหมอกแห่งวิญญาณที่สะสมมานานปกคลุมไปทั่วทั้งหลังแล้ว ถ้าหากถูกสาปก็ต้องมีวิญญาณแค้น แต่นี่เขากลับสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย...แบบนี้แหละที่อันตรายที่สุด


มัธยมปลายห้อง Z แห่งวิทยาลัย TMX
ใต้แสงอาทิตย์ที่เจิดจรัส กลุ่มไอสีเขียวเหมือนไอน้ำพวยพุ่งอยู่รอบตึกเรียน จิ้งฉีและลู่กั้วเห็นแล้วถึงกับตกใจ
“ไอหมอกแห่งวิญญาณรุนแรงมาก” จิ้งฉีอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
“ชิ แค่นี้ก็กลัวซะแล้ว” ถึงลู่กั้วจะตกใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงวางท่าเหมือนไม่รู้สึกสะทกสะท้าน “ธรรมดาล่ะนะ สำหรับคนปอดแหกอย่างนายแค่นี้ก็ถือว่ารุนแรงแล้ว แต่ระดับฉันแล้วแค่นี้จิ๊บๆ...”
“เธอสองคนอยู่ชั้นไหน” เสียงตะคอกดังมาจากข้างหลัง เป็นเสียงของครูท่าทางเจ้าระเบียบคนหนึ่ง
“สายขนาดนี้ยังไม่ไปเข้าเรียนอีก มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
“ขอโทษครับ”


....................



แม้เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่การมาเพื่อเรียนหนังสือ แต่ด้วยการตระเตรียมขององค์กรพิเศษ ตอนนี้ลู่กั้วและจิ้งฉีได้เรียนอยู่ปี 3 ห้อง A ของวิทยาลัยแห่งนี้
“เวร!” ไม่ไกลกัน ลู่กั้วเห็นนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่งเข้าไปล้อมจิ้งฉีอยู่ไม่ห่าง รู้สึกเดือดดาลโมโหจนตัวสั่นไปหมด
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ทุกทีเลย เจ้ากะเทยนี่ จะหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง มันมีดีอะไรนักหนา? สาวๆ พวกนั้นตาบอดรึไงกัน
“จิ้งฉี ถ้าไม่เข้าใจอะไรก็ถามฉันได้เลยนะ” นักเรียนหญิงคนหนึ่งพูดขึ้น
“ขอบใจ” ถึงแม้จะไม่คิดพึ่งพาอาศัยอะไร แต่ถือโอกาสหาข่าวก็เหมาะดี
นักเรียนหญิงอีกคนรีบพูดบ้าง “ถามฉันก็ได้เหมือนกัน”
“อะไรกัน ฉันเข้ามาคุยกับจิ้งฉีก่อนนะ” เด็กสาวคนแรกไม่ยอม
“ของอย่างนี้ไม่เกี่ยวกับก่อนหลังย่ะ ถ้าเทียบกันแล้วฉันสวยกว่าเธอตั้งเยอะ” อีกคนหนึ่งก็สู้ไม่ถอย
“ทุเรศสิ้นดี” ในที่สุดก็เป็นลู่กั้วที่ทนไม่ได้ “ทำไมพวกเธอต้องเอาแต่ ‘จิ้งฉีๆ’ ทั้งโรงเรียนมีนักเรียนชายคนเดียวรึไง?” เอานิ้วจิ้มไปที่จมูกจิ้งฉีอย่างเคืองๆ ในห้องเรียนสงบลงครู่หนึ่ง กลุ่มนักเรียนหญิงที่ล้อมหน้าล้อมหลังจิ้งฉีอยู่หันมามองลู่กั้วตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาดูแคลนก่อนจะเริ่มสงครามประสาทกันอีกครั้ง
“สวยแล้วไง หน้าอกฉันใหญ่กว่าเธอน่ะเห็นมะ”
“ใครจะรู้ เธอไปทำมารึเปล่า”
ราวกับว่าพวกเธอไม่ได้เห็นลู่กั้วอยู่ตรงนั้นด้วยเลย พริบตานั้นเจ้าหนุ่มผมเงินตัวแข็งทื่อยืนอึ้งไปพักใหญ่
“ถามอะไรหน่อยสิ...” เพียงแค่จิ้งฉีเอ่ยปาก บรรดาสาวๆ ก็รีบตอบรับกันเจี๊ยวจ๊าวจนน่าปวดหัว “ได้ยินว่าก่อนหน้านี้มีคนฆ่าตัวตายที่นี่ เรื่องมันเป็นยังไงกัน?”
“ใช่ๆ ตอนนั้นฉันก็เห็นนะ น่ากลัวมากเลยล่ะ” เสียงแหลมๆ ช่วยกันตอบ “ปีนี้ปาเข้าไปสามรายแล้ว”
“อย่ากังวลไปเลย เรื่องแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับเราหรอก”
“แต่มีคนบอกว่าโรงเรียนเราถูกสาป น่ากลัวจัง”
“คำสาป? เมื่อก่อนเกิดอะไรขึ้นกับที่นี่กันแน่?” จิ้งฉีสงสัย
“อืม...พวกเราได้ยินมาอย่างนั้นแหละ ว่ากันว่ามันเริ่มตั้งแต่สิบปีก่อน โรงเรียนของเราจะมีคนตายทุกปี ปีละคนหรือสองคนตลอด มาจนถึงทุกวันนี้ ก็เลยร่ำลือกันว่าถูกสาป”
“ทำไมถึงเป็นสิบปีก่อน?”
“ไม่รู้แหมือนกัน”
“คงต้องไปถามคุณครูดูแล้วล่ะ”
“จิ้งฮี นี่เธอชอบเรื่องแบบนี้เหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แค่อยากรู้เท่านั้นเอง” จิ้งฉีกลบเกลื่อน สิบปีก่อนงั้นรึ? ไอความแค้นกลุ่มนั้นสะสมมานานข้ามเดือนข้ามปีมาเนิ่นนานถึงได้รุนแรงซะขนาดนั้น
“ชิ ไอ้หมอนี่ แค่ใช้ความหล่อหาข้อมูลล่ะว้า ไม่เห็นจะเก่งตรงไหน” ลู่กั้วอารมณ์เสีย



...........................



