บทที่ 6
ความลับของการแสดง
ความลับของการแสดง
ด้านหลังเวที
“เป็นยังไงบ้าง?” หลินเหวินถามลู่กั้วที่กำลังใช้ฝ่ามือตรวจสอบกำแพงอยู่
“ยังไม่รู้” สัมผัสไม่พบวิญญาณ ถ้าอย่างนั้นซือเต๋อก็ไม่ได้อยู่ในกำแพง แล้วเขาหายไปท่ามกลางสายตาผู้ชมได้ยังไง? หรือว่าจะเหมือนกับเจสสิก้า
“กลชุดนี้ต้องแสดงยังไงกันแน่ครับ?” จิ้งฉีสงสัย
“เป็นกลที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงทีเดียว เดิมทีซือเต๋อไม่ได้ตั้งใจจะแสดงกลชุดนี้หรอก แต่คงจะเป็นเพราะการตายของเจสสิก้า เขาจึงเปลี่ยนชุดการแสดงกะทันหัน” ท่านจูหว่านตอบยาว
“ก่อนหน้านี้เขาเตรียมจะแสดงอะไรเหรอครับ?” จิ้งฉีถามอีก
“เลื่อยไฟฟ้าหั่นคนเป็น” หลินเหวินตอบเสียงเรียบ
เปลี่ยนการแสดงกะทันหัน ซือเต๋อคงจะกังวลมากทีเดียว
“หายไปไหนกันเนี่ย” ลู่กั้วใช้กระแสจิตตามหาจนเครียด “ตอนแรกเขาเอาไข่ไก่ฟองหนึ่งยักเข้าไปในกำแพงแล้วเอามือหยิบออกมาจากอีกฝั่ง จากนั้นก็เอาม่านบังตัวเองแล้วฉายสปอตไลท์ให้เห็นเป็นเงาบนผ้า ฉันเห็นกับตาว่าเขาหายเข้าไปในกำแพง แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่ได้โผล่ออกมาอีกด้าน เป็นไปไม่ได้หรอกมั้งที่เขาจะติดอยู่ในกำแพงนั่นน่ะ”
“นายเห็นกับตางั้นเหรอ? ว่าเขาเข้าไปในกำแพงจริงๆ” จิ้งฉีถามย้ำชัดถ้อยคำ
“เอ่อ จริงๆ แล้วมันเป็นแค่การแสดงหลอกตาเท่านั้นแหละ มาเดี๋ยวฉันจะสาธิตให้พวกคุณดู” ท่านจูหว่านแสดงท่าทางออกคำสั่งให้ผู้ช่วยเอาไข่ไก่มาฟองหนึ่ง แล้วปรมาจารย์แห่งศาสตร์มายากลก็ใช้มือซ้ายทำท่ากดไข่ฟองนั้นเข้าไปในกำแพง ส่วนอีกมือก็เอื้อมไปหยิบไข่ออกมาจากอีกด้านหนึ่ง
ก่อนจะหันไปถามลู่กั้ว “แบบนี้ใช่มั้ย”
“ใช่ๆ” เจ้าหนุ่มผมเงินรีบพยักหน้าตอบ
“นี่เป็นการเล่นกับสายตาคนดู เธอลองมาดูด้านนี้สิ” ท่านจูหว่านแนะนำให้ลู่กั้วมายืนอยู่ฝั่งซ้ายมือของเขา แล้วแสดงให้ดูซ้ำอีกครั้ง
“อ้าว ท่านไม่ได้ยัดไข่เข้าไปในกำแพงนี่”
“ใช่แล้วล่ะ จริงๆ แล้วไข่อยู่ในมือขวาของฉันตลอด ฉันใช้นิ้วโป้งกดเอาไว้แบบนี้ ผู้ชมอยู่ทางด้านขวามือ จึงเห็นแต่หลังมือ ดังนั้นก็เลยไม่เห็นไข่ที่ซ่อนอยู่ในฝ่ามือ นี่แหละคือคำตอบว่าไข่ออกมาจากกำแพงได้อย่างไร”
“เจ๋งมาก ฉันจะจดเอาไว้” ลู่กั้วล้วงปากกาและสมุดบันทึกออกมาอย่างรวดเร็ว ลงมือจดยิกๆ
“เจ้าโง่” จิ้งฉีกระทบกระเทียบขึ้นมา “ความลับพวกนี้น่ะมันเป็นเหมือนชีวิตของนักมายากลเลยน่ะนั่น แกทำแบบนี้ก็เท่ากับทุบหม้อข้าวเขาน่ะสิ”
“ฮ่าๆๆ” หลินเหวินและท่านอาจารย์หัวเราะขึ้นเสียงดัง
“ถ้างั้น แล้วต่อจากนั้นมันเป็นยังไงกันแน่” ในใจของลู่กั้วเต็มไปด้วยคำถาม
“มันเป็นอย่างนี้” ท่านจู่หว่านส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยเอาม่านบังตามา แล้วเปิดด้านหนึ่งออก เพื่อให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ภายในได้ชัดเจน เพราะแสงไฟในบังตานั้นส่องออกมาจากด้านหลังดังนั้นแค่เดินเข้าไปเงาก็จะทอดชิดกำแพง ผู้ชมจึงเข้าใจว่านักมายากลคนนั้นเดินเข้าไปในกำแพงแล้ว
“แล้วหลังจากเปิดบังตาออก ทำไมไม่เห็นซือเต๋อล่ะครับ”
“ฮ่าๆๆ คุณพอจะจำได้ไหมว่าก่อนที่บังตาจะเปิดออก เกิดอะไรขึ้นบ้าง?” หลินเหวินพูดปนยิ้ม
“อืม...มีผู้หญิงออกมาร่ายรำ แล้วก็มีกลุ่มควันพลุ่งออกมา ไฟก็สลัวลงด้วย”
“ปกติ นักมายากลจะแอบอยู่หลังบังตา เพียงแต่ระวังอย่าให้ผู้ชมเห็นเป็นใช้ได้ ที่จริงไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แต่ดูแล้วความสามารถของซือเต๋อคงจะยังไม่ถึงขั้น” อาจารย์หว่านพูด
“ถ้างั้นสุดท้ายก็แค่ออกมาจากกำแพงก็สิ้นเรื่องไม่ใช่เหรอครับ” จิ้งฉีถาม
“ใช่ ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ให้คนดูเห็นเงามายากลชุดนี้ก็จะจบอย่างสวยงาม”
“แล้วซือเต๋อจะหายไปได้ยังไงครับ” จิ้งฉีถามเสียงเครียด
“พวกเราก็อยากจะรู้เหมือนกัน ผู้ช่วยบอกว่าหลังจากแสงไฟสลัวลงแล้ว ก็เข็นบังตาไปด้านหน้า แต่พวกเขายืนอยู่อีกด้าน จึงไม่เห็นว่าซือเต๋อยังอยู่ในนั้นรึเปล่า”
“แต่พวกเขาก็ยืนยันว่าซือเต๋อไม่ได้มุดเข้าไปในกำแพง ใช่ไหมครับ”
“อืม...แต่ว่าหลังจากนั้นพวกเราไม่ได้สังเหต”
“งั้นก็เป็นไปได้ว่า หลังจากที่แสงไฟสลัวลงแล้ว ซือเต๋ออาจจะเดินออกไปจากบังตาก็ได้”
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” อาจารย์จูหว่านและหลินเหวินมองตากัน “แต่ว่าเขาจะรีบออกไปทำไมหล่ะ”
“ไม่รู้สิ” จิ้งฉีตอบ อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่า นี่เป็นฝีมือมนุษย์ไม่ใช่วิญญาณเหี้ยน
ลู่กั้วยกมือขึ้นถาม “ผมอยากรู้ว่าซือเต๋อจะลงเวทีไปได้ยังไง”
“ง่ายมาก ไม่รู้ว่าพวกคุณจำได้รึเปล่า ตอนนั้นบังตาหันข้างหลัง ผู้ช่วยก็ขึ้นไปเต้มรำบนเวทีกระจายความสนใจของผู้ชม เขาน่าจะถือโอกาสลงมาตอนนี้แหละ” อาจารย์จูหว่านให้ข้อสังเกต
“เขาหนีไปจริงๆ งั้นเหรอ?” หลินเหวินไม่เข้าใจ
“ถ้าคิดจะหนีเขาคงหนีไปตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ไม่มาแสดงให้เสียเวลาหรอก” จิ้งฉีพูดขึ้น เขายังติดใจเรื่องที่คนงานบอกเมื่อกี้ เรื่องเมื่อสามปีก่อน “อาจารย์จูหว่าน อาจารย์รู้เรื่องเมื่อสามปีก่อน ที่มีโรงเรียนมายากลมาเปิดรับสมัครนักเรียนที่โรงละครนี้ไหมครับ”
“สามปีก่อน?” จูหว่านคิด “อืม เคนได้ยินอยู่เหมือนกัน มันมีอะไรงั้นเหรอ?”