หลังเลิกเรียน ทั้งจิ้งฉีและลู่กั้วมายืนอยู่หน้าตึกเรียน ข้อมูลที่พวกเขารู้มีอยู่เพียงว่า นานมาแล้ว ที่วิทยาลัยแห่งนี้มีคนฆ่าตัวตายอย่างต่อเนื่อง บางคนทิ้งจดหมายลาตายเอาไว้ แต่บางคนก็ไม่อาจรู้สาเหตุของการจบชีวิตตัวเอง ถึงวิทยาลัยอื่นๆ จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ้างเหมือนกัน แต่ว่าที่นี่กลับเกิดขึ้นบ่อยครั้งจนผิดปกติ เฉพาะปีนี้ก็สามรายเข้าไปแล้ว มันเป็นแค่ความบังเอิญ? หรือเพราะวิญญาณร้ายกันแน่? แต่จะยังไงก็ตาม ตึกเรียนหลังนี้ก็ไม่ธรรมดาแน่ๆ
“ชิ มันก็แค่ตึกธรรมดาๆ ไอหมอกแห่งวิญญาณพวกนี้ก็เป็นของพวกที่ฆ่าตัวตายตั้งแต่อดีตเท่านั้น วิญญาณของพวกเขาไม่ได้ไปสวรรค์ก็เลยมาเอาคนอื่นไปด้วย แค่ทำพิธีสวดอุทิศส่วนกุศลส่งไปโลกหลังความตายก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสงสัย ทำไมต้องลงทุนปลอมตัวมาเป็นนักเรียนเพื่อสืบเรื่องแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้?” ลู่กั้วบ่น
“ง่ายอย่างงั้นเชียว?” จิ้งฉีพูดขึ้น อยากจะบอกว่าหนทางคลี่คลายปริศนาครั้งนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด
“ชิ โลกนี้ที่จริงก็ไม่ได้มีเรื่องวุ่นวายอะไรเล้ย มีแต่พวกมนุษย์ที่ชอบหาเรื่องเอง อย่างแกนี่ไง” ลู่กั้วเหลือมองคู่หู “ฉันไม่อยากยุ่งกับแก เอาแต่ใช้หน้าตาไม่เห็นจะได้อะไร คอยดูเดี๋ยวลูกพี่จะสวดส่งวิญญาณพวกนี่ให้เอง” ลู่กั้วเงยหน้าขึ้นมองบนดาดฟ้าของตึกเรียน
“เอ๊ะ!” เหมือนเห็นเงาใครบางคนอยู่บนนั้น “เฮ้ย นั่นจะทำอะไรน่ะ?”
จิ้งฉีรีบแหงนมองแล้วก็ต้องตกใจ “รีบไปหยุดเขาเร็วเข้า” พูดพร้องกับพุ่งตัวเข้าไปในตึกเรียนทันที ในใจของลู่กั้วเต็มไปด้วยความงุนงง แต่ก็ทำได้แค่ออกวิ่งตามเพื่อนขึ้นไปบนดาดฟ้า


ปัง!
จิ้งฉีถีบประตูออกอย่างแรง แต่ทว่า...ไม่เห็นมีใครแม้แต่คนเดียว เขารีบวิ่งไปตรงตำแหน่งที่เห็นคนยืนอยู่เมื่อกี้ แล้วชะโงกมองลงไปยังเบื้องล่าง ไม่มี...
“แปลก?” ลู่กั้วมองหาไปทั่วทิศ
“พวกเราตาฝาดงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้มั้ง” จิ้งฉีแปลกใจอย่างมากหรือว่าคนๆ นั้นจะลงไปก่อนที่พวกเขาจะมาถึง
“บินไปแล้วรึเปล่า?” ลู่กั้วยังคงตั้งหน้าตั้งตาหาต่อไป
“จะเป็นไปได้ไง? ที่นี่ไม่มีร่องรอยของการใช้เวทมนตร์ และไม่มีวิญญาณด้วย คิดได้อย่างเดียวเขาลงไปแล้ว”
“ไม่ต้องบอกก็รู้หรอกน่า” ลู่กั้วตะโกนเสียงดัง
“ชิ” จิ้งฉีระอา ไม่อยากจะพูดอะไรอีก
“ชิ นี่แกเลียนแบบฉันเหรอ?”
จิ้งฉีขี้เกียจจะโต้วาทีกับลู่กั้วเต็มที “อย่ามัวมาพูดมากเลย ตอนนี้ไม่มีใครเห็น รีบสวดส่งวิญญาณซะสิ”
“เออก็จริง ยืนดูสบายใจเฉิบ แกไม่รู้รึไงว่ามันสิ้นเปลืองพลังเวทมากแค่ไหน?” ลู่กั้วอารมณ์ค้าง “อะไรๆ ก็ฉัน”


“เหล่าสัมภเวสีทั้งหลาย วิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์...”
จิ้งฉีรำคาญท่องคาถาเองซะเลย
“ไม่ต้องๆ” ลู่กั้วรีบบอกให้หยุด “ชิ ยังไงสุดท้ายก็ต้องพึ่งพลังของฉันอยู่ดี ทำครั้งเดียวให้เสร็จๆ ไปเลยดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาตามเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้แกทีหลัง”
ไอ้หมอนี่ ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย จิ้งฉีเอือม มองไปที่มือของลู่กั้ว เห็นมีแสงสีขาวพุ่งออกมา
“เฮ้อ”
เหงื่อเม็ดเท่าถั่วไหลย้อยมาจากหน้าผากของลู่กั้ว
ทำไมถึงไม่สำเร็จล่ะ ส่งวิญญาณพวกนั้นไม่ได้ หรือว่าพลังของเขาไม่พอ? ไม่น่าจะเป็นไปได้น่า
“เป็นไงมั่ง?” จิ้งฉีสังเกตเห็นท่าทางของลู่กั้วเริ่มไม่ไหวเสียแล้ว
“ไม่เป็นไร แค่เหนื่อยพักหน่อยค่อยลุยต่อ” ลู่กั้วทรุดลงไปนั่งบนพื้นดื้อๆ เสียอย่างนั้น
ไอหมอกแห่งวิญญาณที่กระจายอยู่รายรอบไม่ได้ลดลงเลย เมื่อกี้ลู่กั้วก็ใช้พลังไปมากแล้วแท้ๆ แต่ทำไมไม่ลดลงเลยซักนิด? จิ้งฉีสังเกต
“วะ ฮ่ะ ฮ่า” เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากประตูดาดฟ้า “คิดแล้วเชียวว่าต้องเป็นพวกนาย” ใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
“คิดว่าใครซะอีก” ลู่กั้วเห็นผู้มาเยือนก็นึกขึ้นได้ว่าเคยร่วมมือกันไขคดีในครั้งก่อน แต่ว่านึกชื่อไม่ออก ชื่ออะไรกันนะ?
“ฮะ ฮะ ฮ่า ใช่แล้ว หนุ่มหล่อ เสน่ห์แรง สาวเห็นเป็นต้องตกหลุมรัก หลิงหลงเจ้าสำอางคือฉันเอง ฮ่าๆๆ”
“รู้แล้ว” นึกถึงเมื่อตอนพบกันครั้งแรก บทร่ายแนะนำตัวของศิษย์พี่หลิงหลงคนนี้ฟังแล้วเลี่ยนสุดๆ
“คดีนี้ก็อยู่ในความรับผิดชอบของรุ่นพี่เหรอครับ?” จิ้งฉีถาม
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูก จริงๆ แล้วฉันแค่คนว่างงาน เห็นที่นี่มีเรื่องแปลกๆ ก็เลยมาเมียงมองดูก็เท่านั้น” หลิงหลงตอบ
“ดีเลยที่รุ่นพี่อยู่ที่นี่ด้วย จะได้ช่วยกันสวดส่งวิญญาณร้ายพวกนี้” ลู่กั้วสีหน้าดีใจ
“ไม่มีประโยชน์” หลิงหลงส่ายหน้า “ฉันลองมาหมดแล้ว ไม่มีวิธีใดขับไล่ไอหมอกแห่งวิญญาณพวกนี้ได้เลย”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ?” จิ้งฉีถามอย่างแปลกใจ “หรือว่าที่นี่มีเวทป้องกัน?”
“ไม่ใช่ พวกนายก็น่าจะรู้นี่ คนที่ถูกฆ่าตายโดยไม่เต็มใจ ไม่อาจจะขึ้นสวรรค์ได้ ต้องกลายเป็นวิญญาณที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น จริงอยู่ที่เวทมนตร์ทั่วไปช่วยปลดปล่อยพวกเขาได้ แต่ว่าไม่ใช่กับที่นี่”
“รุ่นพี่หมายความว่า คนพวกนั้นถูกบังคับให้ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ แล้วทำไมถึงมีไอหมอกแห่งวิญญาณมากขนาดนี้ล่ะ”
“ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” หลิงหลงตอบยิ้มๆ “นายคงรู้ว่าคนที่ฆ่าตัวตายจะไม่สามารถกลับเข้ามาในวังวนของการกลับชาติมาเกิดได้ แต่ต้องทนรับกรรมอยู่ในนรกขุมที่ต่ำที่สุด ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าหนึ่งในคนพวกนั้นมีความคับแค้นอาลัยอาวรณ์ในโลกนี้อย่างมากและความแค้นนั้นก็ฝังแน่นอยู่ที่นี่มาตลอด และมันก็ทำให้คนอื่นต้องกระดดดลงไปจากตึกนี้เหมือนกับเขาในอดีต เมื่อเป็นอย่างนี้ความแค้นของพวกเขาก็จะก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหมือนโซ่ตรวนที่แข็งแกร่งเชื่อมต่อกันไปทีละข้อๆ หากไม่สามารถแก้ตรงข้อแรกได้ล่ะก็ โซ่ตรวนนี้ก็ไม่สามารถปลดออกได้”
“งั้นเจ้าข้อแรกนั้นมันเป็นใคร? พวกเราจะรู้ได้ยังไง?” ลู่กั้วถามขึ้น
“หรือว่าเมื่อสิบปีก่อน” จิ้งฉีคิดถึงคำบอกเล่าของเพื่อนนักเรียนหญิง
“เอ้อ จริงสิ...ฉันขอร้องให้ลุงฟงช่วยสืบดู เมื่อสิบปีก่อนที่นี่เกิดเหตุฆ่าตัวตายสองครั้งจริงๆ แล้วทั้งสองครั้งก็ไม่ธรรมดาเสียด้วย” หลิงหลงผงกหัว
“สองครั้ง?” ลู่กั้วตื่นเต้นแทบจะลมจับ
“เหตุฆ่าตัวตายทั้งสองครั้งเกี่ยวเนื่องกัน พวกนายอยากรู้ไหม” หลิงหลงเห็นแววตาของลู่กั้วยังคงงงงวย ก่อนจะเห็นรอยยิ้มแล้วตามมาด้วยคำตอบ “แน่นอน”
ต่างจากจิ้งฉีที่ดูเหมือนจะตามทันความคิดของหลิงหลง ถึงแม้พลังเวทมนตร์จะอ่อนด้อยกว่าลู่กั้ว แต่ไหวพริบปฎิภาณกลับดีกว่ามาก
“เอ่อ...” พอพูดถึงการฆ่าตัวตายเมื่อสิบปีก่อนสีหน้าของหลิงหลงก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“ที่สำคัญคือ พวกนายมีเงินมั้ย?”
“เงิน?” คราวนี้ทั้งลู่กั้วและจิ้งฉีต่างมึนงงทั้งคู่
“ผมมีๆ” ลู่กั้วเปิดกระเป๋ากว้าง เทเงินออกมาหมดกระเป๋า
“ดีมาก ฉันหิวน้ำจะตายอยู่แล้ว ไปหาอะไรดื่มกันดีกว่า” หลิงหลงพูดกลั้วหัวเราะ เห็นเด็กหนุ่มทั้งสองมองด้วยสายตางงๆ “เฮ่ย อย่ามองแบบนี้สิ เดี๋ยวฉันคิดว่าพวกนายหลงรักฉันหรอก”
“เรื่องมันค่อนข้างสับสนน่ะ หากไม่มีเวลาสัก 2-3 ชั่วโมงก็คงคุยกันไม่รู้เรื่อง พอดีฉันไม่ได้ติดเงินมาด้วย จะคุยที่นี่ก็อึดอัดยังไงไม่รู้ ไม่หาที่นั่งคุยกันเพลินๆ ดีกว่า ไม่แน่อาจจะมีดวงเจอสาวสวยก็ได้” รุ่นพี่จูงมือรุ่นน้องทั้งสองไปยังประตู
ไอ้หมอนี่คงไม่มีทางเป็นเกย์ไปได้เลยนะ เสเพลแบบนี้เป็นสายลับขององค์กรจริงเร้อ
จิ้งฉีไม่ค่อยอยากจะเชื่อเอาซะเลย


...........................