“เปล่า ไม่มีอะไรครับ” จิ้งฉีหยุดประเด็น คิดว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นจะดีกว่า
“จำได้ว่าครั้งนั้นหลอซูเคยเป็นอาจารย์รับเชิญด้วย หลินเหวินจำได้รึเปล่า” อาจารย์จูหว่านหันไปถาม
“ใช่ ช่วงนั้นหลอซูไปโรงเรียนนั้นบ่อยๆ คลับคล้ายคลับคาว่าเมื่อสามปีก่อนตอนที่พวกเขามารับสมัครนักเรียน หลอซูก็ยังไปร่วมเป็นผู้ตัดสินด้วย ลองถามเขาดูสิน่าจะได้เรื่องมากกว่า” หลินเหวินนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีต
หรือว่าฆาตกรจะเป็นหลอซู? จิ้งฉีมีคำถามอยู่ในใจแต่ไม่ได้กระโตกกระตากออกมา
“ไม่มีอะไรหรอก ผมได้ยินมาก็เลยถามดูเท่านั้นเอง”
“ชิ ไรสาระ” ลู่กั้วดูหมิ่น “อาจารย์จูหว่านครับ ผมมีเรื่องจะถาม หลี่ลู่เอาศพใส่เข้าไปในกรงไม่ได้จริงๆเหรอ?”
“คงไม่ได้หรอก มายากลชุดนั้นน่ะ พื้นที่เป็นเรื่องสำคัญ กรงที่ถูกสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษจะปล่อยให้มีช่องว่างมากไปไม่ได้ เกิดเสือตกใจตื่นตระหนกขึ้นมาจะเสียเรื่องเปล่าๆ ดังนั้นก่อนการแสดงจะมีคนเอาเนื้อโยนเข้าไปให้เสือกินก่อน เพื่อไม่ให้หิวแล้วส่งเสียงร้องออกมาระหว่างแสดงน่ะ”
“งั้นก็คงเอาศพใส่เข้าไปไม่ได้จริงๆ”
“เรื่องศพของเจสสิก้า ฉันเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน” อาจารย์จูหว่านพูด
“ถ้างั้น...” จิ้งฉีเอ่ยขึ้นเบาๆ สังเกตเห็นลู่กั้วกำลังจับตามองอยู่เหมือนจะก่นด่าตัวเองอยู่ในใจว่า
เจ้าบ้า เซ้าซี้ถามอยู่ได้ ก็เห็นๆว่า นี่มันฝีมือวิญญาณเฮี้ยนชัดๆ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับไปดูการแสดงก่อนนะครับ ดูเหมือนอู๋หมิงใกล้จะเริ่มแสดงแล้ว” หลินเหวินยกนาฬิกาขึ้นมอง
“อืม ก็ดีเหมือนกัน” ลู่กั้วคิดจะออกไปดูการแสดงพร้อมหลินเหวินกับอาจารย์จูหว่าน แต่ถูกดึงเอาไว้เสียก่อน
“อะไรอีกล่ะ”
“จะอะไรเสียอีกล่ะ ทำงานน่ะสิ เจ้าโง่” จิ้งฉีจ้องเขม็ง
“ซือเต๋อหนีไปเอง จะตรวจสอบอะไรอีก?” ลู่กั้วสะบัดมือออก
“แล้วเรื่องศพเจสสิก้าล่ะ? ฉันอยากให้นายไปดูทางนั้นหน่อย ไม่รู้จะมีร่องรอยของวิญญาณรึเปล่า”
“ชิ ทำไมไม่ไปเองล่ะแก” ทั้งๆ ที่รู้ว่าจิ้งฉีไม่มีพลังเวทมากมายขนาดนั้นแต่ก็ยังจงใจพูดกระทบกระเทียบ ทว่าพูดออกไปแล้วกลัวรู้สึกเสียใจขึ้นมา “ช่างเถอะ ไปดูให้ก็ได้”
“เฮอะ” จิ้งฉีหมั่นไส้ ถ้าหากมีพลังเวทมากพอก็ไม่ง้อเจ้านี่หรอก
ลู่กั้วปีนเข้าไปในกรงเหล็ก ใช้มือสัมผัสพื้นตรวจสอบความผิดปกติแต่แล้วก็ต้องหดมือกลับอย่างทันทีทันใด
“เป็นไงบ้าง?”
“มีคนเคยใช้เวทมนตร์ตรงนี้” หันไปมองจิ้งฉี “หรือว่าจะใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายศพเจสสิก้า”
“แต่ฆาตกรจะเป็นใครกันล่ะ?” จิ้งฉีครุ่นคิด เขานึกรู้อยู่แล้วว่านี่ต้องไม่ใช่ฝีมือวิญญาณร้ายธรรมดาๆ แต่ต้องมีใครบางคนควบคุมเกมอยู่
“ยังจะต้องให้พูดอีกเหรอ ก็ฝีมือเข้าวิญญาณร้ายที่เรายังหาไม่เจอนั่นแหละ” ลู่กั้วฉุนขึ้นมา
“น่าขัน ไม่รู้เจ้าโง่คนไหนนั่งเถียงกับฉันหน้าดำหน้าแดงไม่ยอมเลิกว่าหลี่ลู่เป็นฆาตกร”
“ก็ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เข้ามาในกรงนี้จะรู้ได้ยังไงล่ะ อีกอย่างศพของเจสสิก้าก็อยู่ในกรงเขาด้วย แกบอกได้มั้ยล่ะว่าทำไมศพถึงไม่ไปโผล่ในการแสดงของคนอื่น เป็นธรรมดาที่เจ้าหมอนี่จะตกเป็นผู้ต้องสงสัย” ลู่กั้วแก้ตัวอย่างมีเหตุผล
“นั่นสิ ทำไมต้องเลือกกรงหลี่ลู่ ถ้าหากเป็นวิญญาณแค้นจริงๆ ล่ะก็จะทำให้วุ่นวายไปทำไม ทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุก็สิ้นเรื่อง หรือว่าจริงๆ แล้วเป้าหมายของมันไม่ใช่แค่เจสสิก้า เป็นไปได้ไหมที่มันจะใช้พลังของวิญญาณเฉพาะตอนย้ายศพเข้าไปในกรงเท่านั้น?” จิ้งฉีถามออกมา “แต่ว่าตอนกล่องมายากลของเจสสิก้าเปิดออก ทำไมถึงได้มีพลังเวทมนตร์พุ่งออกมาได้ล่ะ นายไม่รู้สึกบ้างเหรอ?”
“ชื นี่แกตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่” ลู่กั้วไม่สบอารมณ์ คิดว่าจิ้งฉีกำลังโอ้อวดความสามารถ
“ไม่เป็นไร สัมผัสของฉันคงผิดพลาดน่ะ แต่ถ้าหากเป็นฝีมือมนุษย์จริง แล้วใครเป็นคนฆ่าเจสสิก้าล่ะ? ทำไมต้องเอาศพไปไว้ในกรงของหลี่ลู่ด้วย ทำไม...เอ๊ะ! เดี๋ยว...” แววตาของจิ้งฉีเป็นประกายขึ้นแวบหนึ่ง
“อาจจะเป็นวิญญาณร้ายเข้าสิงอยู่ในร่างใครคนหนึ่ง แล้วฆ่าเจสสิก้าด้วยวิธีแบบมนุษย์ก็ได้ จากนนั้นก็ใช้ฤทธิ์เอาศพใส่เข้าไปในกรงเสือ” ลู่กั้วคาดการณ์
“งั้นเหรอ แล้วมันสิงอยู่ในตัวใคร นายรู้งั้นเหรอ?” จิ้งฉีไม่ยอมเชื่อในการคาดคะเนของลู่กั้ว
“งั้นไหนลองบอกมาซิ” จิ้งฉีไม่อยากจะเชื่อว่าลู่กั้วจะรู้จริงว่าใครเป็นฆาตกร
“อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดนักสิ นายลืมไปแล้วรึไง ก่อนเริ่มการแสดง ลูกพี่ลู่กั้วคนนี้ไปแปะยันต์สลายวิญญาณไว้บนตัวทุกคนแล้ว ตอนแรกก็แค่ให้ป้องกันตัวจากวิญญาณร้าย แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าช่วยให้ฉันคลี่คลายคดีได้ ว่ะฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าฉันจะฉลาดปราดเปรื่องคาดการณ์ล่วงหน้าออกได้ปานนี้ ยังไงๆ ฉันต้องจับวิญญาณร้ายให้ได้แน่นอน ฮ่าฮ่า”
“เฮอะ แล้วมันเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าตรงไหนล่ะนี่” จิ้งฉีระอา มองไปที่ลู่กั้วซึ่งกำลังใช้เวทมนตร์อยู่ แล้วคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม มีข้อสงสัยอยู่ 3 จุด
ข้อที่ 1 ทำไมฆาตกรจึงตั้งใจให้ศพของเจสสิก้าไปโผล่ในการแสดงของหลี่ลู่
ข้อที่ 2 แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อ 3 ปีหก่อนแล้วใครเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนั้นบ้างและสุดท้าย
ข้อที่ 3 ซือเต๋อหายไปไหน เหตุใดเขาถึงเลือกที่จะหายตัวไปเสียเฉยๆ
นี่ไม่ใช่เหตุฆาตกรรมแบบธรรมดาๆ ทั่วไป และก็ไม่ใช่การแก้แค้นของวิญญาณร้าย เรื่องมันยุ่งยากกว่าที่คิดเสียอีก
จิ้งฉีถือโอกาสที่ลู่กั้วมัวยุ่งกับการหาหลักฐานพิสูจน์ตัวฆาตกรแอบกลับมานั่งดูการแสดงก่อน บนเวทีอู๋หมิงเพิ่งจะเริ่มเล่นการแสดง
“เป็นไงบ้าง? หาซือเต๋อพอรึยัง” หลินเหวินที่นั่งอยู่ข้างๆ ถาม
“ยังไม่พบ แต่ผมมีบางอย่างจะถามคุณหลอซู ได้มั้ย?”