“พูดถึงการฆ่าตัวตายเมื่อสิบปีก่อนทั้งสองครั้ง บอกได้เลยว่าเป็นเรื่องราวใหญ่โต มีการเสนอข่าวกับแทบทุกกลุ่มเลย”
ลู่กั้วตั้งใจฟังเรื่องเล่าจากปากหลิงหลง หัวใจเต้นแรง อยากจะรู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไงกัน
“สิบปีก่อนมีคู่รักคู่หนึ่ง ฝ่ายหญิงกระโดดตึกฆ่าตัวตายไปก่อนไม่นานผู้ชายก็ฆ่าตัวตายตาม ดูเหมือนว่าผู้หญิงจะเป็นครูพละของวิทยาลัยนั้นส่วนผู้ชายก็เป็นนักเรียนของเธอเอง”
“ความรักของครูกับลูกศิษย์งั้นเหรอ?”
“ใช่ แต่แปลก จะพูดว่าเป็นการฆ่าตัวตายสังเวยรักก็เหมือนจะไม่ใช่ พวกเขาทั้งสองตายห่างกันสิบวัน จากการสอบปากคำตอนนั้น ฝ่ายชายเหมือนกับจะไม่เชื่อว่าคนรักของเขาจะฆ่าตัวตายเอง โวยวายว่าจะสืบเองให้รู้ชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร แต่ว่าหลังจากนั้นสิบวันเขาก็กระโดดตึกตามคนรักของเขาไป” พูดจบหลิงหลงก็ซดเหล้าเข้าไปอีก
“แค่เนี้ยจบแล้ว?” ลู่กั้วยังงง
“โดดตึกฆ่าตัวตายทั้งสองคน แค่นั้นเหรอครับ?” จิ้งฉีรู้สึกตะขิดตะขวงใจ เหมือนมีอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าตรงไหน
“ใช่แล้ว กระโดดลงมาจากตึกเรียนเหมือนกัน” หลิงหลงบ่นเบาๆ
“งั้นถ้าเขาอยากจะตาย ทำไมไม่ไปกระโดดตั้งแต่แรกล่ะ ผ่านไปตั้งสิบวัน น่าจะสงบจิตสงบใจได้แล้วนะ”
“เขาบอกว่าจะไปสืบดูให้ชัดเจน แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาสืบพบอะไรบ้าง ไม่เหลือข้อมูลไว้ให้ตรวจสอบเลย ฉันก็เลยไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุอะไรเขาถึงต้องฆ่าตัวตาย”
“ดีล่ะ ผมเข้าใจแล้ว เป็นวิญญาณของไอ้หมอนั่นแหละที่แผลงฤทธิ์ ฉันจะไปสวดส่งวิญญาณมันเอง” ลู่กั้วรีบลุกขึ้นทันที
“ถ้ามันง่ายขนาดนั้น เขาคงไม่ส่งหน่วยพิเศษอย่างพวกนายมาหรอก” หลิงหลงพูดเสียงเอื่อย “วิญญาณนั่นสะสมความแค้นไว้ตั้งสิบปี ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดหรอกนะ”
“จะง่ายจะยากยังไงผมไม่สน ลูกพี่ใหญ่ลู่กั้วเอาจริงขึ้นมาหน้าไหนก็ไม่รอด”
“งั้นเรื่องนี้ก็ไหว้วานพวกเธอด้วยละกัน” น้ำตาคลอล้อแสงไฟนีออน สีหน้าของหลิงหลงเหมือนสำนึกในบุญคุณอย่างใหญ่หลวง
“นี่รุ่นพี่จะไม่อยู่ช่วยพวกเราเหรอครับ?” จิ้งฉีแปลกใจ การได้เห็นพลังของหลิงหลงในครั้งก่อนทำให้เชื่อมั่นว่าถ้ามีเขาช่วยภารกิจครั้งนี้คงจะง่ายขึ้น
“หึๆ เสียใจ ครั้งนี้ฉันมีเรื่องสำคัญต้องไปทำ” หลิงหลงบอก
“เรื่องสำคัญอะไรนักหนา คุณจะมีลูกงั้นเหรอ?” ลู่กั้วยังฉงนเหมือนเดิม
“ฉันแก่จนถึงขนาดต้องรีบมีลูกไว้สืบสกุลเลยรึไง” เรื่องแบบนี้ทำเอาหลิงหลงเหงื่อตก “พวกนายอายุ 18 ฉันห่างกับพวกนายแค่สองปีเท่านั้น” คำพูดของลู่กั่วสะเทือนใจเป็นอย่างมาก
“งั้นก็ไม่ใช่” แต่ละคำพูดของเขาไม่ได้ผ่านสมองเลยแม้แต่น้อย ส่วนมากพูดออกไปแล้วจึงรู้ว่าตัวเองผิด
“ภายในอาทิตย์นี้ ถ้าหากพวกนายจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปหาฉันตามที่อยู่นี้แล้วกัน เรื่องสนุกรออยู่ไปกันให้ได้ล่ะ” หลิงหลงหยิบกระดาษออกมาเขียนที่อยู่เอาไว้ให้
“เอ๋? ที่อยู่นี้...” จิ้งฉีมองหน้าหลิงหลงอย่างแปลกใจอีกแล้ว
“รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ลู่กั้วจับมือหลิงหลง น้ำตาเอ่อคลอเบ้าซาบซึ้งในน้ำใจ
“ฮ่าฮ่า ฉันนี่เก่งจริงๆ ฝึกแสดงสีหน้าไม่ทันไร ก็แสดงได้แนบเนียน ฮ่าฮ่า” หลิงหลงหัวเราะเสียงดัง



..........................



วันต่อมา
“ชิ! เจ้าคนไร้ประโยชน์ไป๋จิ้งฉี เอาแต่เที่ยวไปจีบสาว ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง สุดท้ายก็ต้องอาศัยฉันคนเดียว” ลู่กั้วเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าของตึกเรียน ที่จริงเขาตกลงกับจิ้งฉีแล้วว่าช่วงพักจะขึ้นมาบนดาดฟ้าเพื่อสวดส่งดวงวิญญาณด้วยกัน แต่ตอนนี้จิ้งฉีถูกสาวๆ ตามประกบหน้าหลังปลีกตัวออกมาไม่ได้ ลู่กั้วจึงต้องขึ้นมาคนเดียว
“ไอ้วิญญาณตายโหง ออกมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่ยอมออกมาอย่าหาว่าไม่เกรงใจนะเว้ย” ลู่กั้วถือโอกาสระบายความอึดอัดใจออกมา
แต่สิ่งที่ปรากฎตรงหน้าคือความเงียบสงบ...
“ฉันไม่เชื่อว่าจะจัดการแกไม่ได้” ลู่กั้วพับแขนเสื้อขึ้น เตรียมตัวจะวางค่ายกลดาวดับทั้งห้า



..........................



“อะไรนะ” จิ้งฉีเสียงดัง
“เธอว่าผู้หญิงคนนั้นฆ่าตัวตายเพราะความแค้น?”
“ใช่” นักเรียนหญิงคนหนึ่งพยักหน้า “พี่สาวฉันก็เรียนที่นี่ ตอนนั้นเธออยู่ ม.ต้น เธอบอกว่าความลับระหว่างครูกับลูกศิษย์เกิดแตกขึ้นมา ทั้งวิทยาลัยเลยเดือดร้อนวุ่นวายกันไปหมด ครูคนนั้นต้องทนฟังเสียงด่าของทุกคน เธอก็เลยฆ่าตัวตาย ได้ยินมาว่าตอนตายเธอใส่เสื้อแดงรองเท้าแดง ขึ้นไปบนดาดฟ้ากลางดึกแล้วกระโดดลงมา ตอนกระโดดก็ตะโกนออกมาว่า ‘ฉันจะไม่ปล่อยพวกแก’ บรื๋อ แค่ฟังก็ขนลุกแล้ว”
แปลก ทำไมข้อมูลที่ศิษย์พี่หลิงหลงให้มาไม่มีเรื่องเหล่านี้เลยล่ะ ตำรวจไม่น่าจะพลาดเรื่องสำคัญอย่างนี้ไปได้
“แล้วนักรเรียนชายที่เป็นคนรักล่ะ”
“วันถัดมาพอรู้เรื่องเข้า นักเรียนคนนั้นก็ร้องไห้ปานจะขาดใจ แล้วไม่นานก็ฆ่าตัวตายตาม หลังจากนั้นมา วิทยาลัยของเราก็มีคนโดดตึกฆ่าตัวตายอยู่เรื่อยๆ ก็เลยลือกันไปว่าถูกสาป แต่เรื่องนี้ทางวิทยาลัยปิดข่าวเอาไว้ คนข้างนอกก็เลยไม่รู้ พี่สาวฉันยังบอกอีกว่า หลังครูคนนั้นตายก็เกิดเรื่องแปลกๆ ขึ้น ทางวิทยาลัยก็เลยเชิญหมอผีมาทำพิธี”
“หมอผี? สมัยนี้ยัง...”
“ใช่ คิดแล้วก็น่าขำ ในยุควิทยาศาสตร์อย่างนี้ก็ยังมีคนเชื่อเรื่องพรรค์นี้อยู่” นักเรียนหญิงพูดแล้วก็ยิ้มหวานให้จิ้งฉี “ได้ข่าวว่าหลังจากมาที่นี่ นักต้มตุ๋นพวกนั้นต้องเข้าไปอยู่โรงพยาบาลประสาทแล้วสามคน ทำไม่ดีก็เข้าตัวแบบนั้นแหละ”
“หา...ถ้างั้น...” จิ้งฉีนึกถึงลู่กั้วขึ้นมาทันที รีบลุกแล้ววิ่งไปที่ดาดฟ้าตึกเรียนหลังนั้น
“ไอ้โง่เอ๊ย”
นอกจากคำนี้แล้วเขาคิดไม่ออกจริงๆ จิ้งฉีเห็นร่างของคู่หูนอนเหยียดยาวอยู่บนดาดฟ้า เหมือนถูกตีหัวอย่างแรงจนสลบเหมือดไป จิ้งฉีตัวแข็งทื่อ อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก ความรู้สึกต่างๆ หายไปไหนหมด ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ลู่กั้ว จนมองเห็นดวงตาที่หลับสนิท เลือดสีแดงเข้มติดอยู่ที่ริมฝีปาก รอบกายเป็นยันต์ค่ายกลที่ยังวางไม่เสร็จ
ทันใดนั้น ก็สังเกตเห็นมีขวดใบหนึ่งตกอยู่ข้างกายเขา จิ้งฉีกระจ่างใจขึ้นมาทันที
“เฮ้ย ไอ้หมาโง่!” เตะเพื่อนที่นอนหลับตานิ่งอยู่บนพื้นไปทีหนึ่ง
ลู่กั้วขยี้ตาอย่างสะลึมสะลือ ลุกขึ้นมาด้วยความงวยงง
“นายมาทำอะไรที่นี่กันแน่วะ ฉันนึกว่าตายไปแล้วซะอีก”
กินซอสมะเขือเทศจนหลับ คนแบบนี้บนโลกก็คงมีแต่มันคนเดียวแหละ
“ชิ แกสิต้องตายก่อน” ลู่กั้วลุกขึ้นตบฝุ่นตามเนื้อตัว “คิดจะให้ฉันทำงานคนเดียว ตัวเองมัวไปทำซึ้งอยู่กับสาวๆ จนเพลิน”
“ก็ยังดีที่นายยังไม่ใช้เวทมนตร์” จิ้งฉีถอนหายใจ “ฉันพึ่งจะสืบรู้มา ผู้หญิงคนที่ฆ่าตัวตายน่ะเคยจัดการกับหมอผีที่เข้ามายุ่งไปแล้วหลายราย”
“ชิ ไอ้พวกนั้นวิชามันไม่แกร่งพอ โทษใครไม่ได้หรอก” ลู่กั้วไม่ใส่ใจ
“แต่ระวังไว้หน่อยดีกว่า” แต่ไหนแต่ไรมา จิ้งฉีก็มักจะเป็นคนรอบคอบกว่าเสมอ “ต้องหาวิธีที่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์ก่อน”
“ยุ่งจริง รีบจัดการให้เสร็จๆ ไปซะ ฉันจะได้ไปหาหลิงหลง”
“ถ้าแกไม่กลัวตายก็เอาเลย” จิ้งฉีมองลู่กั้วตาวาว
“แกสั่งแล้วฉันต้องทำรึไง ฉันเป็นลูกพี่นะเฟ้ย” ถึงปากจะไม่ยอมแต่ลู่กั้วคิดว่าระมัดระวังไว้หน่อยก็ดี



...........................