“ได้สิ” หลินเหวินให้ความร่วมมือแลกที่นั่งกับจิ้งฉีอย่างเต็มใจ
“คุณหลอซู คุณรู้ไหมว่าเมื่อสามปีก่แอนเกิดอะไรขึ้น” จิ้งฉียิงคำถามไปตรงๆ
“สามปีก่อน...” หลอซูคิดย้อนไปในอดีต
“อ๋อใช่ ตอนนั้นมีโรงเรียนสอนมายากลมาเปิดรับสมัครนักเรียนที่นี่ แต่สุดท้ายครูฝึกคนหนึ่งถูกโคมไฟทับตาย มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหะน ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ตำรวจบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ จริงสิ ฉันเคยเป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนนั้นด้วยนะ”
“ถ้างั้นคุณคงรู้สิน่ะว่า ครูฝึกคนนั้นมีญาติมิตรอยู่ในวงการมายากลรึเปล่า”
“เรื่องนั้น... ฉันรู้ว่าเขามีคนรักเป็นนักมายากลเหมือนกัน แต่ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่ยอมพูดถึงเขาอีกเลย เออจริงสิ ซือเต๋อก็น่าจะรู้จักพวกเขานะ”
“ซือเต๋อ!” จิ้งฉีอุทานออกมา
“ใช่ ไม่ใช่แค่ซือเต๋อ เจสสิก้ากับอู๋หมิงก็เคยเป็นครูอยู่โรงเรียนนั้นเหมือนกัน”
“เอ๊ะ ก็ตอนสอบปากคำพวกเขาบอกว่าไม่รู้จักกันมาก่อนไม่ใช่เหรอ?” จิ้งฉีแปลกใจ
“ตอนนั้นฉันก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน แต่พูดอะไรมากไม่ได้” หลอซูบอก
“แล้วที่ศพของเจสสิก้าไปโผล่ในกรงของหลี่ลู่ คุณคิดว่ายังไง?” จิ้งฉีคิดว่าฟังหลายๆ ความเห็นน่าจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มบ้าง
“เฮ้อ ...ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นแบบนั้น นี่ถ้าหากไม่ต้องหยุดแสดงกลางคัน ก็คงไม่วุ่นวายอย่างนี้หรอก” หลอซูพูดยิ้มๆ “เพราะอะไรน่ะเหรอ ฮ่าฮ่า อุปกรณ์ชิ้นสำคัญของฉันมันหายไปหน่ะสิ”
“หา มันคืออะไร? แล้วหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่” จิ้งฉีผุดลุกขึ้นยืนอย่างปุบปับ และต้องรีบนั่งลงหลังจากผู้ชมต่อว่าเข้าให้
“อุปกรณ์ที่ใช้ในการบิน แต่วันนี้หาพบแล้วล่ะ อยู่ในกล่องอุปกรณ์น่ะ”
เส้นด้าย? เส้นด้ายที่ใช้กับศพของเจสสิก้า ใช่แล้ว เพื่อขัดขวางการแสดงของหลอซู จึงเอาศพของเจสสิก้าไปใส่ไว้ในกรงของหลี่ลู่แต่ว่า...ถ้าคิดในทางที่ดีต่อหลอซู เป้าหมายของคนร้ายคงจะเพื่อแก้แค้น
จิ้งฉีเริ่มเข้าใจแล้ว แต่ความคิดและข้อมูลต่างๆ ก็ยังคงสับสนอยู่ โอกาสในการยืนยันตัวฆาตกรยังคงห่างไกล
บนเวที ผู้ช่วยของอู๋หมิงเข็นกล่องใบใหญ่ออกมา
หลี่ลู่หันไปถามอาจารย์จูหว่าน “อาจารย์ แหมิงเปลี่ยนการแสดงเหรอ? ถ้างั้นคนที่เปลี่นรการแสดงก็มีทั้งหมด 3 คนเลยสิ”
อาจารย์จูหว่านพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างแปลกใจ “3คน? ถ้านับรวมซือเต๋อก็มีแค่2 คนเท่านั้นนี่ ยังมีใครอีก...”
“ฉันเอง” หลินเหวินออกตัว
“หือ? หลินเหวินก็ด้วยเหรอ เดิมทีเธอตั้งใจจะแสดงอะไร?”
“เออ...การเหินบิน แต่มันเผอิญไปเหมือนกับหลอซูฉันก็เลยเปลี่ยน ก็หลอซูได้รับถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์มาเต็มที่เลยนี่น่า ฉันไม่กล้าต่อกรด้วยหรอก” หลินเหวินตอบปนยิ้ม
จิ้งฉีเงียบ เขากำลังใช้ความคิด เรื่องนี้จะมีอะไรเกี่ยวพันกันหรือไม่?
ทันใดนั้น อยู่ๆ ลู่กั้วก็ตรงรี่ขึ้นไปบนเวที แล้วตะโกนสั่งให้หยุดการแสดงต่อหน้าผู้ชมเสียงดังลั่น
“อะไรกันน่ะ?” เสียงจ้อกแจ้กดังขึ้น ความอลหม่านกำลังเริ่มต้น ผู้ชมพากันลุกโดยอัตโนมัติ บางคนที่อารมณ์ร้ายก็ตะโกนด่าทอออกมา
“เจ้าบ้านั่นมาจากไหน เอามันออกไป”
“พวกเราเสียเงินเข้ามามีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้หยุด”
“ไอ้โง่เอ๊ย” จิ้งฉีทนไม่ไหว พ่นคำด่าออกมาอย่างไม่ต้องคิด
“ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ ขณะนี้เราพบระเปิดอยู่ในโรงละครแห่งนี้ เพื่อความปลอดภัยขอให้ระมัดระวัง กรุณา...” ลู่กั้วยังไม่ทันพูดจบ เสียงหวีดร้องก็ดังกลบเสียก่อน ผู้คนต่างแยกย้ายหนีตายออกประตูไปอย่างชุลมุน แม้แต่ตำรวจก็คุมสถานการณ์ไม่อยู่เสียแล้ว
“บัดซบ” สายตาคู่หนึ่งจ้องลู่กั้วอย่างโมโหสุดๆ
“ไอ้หมาหน้าโง่ แกทำบ้าอะไรเนี่ย” จิ้งฉีแทบจะกระโจนขึ้นไปบนเวที กระชากคอเสื้อของลู่กั้วอย่างแรง ขณะเดียวกันนั้น นายตำรวจคนหนึ่งก็พุ่งขึ้นไปหาอย่างฉุนเฉียว
“รู้มั้ยทำแบบนี้ ผลมันจะเป็นยังไง”
“ผมรู้เพียงแต่ว่าถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วผลมันจะออกมาอย่างไร” ลู่กั้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น “คนดูพวกนั้นอาจจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่เลยก็ได้”
ยากมากที่จะได้เห็นท่าทางจริงจังของเจ้าหมอนี่ ดูท่าคงจะพบบางอย่างเข้าให้แล้ว จิ้งฉีปล่อยมือจากคู่หู
“มีระเบิดแล้วจะเรียกพวกเราขึ้นมาบนเวทีทำไม ฉันยังไม่อยากตายนะ” หลี่ลู่ประท้วงขึ้นกลางเวที
“พวกคุณไม่อยากรู้รึไง ว่าฆาตกรเป็นใคร” ลู่กั้วกวาดสายตามองทุกคนในที่นั้น
“เธอรู้ตัวแล้วเหรอ?” อาจารย์จู่หว่านถามขึ้น
“ฮ่าๆๆ เพราะการคาดการณ์ล่วงหน้าของผมแท้ๆ ก่อนจะเริ่มการแข่ง ผมได้ติดของบางอย่างลงบนตัวพวกคุณทุกคน แล้วไอ้เจ้าสิ่งนั้นก็ช่วยผมได้มากเลยแหละ มันบอกกับผมว่าฆาตกรได้อยู่ในกลุ่มพวกคุณนี่เอง”
ไอ้โง่ ไม่รู้รึไงว่าการใช้เวทมนตร์หาตัวฆาตกร จะใช้เป็นหลักฐานยืนยันไม่ได้ โง่บริสุทธิ์จริงๆ
จิ้งฉีบ่นด่าอยู่ในใจ อาศัยข้อมูลที่รวบรวมมาได้ ขณะนี้เขาก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการชี้ตัวคนร้าย
“จริงๆ รึ ไหนบอกมาซิว่าใครเป็นคนฆ่าเจสสิก้ากับซือเต๋อ” หลินเหวินกล่าว
จิ้งฉีกอดอกหลับตา
ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น รีบบอกมาสิไอ้โง่
“ฆาตกรคือ...คุณ” นิ้วชี้ของลู่กั้วชี้ไปที่อาจารย์จูหว่าน
“โอ๊ะ โทษที ผิดตัว” เขาเลื่อนนิ้วชีไปทางขวา
ทุกคนมองนิ้วของลู่กั้วอย่างตื่นเต้น
“ฉันเรอะ?” หลินเหวินงง
จิ้งฉีสะกิดตำรวจนายหนึ่งแล้วกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูเขา
“ไม่ตลกไปหน่อยรึไอ้หนู จะบอกว่าฉันเป็นฆาตกร พูดพล่อยๆ แกมีหลักฐานรึเปล่า เอาออกมาแสดงเลยสิ”
“ไอ้สารเลว ฉันจะบอกให้รู้ ยันต์ที่ฉันติดไว้บนตัวแกมันหายไป...”พูดจบแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ ลู่กั้วก็ถึงกับอึ้งไป พูดอะไรต่อไม่ออก
“ไอ้หนู แกบ้าดูหนังสืบสวนมากไปรึเปล่า กลับไปดูอีกซักร้อยเรื่องแล้วค่อยมาว่ากันใหม่ปะ” หลินเหวินหัวเราะเยอะเย้ยลู่กั้ว
“เจสสิก้าไม่ได้ออกมาจากกล่องมายากล แต่เธอก็ไม่ได้ตายอยู่ในกล่องนั่น” จิ้งฉีประมวลข้อมูลที่รวบรวมเอาไว้พยายามหาเหตุผลให้กับเรื่องราวทั้งหมด ทั้งที่ไม่แน่ใจอะไรเลย ทำแบบนี้เหมือนไล่เป็ดขึ้นบันไดแท้ๆ
“แต่พวกเราก็ได้ยินเสียงร้องของเจสสิก้านี่” หลี่ลู่พูดขึ้นอย่างแปลกใจ
“มันก็ใช่ แต่พวกคุณอย่าลืมสิ เพชฌฆาตคนนั้นเป็นผู้ช่วยของเจสสิก้านะ เขาต้องรู้ว่าจะแทงตรงไหน แค่ตาไวมือไวหน่อยก็หลบได้แล้ว ถ้าทายไม่ผิดผมว่าเจสสิก้าน่าจะคุกเข่าอยู่ เพราะเพชฌฆาตตัวสูงใหญ่ คงไม่แทงไปต่ำๆแน่”
“งั้นเจสสิก้าจะทำอย่างนี้เพื่ออะไร?”
“น่ากลัวว่าจะมีใครบอกให้เธอทำสิ่งที่ไม่คาดคิดล่ะมั้งครับ” จิ้งฉีคาดการณ์
“แต่ที่ผ่านมา เจสสิก้าชอบทำอะไรเหนือความคาดหมายอยู่เสมอ แล้วจะยืนยันว่าหลินเหวินเป็นฆาตกรได้อย่างไร?” หลอซูโต้แทนศิษย์ร่วมสำนัก
“เมื่อกี้คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าเกือบแสดงเหินบินไม่ได้ เพราะเจสสิก้าและหลินเหวินยืมอุปกรณ์คุณไปใช้ นั่นก็เพื่อให้การหายตัวไปของเจสสิก้าจบลงอย่างสมบูรณ์ยังไงล่ะ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หลินเหวินต้องเปลี่ยนการแสดง”
ตำรวจหลายนายช่วยกันยกกล่องมายากลของเจสสิก้าขึ้นมาบนเวที
“ทุกท่านลองสังเกตดูตรงนี้ให้ดีๆ” จิ้งฉีชี้ไปที่รูที่อยู่ด้านบนของกล่องมายากล
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเขาอาศัยตอนที่เพชฌฆาตเดินลงเวที เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงและไฟบนเวทีมืดลง ดึงเส้นด้ายที่ผูกอยู่กับตัวเจสสิก้าขึ้นไป แล้วด้ายอีกเส้นก็ใช้ปิดฝากลับเข้าที่ แค่นี้ก็เรียบร้อย นี่แหละความลับขอวกล่องมายากลล่ะ”
“คราบนี่...” อาจารย์จูหว่านยังไม่ปักใจเชื่อว่าหลินเหวินเป็นคนทำ เจสสิก้าอาจจะจงใจทำเรื่องนี้ เพื่อการแสดงของเธอจบลงอย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้ แต่ว่ากลับเกิดความผิดพลาดใหญ่หลวง
“คงจะเป็นคราบเลือดล่ะมั้ง?” ตำรวจก็สังเกตเห็น
“ใช่แล้ว เจสสิก้าถูกแทงทะลุปอดกับหัวใจ แต่พวกคุณดูสิ ประตูกล่องกลับไม่มีคราบเลือดแม้แต่หยดเดียว ดาบแทงเข้าหัวใจ เลือดก็ควรจะพุ่งไปโดนประตู ดังนั้นจากตรงนี้บอกได้เลยว่า ตอนนั้นเจสสิก้ายังไม่ตาย เวลาตายที่แท้จริงของเธอคือหลังจากลงเวทีไปแล้ว หลินเหวินทำไมคุณถึงต้องทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเจสสิก้าตายอยู่ในกล่องมายากล คุณรู้ดีอยู่แล้วว่าไม่ว่าจะยังไงก็ตามบาดแผลบนตัวของเธอก็ไม่น่าจะตรงกับรอยแทงบนกล่องมายากล คุณจึงใช้วิธีบางอย่างเอาศพของเธอใส่เข้าไปในกรงของหลี่ลู่ คำถามคือทำไปเพื่ออะไรกัน”
ด้านหลี่ลู่เริ่มจะเชื่อเหตุผลของจิ้งฉีบ้างแล้ว
“ข้อแรก เพื่อปกปิดร่องรอยของบาดแผลซึ่งอาจจะสาวมาถึงตัวคุณเองได้ เพราะตอนนั้นทางตำรวจที่มัวแต่วุ่นวายอยู่ไม่ได้สนใจที่จะตรวจสอบระยะบาดแผลว่าตรงกับตำแหน่งการแทงบนกล่องมายากลรึเปล่า หรืออีกข้อหนึ่งก็เพื่อสกัดกั้นการแสดงของผู้แข่งขันคนต่อไป”
“คิดจะขัดขวางการแสดงของฉันงั้นเหรอ?” หลอซูนิ่งงง
“ถูกแล้ว หลินเหวินต้องใช้เชือกถึงสองเส้น เพื่อให้แผนของเขาเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าเส้นหนึ่งเป็นของเขาเอง และอีกเส้นก็เป็นของคุณ หลอซู”
“เลิกล้อเล่นได้แล้วพวกแกก็รู้นี่ว่าฉันต้องแสดงต่อจากเจสสิก้าแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปก่อเรื่อง นี่มันวิธีสืบคดีอะไรของพวกแก จะบอกว่ามีพลังวิเศษงั้นเหรอ”
จิ้งฉีส่งซิกให้ลู่กั้วมาช่วยเสริม
“ถูกต้อง ก่อนเริ่มแสดงผมแปะยันต์สลายวิญญาณไว้บนตัวของพวกคุณเพื่อป้องกันวิญญาณร้าย แต่ว่ายันต์สลายวิญญาณไม่ใช่แค่คุ้มครองเท่านั้น มันยังช่วยสังเกตการณ์ได้ด้วย ก็อย่างที่บอก ยันต์สลายวิญญาณที่ติดอยู่บนตัวคุณหายไป นั่นแหละเครื่องยืนยันว่าคุณใช้พลังเวทมนตร์บางอย่าง
เรานี่มันฉลาดสุดๆ จริงๆ
ลู่กั้วนึกชมตัวเอง
“วิญญาณร้าย” ทุกคนหยุดปากนิ่งอึ้งไปตามๆกัน ไม่อยากจะเชื่อว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย
ช่างเถอะรู้แล้วก็รู้ไป เดี๋ยวค่อยล้างความทรงจำพวกเขาทีหลังก็แล้วกัน
จิ้งฉีคิดการณ์ไว้ในใจ
“และเป้าหมายที่แกต้องใช้พลังวิญญาณก็คือคนๆ นี้” ลู่กั้วไปหยุดอยู่หน้ากล่องมายากลของอู๋หมิงที่เตรียมไว้จะแสดง เปิดประตูออกทันใดนั้น ร่างของใครคนหนึ่งก็ล้มตึงลงบนพื้น คนๆ นั้นคือ...ซอเต๋อ
“หา นี่มันเป็นไปได้ยังไง” อู๋หมิงถอยหลังกรูด “ก่อนจะขึ้นเวที ฉันก็ตรวจดูแล้วนี่”
“ไม่งั้นผมจะบอกว่าใช้พลังวิญญาณได้ไงล่ะ คนธรรมดาทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก” ลู่กั้วพูด
“แต่เมื่อวานหลินเหวินก็เกือบจะถูกโคมไฟทับตายเหมือนกันนะ” อาจารย์จูหว่านยังคงแก้ตัวให้ลูกศิษย์
“ก็แค่อุบายตื้นๆ ให้คนอื่นตายใจ เจ้าตัวตลกบนกำแพงนั่นก็ฝีมือเขานี่แหละ” ลู่กั้วเพิ่มเติม
“ฮ่าๆๆ ฉันว่าพวกเธอคิดมากไปมั้ง” หลินเหวินหัวเราะขึ้น “ตอนซือเต๋อหายตัวไป ฉันก็นั่งอยู่กับคนดูตลอด ถามหน่อยเถอะ ฉัน จะฆ่าเขาได้ยังไง วิญญาณร้ายบ้าบออะไรที่พวกเธอพูดมันก็แค่เรื่องหลอกเด็ก เที่ยวเอามาอ้างส่งเดชแบบนี้ เป็นหลักฐานยืนยันไม่ได้หรอก”
“ไม่รู้ว่าทุกคนยังพอจะจำได้รึเปล่า เมื่อกี้ตอนขึ้นมาบนเวที คุณพูดออกมาประโยคหนึ่ง...”