สองหนุ่มเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการลุกขึ้นบิดขี้เกียจสุดตัว พระอาทิตย์ขึ้นสูงเสมอหัวลู่กั้ว ถึงเวลาต้องไปเรียนกันแล้ว ใช้อาคมก็ไม่ได้ แหล่งข้อมูลอื่นก็ไม่มี ทางเดียวที่พอจะช่วยได้คือหาตัวพี่สาวของเพื่อนนักเรียนหญิงคนนั้นแล้วสอบถามให้ละเอียด จิ้งฉีคิดระหว่างเดินทางไปโรงเรียน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้น ประมาณว่ามีคนฆ่าตัวตายอีกแล้ว
จิ้งฉีตามฝูงคนที่กรูกันไปยังตึกเรียน กว่าจะเบียดเข้าไปดูได้ก็แทบตาย ภาพที่เห็นเป็นนักเรียนหญิงคนเมื่อวานที่เล่าเรื่องเมื่อสิบปีก่อนให้เขาฟัง นอนชักกระตุกจมอยู่ในกองเลือด เพื่อนๆ พากันหวีดร้องเสียงดัง ครูหลายคนตะโกนให้เรียกรถพยาบาล จิ้งฉีถือโอกาสช่วงชุลมุนเข้าไปหานักเรียนหญิงคนนั้น เธอมองมาที่เขาด้วยแววตาตระหนกไม่รู้จะทำยังไงดี จิ้งฉีเหมือนได้เห็นแววตาของพ่อแม่ในทะเลเพลิงนั้นอีกครั้ง เขาเซถอยหลังไปหลายก้าว พยายามสะกดความคิดที่อยากจะหนีแล้วก้มลงพูดกับเธอ
“แข็งใจไว้ หมอกำลังจะมาแล้ว” ถึงปากจะพูดปลอบแต่ในใจของจิ้งฉีกลับสั่นไหวไม่มั่นใจ ริมฝีปากของนักเรียนหญิงขยับเหมือนจะพูดอะไรแต่เลือดกลับทะลักออกมาไม่หยุด จิ้งฉีรู้สึกว่าเธออยากจะบอกบางอย่างกับเขา จึงก้มตัวลงอีกครั้ง
“หลบหน่อยๆ รถพยาบาลมาแล้ว”
ทว่าเด็กผู้หญิงแน่นิ่งไร้วิญญาณเสียแล้ว หลังจากนั้นสิบนาที หลี่ฟงก็พาลูกทีมมาถึงที่เกิดเหตุ ทันทีที่เห็นจิ้งฉีก็กล่าวทักทายอย่างสนิทสนม
“อ้าวเธอมาคนเดียวเหรอ แล้วเจ้าหนุ่มผมขาวล่ะ?”
“ยังนอนอยู่ที่บ้านน่ะครับ” ยังไงๆ ลู่กั้วก็ไม่ยอมลุกจากที่นอน จิ้งฉีก็เลยมาโรงเรียนคนเดียว
“ลุงฟง คดีนี้ไม่ธรรมดา ผมต้องการรายละเอียดคดีฆ่าตัวตายสองรายเมื่อหลายปีก่อน”
“ได้ เดี๋ยวฉันหาให้ ดีเลย เธอเองก็ช่วยให้ปากคำกับตำรวจหน่อยนะ”
“ครับ”
นักเรียนหญิงคนนั้น ดูยังไงก็ไม่เหมือนคนอยากตาย และคำพูดครั้งสุดท้ายของเธอก็แปลกเหมือนมีอะไรบางอย่าง จิ้งฉีคิดพลางมองศพเพื่อนนักเรียนที่ปิดคลุมด้วยผ้าขาวนอนยาวอยู่บนเตียงเลื่อน
หลังให้ปากคำเสร็จลู่กั้วก็มาถึง จิ้งฉีเห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้จนอดกระแนะกระแหนไม่ได้
“ลืมไป หมาป่าก็ต้องจำศลีเหมือนกันนะ พอถึงฤดูหนาวก็ต้องนอนนานๆ เพื่อรักษาความอบอุ่นของร่างกาย”
“ชิ เรื่องอะไรฉันต้องคุยกับแกด้วย” สีหน้าลู่กั้วไม่อยากจะยุ่งแต่พอมองเห็นแฟ้มข้อมูลในมือของจิ้งฉีเท่านั้นแหละ
“เอ๋ นั่นอะไร ข้อมูลที่แกเอาความหล่อเข้าแลกมาเมื่อวานใช่มั้ย” จิ้งฉีชักเดือดขึ้นบ้างแล้ว “ใช้ความหล่อเข้าแลกแล้วได้มานี่ก็ยังดีกว่าบางคนถึงขายตัวก็คงไม่ได้อะไรเลยซักนิด”
“เอ่อ...พวกเธออยากจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มรึเปล่า ถ้าไม่มีฉันคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะ” หลี่ฟงถาม พลางคิดในใจว่าเจ้าพวกนี้ก็ยังปีนเกลียวกันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย
“ไม่มีแล้ว ขอบคุณมากครับลุงฟง” จิ้งฉีตอบอย่างมีมารยาท
“หือ? ให้ตายสิ ใช่คนเมื่อวานรึเปล่า?” ลู่กั้วเห็นประวัติผู้ตายแล้วนึกประหลาดใจ
“ใช่”
“แปลกจริง หรือเพราะเขาบอกเรื่องเมื่อสิบปีก่อนให้นายฟัง ก็เลยถูกวิญญาณร้ายฆ่าตาย”
“ไหนนายลองบอกมาซิ ถ้าวิญญาณร้ายฆ่าคน สภาพศพผู้ตายจะเป็นยังไง”
“ชิ มันก็ต้องดูว่าฆ่าแบบไหน แต่ทั่วไปแล้วตรงท้ายทอยน่าจะมีรอยดำคล้ำ ตาเหลือก ตกใจ”
“งั้นถ้าตอนที่ยังไม่ตาย เอาแต่พูดว่าฉันมันคนไร้ประโยชน์ ฉันมันคนไร้ค่าล่ะ”
“คนไร้ประโยชน์ ไร้ค่างั้นเหรอ หมายความว่าไง?”
“พอได้ฟังก็เหมือนกับว่าเธอน่าจะคิดฆ่าตัวตายจริงๆ เพราะถ้อยคำมันดูสิ้นหวัง ตัวเองไร้ค่าไร้ประโยชน์ต่อโลกนี้จึงไม่อยากจะอยู่อีกแล้ว ก็เลยฆ่าตัวตาย แต่ว่า...มันจะเกี่ยวข้องกับคำสาปรึเปล่า หรือจะเป็นแค่ความบังเอิญกันแน่?”
“ใช่ ใช่แน่นอนเลย บังเอิญชัวร์ๆ” ลู่กั้วผงกหัวแล้วพูด
“นายไม่รู้สึกว่ามันประจวบเหมาะเกินไปหรือไง ก่อนหน้านี้ทุกวันๆ ยังกระตือรือร้นบอกข้อมูลเรื่องเมื่อสิบปีก่อนกับฉันอยู่เลย แต่ทำไม่พอมาวันนี้ถึงตัดสินใจตายอย่างกะทันหันล่ะ” จิ้งฉียิ่งคิดก็ยิ่งมั่นใจในข้อคิดเห็นนี้
“อีกอย่างทำไมต้องมาฆ่าตัวตายที่นี่ด้วย ตัวเองพูดเองแท้ๆ ว่าเป็นคำสาป”
ลู่กั้วฟังเพื่อนแล้วรู้สึกเวียนหัว
“คำสาป” จิ้งฉีพูดทวนอีกครั้ง แต่สีหน้ากลับบอกว่าเขาไม่เชื่อว่าจะเป็นฝีมือวิญญาณร้าย
“ลู่กั้ว เราไปบ้านผู้หญิงคนนั้นกันเถอะ”
“ไปทำไม เธอก็ตายไปแล้ว แกอยากจะไปเจอหน้าพ่อตาแม่ยายรึไง”
“ไอ้โง่! ไปหาพี่สาวเธอ เพื่อยืนยันข้อมูล” จิ้งฉีค้อนขวับเข้าให้
“ยุ่งจริงๆ เลย เรียกผีออกมาก็สิ้นเรื่อง”
“ถ้านายอยากตาย ฉันก็ไม่ห้าม”
“เฮ้ย ไปก็ไปสิ ฉันยังอยากอยู่บนโลกนี้ต่อไปอีกนานแสนนานเฟ้ย”



............................