จิ้งฉีพูดชวนให้ทุกคนหวนคิด
“ไหนบอกมาซิว่าใครเป็นคนฆ่าเจสสิก้ากับซือเต๋อ ถ้าไม่ใช่ซือเต๋อคุณจะรู้ได้ไงว่าซือเต๋อตายแล้ว ทั้งที่ตอนอยู่หลังเวทีคุณเองไม่ใช่เหรอที่ย้ำอยู่ตลอดว่าเขากลัวจนแอบหนีไปแล้ว หึๆ คุณคงต้องอธิบายให้พวกเราฟังหน่อยแล้วล่ะ คุณหลินเหวิน”
หลินเหวินเงียบ พูดไม่ออก
“สาเหตุของเรื่องทั้งหมด ถ้าคิดไม่ผิดน่าจะเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อน ผู้ตายเป็นคนรักของคุณใช่มั้ย?” น้ำเสียงของจิ้งฉีอ่อนลง
“ใช่ ตอนนั้น...มันไม่ใช่อุบัติเหตุ” หลินเหวินก้มหน้าลง “ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นฝีมือ เจสสิก้า ซือเต๋อและอู๋หมิง ที่อิจฉาจนคิดฆ่าเขา”
“พูดอะไร ตอนนั้นพวกเราก็เป็นครูจะไปอิจฉาครูฝึกหัดนั่นทำไม?” อู๋หมิงร้อนรนขึ้นมา
“ถ้าไม่มีอะไร แล้วทำไมต้องเผาข้าวของเขาทิ้ง ทำไมต้องทำพิธีส่งวิญญาณด้วย...ถ้าวันนั้นฉันไม่ได้ยินพวกแกคุยกันที่สุสาน ฉันก็คงไม่กล้ามั่นใจว่าพวกแกฆ่าเขา ฉันรอเวลานี้มาตั้งหลายปี เวลาที่จะได้แก้แค้นพวกแก”
“แต่ดูเหมือนคุณไม่ได้ตั้งใจจะแก้แค้นพวกเขาในการแข่งขันครั้งนี้นี่ เพิ่งจะมาตัดสินใจกะทันหันใช่มั้ย” จิ้งฉีพูด ทั้งที่เตรียมการไว้แต่แรกแล้วแท้ๆ ทำไมถึงเปลี่ยนใจรีบลงมือ อาจจะเป็นเพราะการปรากฎตัวของวิญญาณแค้นตนนั้นกระทัง ที่ทำให้เขาเปลี่ยนความตั้งใจคิดแก้แค้นอย่างกะทันหัน
“ฉันคิดจะฆ่าพวกมันอยู่แล้ว แต่คนๆ นั้นบอกว่า เขาจะให้โอกาสฉันแสดงมายากลที่น่าตื่นเต้นที่สุด โดยใช้เวทีนี้เป็นที่แสดงการฆ่านั่นแหละคือโชว์อันสุดยอด มอบความระทึกขวัญน่ากลัวให้แก้พวกผู้ชม มีเสียงกรีดร้องที่โหยหวนเป็นรางวัล” สีหน้าของหลินเหวินฉายแววดุดัน ไม่เหมือนใบหน้าที่อ่อนโยนในยามปกติ
“เพี๊ยะ!”
ฝ่ามือของอาจารย์จูหว่านปะทะใบหน้าที่แดงก่ำของหลินเหวิน
“นี่ฉันสอนอะไรแกไปกันแน่ มายากลเป็นแค่เครื่องมือแก้แค้นงั้นหรือ...มายากลคืองานศิลปกรรมชั้นเลิศของมนุษย์ มันคือการละเล่นชั้นสูง มันคือความตื่นตาตื่นใจในระดับสุดยอดสำหรับผู้ชม น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ เวลาหลายต่อหลายปีที่ฉันทุ่มเทสอนแกมา มันสูญเปล่าจริงๆ แกไม่คู่ควรจะเป็นศิษย์เอกของฉัน!” อาจารย์จูหว่านตัวสั่นระริกด้วยความเดือดดาล
“คุณหลินเหวิน” ตำรวจนายหนึ่งทำท่าเชิญหวินเหวินออกไป
“ดี พวกคุณคุมตัวเขาไปก่อน” ลู่กั้วยืนอยู่ข้างหลังอาจารย์จูหว่านและคนอื่นๆ เขียนยันต์ขึ้นอย่างคล่องแคล่ว อีกไม่เกิน 5 นาที ทุกคนก็จะลืมเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณร้ายไปหมดสิ้น
“อยู่ทำอะไรอีก” จิ้งฉีมองลู่กั้วอย่างระอา เจ้าหมอนี่ไม่น่าทำเรื่องให้มันใหญ่โตเลย
“ชิ กลัวก็กลับไปก่อนไป” ลู่กั้วพูดแล้วเดินเข้าไปหลังเวที
“จับวิญญาณร้ายได้แล้วเหรอ” จิ้งฉีตามติดมาข้างหลัง
“ก็จับได้น่ะสิ” ลู่กั้วทำหน้าปะหลับปะเหลือก “แต่ก็แค่ปิดยันต์สะกดเอาไว้ก่อนชั่วคราว”
“ถ้าเป็นวิญญาณร้ายธรรมดา...” จิ้งฉีหยุดคำ
ทำไมลู่กั้วถึงแค่ปิดยันต์เอาไว้ ไม่ส่งไปโลกหลังความตายเสียเลยล่ะ
“ถ้าแค่วิญญาณร้ายธรรมดา ฉันจะมาตามแกไปดูแบบนี้เหรอ” ลู่กั้วเหลือกตาใส่ “มันไม่ธรรมดาอย่างที่แกคิดรู้เอาไว้เจ้าเบื้อก”
“ไม่ใช่แค่วิญญาณร้าย?” จิ้งฉีคิดไม่ออกว่าจะยังมีอะไรได้อีก
“ชิ มันแกร่งกว่าที่เคยเจอมาอยู่โขเลยล่ะ” แม้แต่ลู่กั้วที่จัดการกับวิญญาณมานักต่อนักยังต้องจนมุม ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี เลยได้แต่ควบคุมเอาไว้ก่อนเท่านั้น
.....................
ลู่กั้วพาจิ้งฉีมายังจุดที่เขาปิดยันต์เอาไว้ แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เดิมทีเขาขังมันไว้ท่ามกลางยันต์ค่ายกลดาวดับ 5 ดวง แต่ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่ฝุ่นเงา
“ซวยละ มันหนีไปแล้ว” ในใจร้อนรนขึ้นมาทันที
“ฮิฮิฮิ”
เสียงหัวเราะแหลมเหมือนเด็กดังมาจากบนขื่อเหนือหัวพวกเขา
“คิดว่าจะพาใครมา ที่แท้ก็เจ้าเด็กอมมือไม่ได้เรื่อง” ใครคนนั้นกอดอก กระโดดลงจากขื่อ มองมาทางจิ้งฉีอย่างเหยียดหยาม
เด็กน้อย? เจ้าเด็กคนนี้ดูแล้วคงอายุไม่เกิน 5 ขวบแน่ๆ หน้าตาน่ารักน่าชังถึงจะดูดุไปหน่อยก็เถอะ ผมดำขลับ นัยน์ตาดำกลมโตอย่างกับตุ๊กตา แต่แววตาเยือกเย็นอย่างไรไม่รู้ แล้วยังรู้สึกเหมือนมีพลังมหาศาล แผ่กระจายออกมาจากร่างเล็กกระจ้อยนั้น จนคนรอบข้างรู้สึกกดดันหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“แกหนีออกมาจากยันต์วงล้อมดาวดับได้ยังไง” ลู่กั้วตั้งท่าเตรียมพร้อมประมือทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าความรู้สึกของเขาจะคลาดเคลื่อนผิดปกติไปรึเปล่า เจ้าหนูเบื้องหน้าเหมือนจะตัวโตขึ้นกว่าเมื่อกี้เล็กน้อย
“น่าขัน แค่วงล้อมกระจอกอย่างนั้นคิดว่าจะกักข้าได้สำเร็จรึไง” เด็กน้อยดูถูก “ข้าแค่อยากเห็นว่าแกจะพาใครมา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นมนุษย์อ่ออนแอขี้แพ้คนหนึ่งเท่านั้น เสียเวลาจริงๆ”
“เจ้าหนู แกเป็นใครกันแน่?”
“ฮ่าๆๆ” เป็นเสียงหัวเราะที่น่ากลัวยิ่งกว่าเสียงโหยหวนของวิญญาณทั้งหมดที่เคยได้ยินมา
“ข้าคือ เจ้าแห่งความกลัว มีนามว่า ลูซิเฟอร์”
“ลูซิเฟอร์? ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย” ลู่กั้วพูดเสียงเรียบ
“พวกแกแซ่ลู่เหมือนกันเป็นญาติกันรึเปล่า?” จิ้งฉีหรี่ตาถามลู่กั้ว
“ชิ ชื่อฉันอาจารย์เป็นคนตั้งให้ เขาบอกว่าพบฉันตอนเดินผ่านแม่น้ำจอร์แดน ก็เลยเรียกฉันว่าลู่กั้ว ที่แปลว่าเดินผ่านไงเจ้างั่ง”
“เฮ้อ ยังไงซะพวกแกก็ไม่ใช่คนที่ฉันตามหา เจ้าแห่งความกลัวไม่มีเวลาจะมาเล่นไร้สาระกับพวกแก ตายซะเถอะ!” นัยน์ตาดำเข้มของลูซิเฟอร์แปรเปลี่ยนเป็นสีม่วง
ทันใดนั้นจิ้งฉีก็เหมือนถูกไฟช็อตไปทั่วร่าง ความทรงจำในอดีตหลั่งไหลเข้ามาราวกับลงหนาวที่พัดกรูปะทะร่าง ในหัวมีแต่ทะเลเพลิง ในทะเลเพลิงนั้นดวงตาสีม่วงค่อยๆ เลือนหายไป ม่านตาของจิ้งฉีสั่นคลอไปด้วยน้ำตา ความหวาดกลัวครั้งใหญ่ในชีวิตนั้นกำลังกลืนกินร่างกายของเขาทีละน้อยๆ กลัวและลนลานจนแทบจะตะโกนออกมาทีเดียว
“ชิ ใครกันแน่ที่จะตาย” ลู่กั้วกำหมัดแน่น
“พลังแห่งปวงเทพ จงเปลี่ยนเป็นคมดาบวิญญาณให้แหลกสลายกลายเป็นจุณ”
ทันใดนั้นแสงยาวพุ่งแหลมเหมือนดาบก็ปรากฎขึ้นที่มือของลู่กั้ว ดาบอาคมที่คมกริบส่องแสงสีทองอร่าม เขาฟาดฟันมันลงไปที่ลูซิเฟอร์
“อ่อนหัดจริงๆ” ลูซิเฟอร์กระโดดหลบพ้นการโจมตีของลู่กั้ว แล้วขึ้นไปยืนอยู่บนดาบสีทองนั่น
“ถึงพวกแกจะไร้ค่า แต่ฉันจะสงเคราะห์ให้ได้ขึ้นสวรรค์ก็แล้วกัน” เจ้าเด็กตัวน้อยหัวเราะเสียงดังน่าเกลียด ชูพลังเวทมนตร์สีดำสนิท แปรสภาพเป็นเหมือนลูกบอลขนาดใหญ่เต้นระริกไปด้วยคลื่นพลังที่อัดแน่นอยู่ในมือที่ยกขึ้นมา
“ตายซะเถอะ!”
ชั่วพริบตานั้นลู่กั้วรีบสร้างม่านขึ้นป้องกันตัวเองและจิ้งฉีทันที
“แกมัวทำอะไรอยู่ฟะ” ลู่กั้วเห็นไป๋จิ้งฉียืนทื่อ ท่าทางตื่นตระหนกเหมือนกำลังกลัวสุดขีด ตัวสั่นเทา ไม่มีแรงจะหนีเอาชีวิตรอด
“ฮ่าฮ่าฮ่า กลัวเข้าไป ความกลัวของเจ้าจะกลายเป็นพลังของข้า” ลูซิเฟอร์หัวเราะขึ้นอีก
“อย่า! ไม่... ไม่..”
จิ้งฉีในวัยเด็กกุมหัวมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าแล้วหวีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง
“ฟังนะจิ้งฉี”
ใครคนหนึ่งอุ้มเขาเอาไว้ เลือดจากบาดแผลบนตัวหยดลงบนร่างเด็กน้อย
“จงลืมซะ แล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป”
พูดจบ ริมฝีปากคู่นั้นก็ประทับลงบนดวงตาของจิ้งฉี
“ลาก่อน จบสิ้นกันเสียที” เสียงเยือกเย็นดังมาจากเบื้องหลัง
“โอย” จิ้งฉีทรุดลงกับพื้น กุมหัวไวเอย่างทรมาน
“มนุษย์นี่มันช่างอ่อนแอเสียงจริงๆ” ลูซิเฟอร์เป็นฝ่ายได้เปรียบ ลู่กั้วบาดเจ็บ แขนซ้ายขยับไม่ได้
“โธ่เว้ย” แต่เขากลับไม่สนใจแขนของตัวเอง ยันกายลุกขึ้น “ฉันไม่สนว่าแกจะเก่งเหนือนฟ้ามาจากไหน ยังไงฉันก็จะกำจัดแกให้ได้”
“เพ้อเจ้อจริงๆ มนุษย์อย่างแกจะต่อกรกับฉันได้เหรอ” ถึงตอนนี้พลังจะฟื้นคืนแค่หนึ่งส่วน แต่ก็เกินพอที่จะปะทะกับมนุษย์เจ็บหนักเพียงคนเดียว
“ขอชีวิตของแกเลยละกัน” ลูซิเฟอร์ยกมือขวาขึ้น ลูกพลังเวทลูกหนึ่งอยู่ในมือข้างนั้น
“ชิ ภารกิจยังไม่สำเร็จ ฉันจะตายไม่ได้” ลู่กั้วสายตาจริงจัง หน้าตาที่ดูเหรอหราเฟอะฟะในยามปกติ ตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขารวบรวมพลังเอาไว้ที่แขน
“เฮ้ย จิ้งฉี ถ้ากลัวก็หลบไปไกลๆ สิเว้ย”
จิ้งฉีได้ยินแล้วขบฟันแน่น ในใจคิดจะสู แต่ประสบการณ์ในอดีตกลับย้ำเตือน
เจ้าเด็กที่ชื่อลูซิเฟอร์นี่ร้ายกาจมากจริงๆ
ความกลัวจากตอนนั้นกลืนกินจิตใจของเขาจนขยับขาไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว จ้องมองดวงตาสีม่วงของเด็กน้อย เหงื่อไหลย้อยจากหน้าผากไม่ขาดสาย
สู้สิ จิ้งฉีสู้!
ใจได้แต่บอกกับตัวเองอยู่อย่างนั้น แต่ทว่าร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่งจากหัวใจ มันเอาแต่สั่นไม่ยอมหยุด พลันก็มีเสียงดังสะท้อนก้องอยู่ในหัว
“เจ้าคนขี้ขลาด ไม่คิดเลยว่าจะอ่อนแอขนาดนี้ มิน่าล่ะพ่อแม่ของแกถึงตายอยู่ในกองไฟ กว่าจะจัดการกับพวกเขาได้นี่ไม่ใช่ง่ายๆ เลย ถ้าแกไม่อ่อนแอขนาดนี้ พวกเราคงทำไม่สำเร็จแน่ๆ ... ฮ่าๆ ต้องขอบใจแกจริงๆ”
“บึ้ม!”