บ้านผู้ตาย
“อะไรนะ ไม่มี?” ลู่กั้วลุกพรึ่บ ยืนขึ้น เธอไม่มีพี่สาว
“ใช่แล้ว เรามีลูกสาวคนเดียว” แม่ของเด็กสาวน้ำตาคลอ “เมื่อเช้าก่อนไปยังดีๆ อยู่แท้ๆ เลย แต่ตอนกลับ...”
“ขอโทษนะครับคุณน้า อย่าเสียใจไปเลยครับ แต่เมื่อวานเธอพูดเองนะครับว่าพี่สาวเป็นคนบอก แล้วจะโกหกทำไม” หรือว่าเพื่อใกล้ชิดฉันก็เลยพูดไปอย่างนั้น ใจของจิ้งฉีกระตุกเล็กน้อย
“ถ้างั้นบ้านนี้มีใครเคยเรียนที่วิทยาลัยนี้อีกไหม?” ลู่กั้วถาม
จิ้งฉีรู้สึกว่าคำถามของลู่กั้วไร้มารยาทเกินไป ลูกสาวเขาเพิ่งจะตายกลับมาทำเหมือนสอบปากคำผู้ต้องหายังนั้น
“ไม่มี แต่ว่าพ่อของเขาเป็นอดีตครูอยู่ที่นั่น ตอนนี้ก็ย้ายไปประจำอยู่เมืองอื่นแล้ว” ผู้เป็นแม่ยังคงจมอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจ “เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ช่างเถอะ เดี๋ยวก็คงมาถึงแล้วหล่ะ”
“งั้นพวกผม...รบกวนคุณน้ามานานแล้ว พรุ่งนี้ผมจะมาช่วยงานอีกนะครับ” จิ้งฉีกล่าวลาทั้งที่ลู่กั้วยังอยากจะอยู่ต่อ พรุ่งนี้ที่นี่ก็จะมีงานศพ ถึงตอนนั้นค่อยมาหาเบาะแสใหม่ก็ยังไม่สาย
“ขอบคุณพวกเธอมาก” ถึงปากจะบอกว่าขอบคุณแต่ก็ยังกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ลู่กั้วจำใจตามจิ้งฉีออกจากบ้านหลังนั้นมาด้วยความสงสัย “ทำไมไม่รอถามพ่อเธอให้ชัดไปเลยล่ะ”
“นายเห็นใจคนอื่นไม่เป็นเลยรึไง พวกเขาเพิ่งจะเสียลูกสาวไปหยกๆ ยังคิดจะไปถามเรื่องแบบนี้อีก คิดถึงสภาพจิตใจเขาบ้างสิ” การสูญเสียคนอันเป็นที่รัก จิ้งฉีรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน
“ชิ” ลู่กั้วไม่อยากแพ้ แต่ก็ยอมรับว่าจิ้งฉีพูดถูก
“ก่อนอื่นเราต้องกลับไปตรวจสอบที่โรงเรียนว่าวันนี้ผู้หญิงคนนั้นทำอะไร ไปไหน และพบใครมาบ้าง”
“งานง่ายๆ อย่างนี้ให้ตำรวจเขาทำไปเหอะ” ลู่กั้วขยี้หัวแล้วพูดขึ้น
“ตำรวจ? ทางตำรวจก็อาศัยพวกเราอยู่แล้วนี่ พึ่งตัวเองจะดีกว่า” จิ้งฉีถอนหายใจ
“ชิ พึ่งพาอะไรก็ไม่ได้” ลู่กั้วถอนหายใจบ้าง
จิ้งฉีตระหนักดีว่าตนเองก็เป็นคนที่พึ่งอะไรไม่ได้เหมือนกัน ฉะนั้นจึงไม่มีสิทธิ์ไปว่าคนอื่น
ในวิทยาลัย ทั้งครูและนักเรียนยังตกใจอยู่ในความหวาดผวาจากการตายของนักเรียนเมื่อเช้า พอเพื่อนๆ เห็นจิ้งฉีกลับเข้ามาในห้องเรียน ก็รีบเข้ามาถามโน่นถามนี่
“จิ้งฉี เสี่ยวเอินตายแล้วนะ”
“ใช่ๆ”
“ได้ยินว่ากระโดดลงมาจากตึกเรียนนั่นแต่เช้าเลย”
“ฉันเห็นเขาเจอกระดาษใบหนึ่งอยู่ในล็อกเกอร์ แล้วไม่นานเขาก็ตาย มันเป็นจดหมายของเธอใช่มั้ยจิ้งฉี เธอปฎิเสธเขาใช่มั้ย”
“เดี๋ยวก่อน” จิ้งฉีสนใจประโยคที่ได้ยิน “เธอเห็นเขาอ่านจดหมายแล้วในนั้นมันเขียนว่าไงบ้าง?”
“ฉันไม่รู้ แต่เห็นเขาอ่านแล้วดีใจมาก”
“แล้วจากนั้นเสี่ยวเอินไปไหนต่อ มีใครรู้บ้างมั้ย”
“ไม่รู้สิ” ทุกคนส่ายหน้า จิ้งฉีจึงหยุดอยู่แค่นั้น




.............................