พลังเวทของลู่กั้วและลูซิเฟอร์ชนกันระเบิดออกตรงกลางระหว่างทั้งสอง แรงปะทะเกิดเป็นแสงไฟแลบ ต่างฝ่ายต่างก็ดันลูกพลังเวทเข้าหาอีกฝ่าย พลังของทั้งสองฝ่ายไล่เลี่ยกัน ลูกบอลพลังเวทจึงลอยไปลอยมาอยู่อย่างนั้น ดูไม่ออกเลยว่าฝ่ายใดจะแพ้ชนะ
“ไม่เบาเลยนี่แก บาดเจ็บขนาดนั้นยังมีพลังเหลืออยู่อีก แถมยัง...” เดิมทีลูซิเฟอร์คิดว่าจะกำจัดลู่กั้วได้อย่างง่ายดาย แต่ผิดคาด ต้องใช้พลังมากกว่าที่คิดหลายเท่า นี่ถ้าหากพลังฟื้นคืนมาเต็มที่เหมือนเมื่อก่อนละก็...แค่ไอ้ขี้โม้คนหนึ่ง ไม่อยากเย็นอย่างนี้หรอก
ลู่กั้วรู้สึกว่าตัวเองมีพลังเหนือกว่าคู่ต่อสู้ หากมือซ้ายไม่บาดเจ็บไปเสียก่อนเขาอาจจะชนะไปแล้วก็ได้
“หึ หึ” ลูซืเฟอร์หัวเราะ เขาดึงมือซ้ายออกแล้วรวบรวมพลัง สร้างลูกบอลขึ้นมาอีกลูกหนึ่ง แล้วโยนเข้าใส่ลู่กั้ว “ไปตายซะ!”
“โอ๊ะ” แขนซ้ายของลู่กั้วบาดเจ็บอยู่ หากใช้มันกันไว้ก็คงจะโดนลูกบอลพลังเวททั้งสองลูกเข้าอย่างจัง แต่ถ้าไม่กันแขนขวาก็คงบาดเจ็บไปอีก จะยังไงก็มีแต่ตายกับตาย
ลู่กั้วจ้องลูกพลังเวทที่วิ่งตีโค้งพุ่งเข้ามาหา ในใจมีเพียงความคิดเดียว
จบกัน เฮ้อ อุตส่าห์สะมสเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคต เปล่าประโยชน์แท้ๆ
ชี่...
เสียงเวทมนตร์ดังฝ่าอากาศดังใกล้เข้ามาแล้ว
ทันใดนั้นเงาของใครคนหนึ่งปรากฎขึ้นทางด้านซ้ายของลู่กั้ว ปัดป้องระเบิดเอาไว้ได้
“โอ้” ลู่กั้วมองผู้ช่วยชีวิตแล้วร้องขึ้นเสียงดัง “อาจารย์ถีเอ่อ”
“หนักหน่อยนะลู่กั้ว จากนี้ให้ฉันรับมือเอง” ถีเอ่อจดจ้องลูซิเฟอร์แล้วเหวี่ยงลูกพลังเวทเข้าหาอย่างรวดเร็ว
“เฮอะ เจ้าตัวยุ่งยากโผล่มาอีกคนละ” ลูซิเฟอร์รู้ดีว่าไม่มีพละกำลังพอที่จะผลักพลังเวทของถีเอ่อออกไปได้จึงกระโดดหลบ ปล่อยให้ลูกพลังเวทพุ่งเข้าใส่กำแพงอย่างจัง เศษซากอิฐลอยกระจายปลิวมากระทบแนวป้องกันของอาจารย์ถีเอ่อ
“แกเป็นใคร?” ถีเอ่อถามน้ำเสียงดุดัน ตาสีม่วงนั้นเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายมาร แต่พวกมารทั่วไปจะมีดวงตาเป็นสีแดง แล้วเด็กน้อยคนนี้มันเป็นใครกันแน่...
“มันเรียกตัวเองว่าเจ้าแห่งนงยูงอะไรนี่แหละ” ลู่กั้วพูดอย่างที่คิด
“เจ้าแห่งความกลัวเฟ้ย” ลูซิเฟอร์แก้ให้อย่างโมโห
“เจ้าแห่งความกลัวรึ?” อาจารย์ถีเอ่อขมวดคิ้ว
คงจะเป็นพวกปีศาจที่พลังไม่แกร่งกล้าล่ะมั้ง แต่มีจิตใจโหดเหี้ยมน่าดู เทียบกับเราแล้วพลังของเด็กนี่ยังเป็นรองอยู่เยอะแต่ทำไมถึงรู้สึกว่ามันไม่ธรรมดา? หรือว่าจะกำจัดทิ้งเพื่อตัดปัญหาดี
“แกเป็นพวกฝ่ายเทพรึนี่” ลูซิเฟอร์พูดขึ้นกะทันหัน
“ฉันไม่รู้ว่าแกพูดถึงเรื่องอะไร เจ้าเด็กน้อย” เจ้าเด็กน้อยคนนี้คงไม่ใช่ปีศาจธรรมดา “แต่ไม่ว่าแกจะเป็นใครก็ตาม วันนี้ฉันจะกำจัดแกทิ้งซะที่นี่แหละ” ถีเอ่อใช้ความไวดุจสายฟ้าพุ่งเข้าหาลูซิเฟอร์
“หึ สมกับเป็นฝ่ายเทพจริงๆ แต่ทำไม...” ลูซิเฟอร์มองการโจมตีของถีเอ่อออกทุกกระบวนท่า เชื่อมั่นว่าตัวเองต้องหลบเลี่ยงได้ย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรอให้ถีเอ่อโจมตีมาก่อน
แต่ทว่า ขณะที่ถีเอ่อห่างจากตัวลูซิเฟอร์เพียงหนึ่งเมตรเขาก็หายไปทันที
“ไปไหนแล้ว กระบวนท่าเมื่อกี้ตั้งใจจะหลอกฉันงั้นรึ” ลูซิเฟอร์ตื่นตระหนกมองหาคู่ต่อสู้ไปทั่วทิศ
“หาอะไร” เสียงถีเอ่อดังมาจากด้านบน ยังไม่ทันที่จะเงยขึ้นไปมอง กำปั้นที่แข็งปานเหล็กก็กระทบเข้ากับใบหน้าเล็กๆ ของลูซิเฟอร์อย่างไม่ยั้งมือ
ร่างน้อยๆ ลอยลิ่วไปชนกำแพงอย่างแรง บนกำแพงปรากฎรอบบุบตามขนาดของร่างเล็กขึ้นมา
ช่างเก่งกาจอะไรอย่างนี้
ลู่กั้วที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งถึงกับอึ้ง สมแล้วที่เป็นสุดยอดอาจารย์ไม่ใช่แค่ไวอย่างเดียว พลังก็สุดยอดหาคนเทียบได้ยากจริงๆ ในขณะที่กำลังชื่นชมอยู่นั้น ในใจของลู่กั้วก็เกิดพลังปลาบปลื้มยินดีอย่างประหลาด
“ลุกขึ้นมา” ถีเอ่อ เดินเข้าไปหา “แต่นี้แกไม่ตายหรอก”
“หึ หึ” ลูซิเฟอร์ลุกขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก “ไม่เลวนี่” ถึงจะพูดออกมาอย่างนั้น แต่ในใจกำลังคิดหาทางหนีทีไล่อยู่
“ไปชื่นชมในโลกหน้าเถอะ” ถีเอ่อตวัดมือ กลุ่มพลังเวทที่แรงหกล้าพุ่งเข้าใส่เด็กน้อยเบื้องหน้า
“เฮอะ คิดว่าอย่างข้าจะถูกจัดการได้ง่ายๆ อย่างนั้นเชียวเรอะ” ลูซิเฟอร์กล่าวน้ำเสียงโมโหดุดัน กระโดดขึ้นกลางอากาศ
ทันใดนั้น พลังเวทกลุ่มใหญ่แตกออกเป็นห้ากลุ่มโจมตีเข้าหาลูซิเฟอร์จากห้าทิศทางอย่างไม่ทันตั้งตจัว เด็กน้อยนัยน์ตาสีม่วงไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงจำใจรับพลังที่มาจากทุกทางเข้าไปแล้วสาดพลังเวทเข้าใส่ลู่กั้วกับไป๋จิ้งฉีหลายนัด อาจารย์ถีเอ่อคาดไม่ถึง เจ้าเด็กนี่ไม่เพียงแต่หลบหลีกการโจมตีได้ แต่ยังหาช่องตอบโต้โจมตีกลับด้านหลังของตนด้วย
ลู่กั้วเห็นท่าไม่ดี รีบเสกยันต์ป้องกันตนเองและจิ้งฉี ระเบิดอาคมตกปะทะเกราะป้องกันจนแตกร้าว
“หึๆ ดีใจที่ได้พบพวกแก คราวหน้าฉันสัญญาจะไม่ปล่อยให้พวกแกเอาเปรียบอยู่ฝ่ายเดียวแน่นอน โดยเฉพาะแก” ลูซิเฟอร์ฉวยโอกาสขณะที่ถีเอ่อกำลังหันไปเป็นห่วงลูกศิษย์ เปิดช่องว่างในอากาศให้ฉกฉวย