วันต่อมา ในพิธีศพ
“นายจะไม่ช่วยอะไร แล้วมาทำไม” จิ้งฉีเห็นลู่กั้วยืนอยู่หลังที่ตั้งศพ ไม่กระดุกกระดิกทำอะไรเลย จึงบ่นเข้าให้
“ชิ แกไม่เข้าใจหรอก เมื่อวานฉันตรวจดวงดูแล้ว ทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นตำแหน่งที่รุ่งเรืองที่สุดของฉัน จะได้รับผลตอบแทนอย่างไม่คาดฝัน ที่สำคัญ วันนี้ห้ามทำเรื่องไม่เข้าท่าเด็ดขาด”
“ไอ้โง่ อยู่อย่างนั้นไปตลอดงานแล้วกัน อย่าลืมไหว้คนอื่นด้วยล่ะ” จิ้งฉีด่า
“มีเวลาก็รีบไปหาข่าวสิ ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน” ลู่กั้วค้อนขวับ
“แล้วนายจะยืนอยู่นี่รอข่าวมันตกมาจากฟ้ารึไง”
“ชิ!” ลู่กั้วพยายามใจเย็น เขาไม่อยากจะออกไปหาข้อมูล ก็เลยเตรียมตัวท่องคาถา
อยู่ตรงนี้ก็สืบได้ ไม่โดนรบกวนจากคำสาปบ้าบออะไรด้วย ฉลาดจริงๆ เลยเรา


“ผู้ล่วงลับที่เดินเหินอยู่ในความมืดมิด จงฟังคำสั่ง...”
ขณะนี้ทุกคนนั่งอยู่ข้างนอกกันหมด ตรงนี้จึงปลอดภัยที่สุดแต่ว่า...
“เหล่าหลินมา”
ทันใดนั้นมีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา ตามด้วยเสียงกระซิบกระซาบ
“เกิดเรื่องอย่างนี้แล้วยังจะมาอีก” ใครคนหนึ่งถอนหายใจ
“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ลูกชายของเขาก็...เฮ่ย ไม่พูดดีกว่า”
“มันเป็นคำสาปจริงๆ เหรอ?” นอกจากความโศกเศร้าแล้ว การสนทนายังเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นด้วย
“ไม่ใช่แค่ลูกชายของเขานะ ลูกสาวของฉันด้วย แล้วยังมีคนที่ร่วมมือกันในตอนนั้น ทั้งเหล่าเอ๋อ เหล่าหวังก็...”
“โธ่เว้ย จะมีอะไรก็มาทำกับฉันสิ ทำไมต้องไปทำกับลูกสาวฉันด้วย?” เสียงพ่อของนักเรียนหญิงเจ้าของงานตะคอกออกมาอย่างโกรธเคือง
“เงียบหน่อยซี่ กลัวคนอื่นไม่ได้ยินรึไง” มีคนเกรงว่ากำแพงจะมีหู
เวลาเดียวกันนั้นคนเป็นพ่อก็คลี่ผ้าขาว มองออกไปดูว่ายังมีคนอื่นอยู่ในห้องวางศพอีกหรือไม่ โชคยังดี นอกจากศพลูกสาวที่คลุมผ้าขาวไว้ ก็ไม่เห็นใครสักคน
“นายคิดว่าเมื่อไหร่พวกเราจะโดนเข้ากับตัวเองบ้าง” เสียงสั่นเครือดังขึ้น
“ในปีนั้นคนที่รู้เรื่องมีพวกเราห้าคน ตอนนี้เหล่าเอ๋อ กับเหล่าหวังก็ตายแล้ว พวกนายก็สูญเสียคนใกล้ชิด จากนี้ก็น่าจะถึงคราวฉันแล้วล่ะ” อีกเสียงพูดจบก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ “ฉันยังไม่อยากตาย”
“หุบปากไปเลย ตอนนั้นพวกเราสาบานไว้ไม่ใช่รึไง ว่าจะไม่พูดเด็ดขาด นอกจากวิญญาณสองตนนั่น ยังจะมีใครรู้เรื่องอีก เราก็เชิญหมอผีไปจัดการแล้วแต่ว่า...”
“พวกนายยังดี คนหนึ่งถูกย้ายไปอยู่ที่อื่น อีกคนก็เกษียณแล้ว จะเหลือก็แต่ฉันที่ต้องผวาอยู่ในโรงเรียนนั่นคนเดียว”
“นายจะกลัวทำไม? อีกแค่สองเดือนก็เกษียณแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“อืม ถ้าเหล่าเอ๋อ ยังอยู่ก็คงดี ใช้อำนาจหัวหน้าฝ่ายอนุมัติให้ลาป่วยแล้วรอจนเกษียณไปเลย”
“เลิกพูดแบบนั้นซะที เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว มาช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะทำยังไงต่อ”
“ทำยังไง? พวกหมอผีที่จ้างมายังช่วยไม่ได้ แล้วพวกเราจะไปทำอะไรได้...ลูกๆ ของพวกนายก็กระโดดลงมาจากตึกนั่น หรือว่ามันคิดจะถอนรากถอนโคนพวกเราให้หมด ไม่สนแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะไปลาออก”
“เหล่าหลิน วางใจเถอะ พวกเราจะช่วยนายเอง เราลงเรือลำเดียวกันแล้วนี่” เสียงหนึ่งปลอบใจ
“อืม”
จากนั้น เสียงฝีเท้าดังขึ้นแล้วค่อยๆหายไป ลู่กั้วมั่นใจว่าพวกเขาจากไปแล้วจึงค่อยๆ ออกมาจากที่ซ่อนตัว โอ้พระเจ้า! นี่เขาได้ยินเรื่องอะไรเข้าให้เนี่ย
“ฮึๆ” ลู่กั้วหัวเราะชอบใจ “ไม่น่าเชื่อว่านอกจากฝีมือการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมแล้ว เรื่องอื่นเราก็ใช้ได้เหมือนกัน”
จิ้งฉีได้ยินเพื่อนพูดเช่นนั้นก็สั่นหัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ลู่กั้วตบอกตัวเองดังปึกแล้วพูดออกมา “หึ ฉันบอกแล้วไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายก็ต้องอาศัยฝีมือฉัน”
“ยังไงก็เหอะ คนพวกนั้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เราคงต้องเริ่มลงมือปฎิบัติการกันแล้วล่ะ” จิ้งฉีพูดเสียงเบา
“เรื่องเล็ก แกก็ลองดูละกันว่าจะทำยังไง”
“นายบอกว่าในกลุ่มนั้น มีคนหนึ่งยังเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนนี้ใช่มั้ย? รู้รึเปล่าว่าเป็นใคร?”
“น่าจะเป็นครูหลินที่สอนพละนะ”
“งั้น ต้องหาทางให้เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นออกมาให้หมด” จิ้งฉีครุ่นคิดหาหนทาง
“ชิ พวกนั้นไม่ใช่คนโง่ เรื่องสำคัญขนาดนั้น คงไม่เอามาบอกพวกเราง่ายๆ หรอก จริงมั้ยล่ะ”


มันเริ่มตั้งแต่สิบปีก่อน
โรงเรียนของเราจะมีคนฆ่าตัวตายทุกปี
ปีละคนหรือสองคน
ตลอดมาจนถึงทุกวันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น