“พบกันคราวหน้า ฉันจะให้ฝ่ายเทพอย่างแกได้ลิ้มรสชาติความพ่ายแพ้ในนรกดูบ้างแน่ๆ ฮ่าๆๆ” สิ้นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เงาร่างลูซิเฟอร์ก็หายลับไป
เจ้านั่นถึงจะเป็นเด็กแต่ก็ร้ายกาจใช่ย่อย มีพลังเวทที่แรงกล้ามาก ปล่อยให้มันหนีไปได้อย่างนี้ วันหน้าคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
อาจารย์ถีเอ่อเครียด
“อาจารย์ถีเอ่อ” ลู่กั้วโบกมือให้อย่างดีใจ
“ลำบากหน่อยนะ ลู่กั้ว” แม้จะมีเรื่องหนักอึ้งอยู่ในใจ แต่ถีเอ่อก็ยังคงส่งยิ้มให้ลู่กั้วอย่างอ่อนโยน
ลู่กั้วคลำท่ายทอยตัวเอง รู้สึกเขิน กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่หรอกครับ ถึงจะสู้คนเดียวก็เถอะ แต่ก็ไม่เป็นไรมากหรอกครับ ผมชินแล้วล่ะ”
“ครั้งนี้เธอทำได้ดีมาก” ถีเอ่อหันไปมองอีกด้าน เห็นจิ้งฉีเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดซักคำ
“เรากลับกันเถอะ”
“ดีครับอาจารย์ อาจารย์นี่เจ๋งสุดๆไปเลย สอนผมซักกระบวนท่าได้มั้ย” ลู่กั้วทำสีหน้าอ้อนวอน
“ฮ่าๆ อาจารย์ถังก็สุดยอดเหมือนกัน ได้ครูดีแบบนั้นสอน เธอต้องเก่งแน่นอน”
อาจารย์ถีเอ่อมองตามหลังลูกศิษย์ทั้งสองอย่างเป็นกังวล จิ้งฉีไม่ยอมพูดอะไรสักคำเดียว
“ผมอยากเก่ง อยากมีพลังแข็งแกร่งอย่างอาจารย์ถีเอ่อนี่แหละ” ลู่กั้วยังคงพูดเป็นต่อยหอย
“ทำไมถึงอยากเก่งล่ะลู่กั้ว”
“เพราะผมมีสิ่งสำคัญต้องปกป้อง” ลู่กั้วตอบอย่างมั่นใจ
“อืม ฉันเชื่อว่าต่อไปเธอจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ ความคิดที่จะปกป้องใครสักคน นั่นแหละที่จะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ”
ลู่กั้วดีใจสุดๆ “จริงเหรอ? จริงๆ เหรอ? แล้วจะแข็งแกร่งกว่าอาจารย์ถีเอ่อรึเปล่าฮะ”
“แน่นอนสิ” อาจารย์ถีเอ่อยิ้มแล้วพยักหน้า แต่สายตาก็ยังคงจับอยู่ที่จิ้งฉีอย่างเป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้าง?” หลินเหวินถามลู่กั้วที่กำลังใช้ฝ่ามือตรวจสอบกำแพงอยู่
“ยังไม่รู้” สัมผัสไม่พบวิญญาณ ถ้าอย่างนั้นซือเต๋อก็ไม่ได้อยู่ในกำแพง แล้วเขาหายไปท่ามกลางสายตาผู้ชมได้ยังไง? หรือว่าจะเหมือนกับเจสสิก้า
“กลชุดนี้ต้องแสดงยังไงกันแน่ครับ?” จิ้งฉีสงสัย
“เป็นกลที่มีความปลอดภัยค่อนข้างสูงทีเดียว เดิมทีซือเต๋อไม่ได้ตั้งใจจะแสดงกลชุดนี้หรอก แต่คงจะเป็นเพราะการตายของเจสสิก้า เขาจึงเปลี่ยนชุดการแสดงกะทันหัน” ท่านจูหว่านตอบยาว
“ก่อนหน้านี้เขาเตรียมจะแสดงอะไรเหรอครับ?” จิ้งฉีถามอีก
“เลื่อยไฟฟ้าหั่นคนเป็น” หลินเหวินตอบเสียงเรียบ
เปลี่ยนการแสดงกะทันหัน ซือเต๋อคงจะกังวลมากทีเดียว
“หายไปไหนกันเนี่ย” ลู่กั้วใช้กระแสจิตตามหาจนเครียด “ตอนแรกเขาเอาไข่ไก่ฟองหนึ่งยักเข้าไปในกำแพงแล้วเอามือหยิบออกมาจากอีกฝั่ง จากนั้นก็เอาม่านบังตัวเองแล้วฉายสปอตไลท์ให้เห็นเป็นเงาบนผ้า ฉันเห็นกับตาว่าเขาหายเข้าไปในกำแพง แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่ได้โผล่ออกมาอีกด้าน เป็นไปไม่ได้หรอกมั้งที่เขาจะติดอยู่ในกำแพงนั่นน่ะ”
“นายเห็นกับตางั้นเหรอ? ว่าเขาเข้าไปในกำแพงจริงๆ” จิ้งฉีถามย้ำชัดถ้อยคำ
“เอ่อ จริงๆ แล้วมันเป็นแค่การแสดงหลอกตาเท่านั้นแหละ มาเดี๋ยวฉันจะสาธิตให้พวกคุณดู” ท่านจูหว่านแสดงท่าทางออกคำสั่งให้ผู้ช่วยเอาไข่ไก่มาฟองหนึ่ง แล้วปรมาจารย์แห่งศาสตร์มายากลก็ใช้มือซ้ายทำท่ากดไข่ฟองนั้นเข้าไปในกำแพง ส่วนอีกมือก็เอื้อมไปหยิบไข่ออกมาจากอีกด้านหนึ่ง
ก่อนจะหันไปถามลู่กั้ว “แบบนี้ใช่มั้ย”
“ใช่ๆ” เจ้าหนุ่มผมเงินรีบพยักหน้าตอบ
“นี่เป็นการเล่นกับสายตาคนดู เธอลองมาดูด้านนี้สิ” ท่านจูหว่านแนะนำให้ลู่กั้วมายืนอยู่ฝั่งซ้ายมือของเขา แล้วแสดงให้ดูซ้ำอีกครั้ง
“อ้าว ท่านไม่ได้ยัดไข่เข้าไปในกำแพงนี่”
“ใช่แล้วล่ะ จริงๆ แล้วไข่อยู่ในมือขวาของฉันตลอด ฉันใช้นิ้วโป้งกดเอาไว้แบบนี้ ผู้ชมอยู่ทางด้านขวามือ จึงเห็นแต่หลังมือ ดังนั้นก็เลยไม่เห็นไข่ที่ซ่อนอยู่ในฝ่ามือ นี่แหละคือคำตอบว่าไข่ออกมาจากกำแพงได้อย่างไร”
“เจ๋งมาก ฉันจะจดเอาไว้” ลู่กั้วล้วงปากกาและสมุดบันทึกออกมาอย่างรวดเร็ว ลงมือจดยิกๆ
“เจ้าโง่” จิ้งฉีกระทบกระเทียบขึ้นมา “ความลับพวกนี้น่ะมันเป็นเหมือนชีวิตของนักมายากลเลยน่ะนั่น แกทำแบบนี้ก็เท่ากับทุบหม้อข้าวเขาน่ะสิ”
“ฮ่าๆๆ” หลินเหวินและท่านอาจารย์หัวเราะขึ้นเสียงดัง
“ถ้างั้น แล้วต่อจากนั้นมันเป็นยังไงกันแน่” ในใจของลู่กั้วเต็มไปด้วยคำถาม
“มันเป็นอย่างนี้” ท่านจู่หว่านส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยเอาม่านบังตามา แล้วเปิดด้านหนึ่งออก เพื่อให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ภายในได้ชัดเจน เพราะแสงไฟในบังตานั้นส่องออกมาจากด้านหลังดังนั้นแค่เดินเข้าไปเงาก็จะทอดชิดกำแพง ผู้ชมจึงเข้าใจว่านักมายากลคนนั้นเดินเข้าไปในกำแพงแล้ว
“แล้วหลังจากเปิดบังตาออก ทำไมไม่เห็นซือเต๋อล่ะครับ”
“ฮ่าๆๆ คุณพอจะจำได้ไหมว่าก่อนที่บังตาจะเปิดออก เกิดอะไรขึ้นบ้าง?” หลินเหวินพูดปนยิ้ม
“อืม...มีผู้หญิงออกมาร่ายรำ แล้วก็มีกลุ่มควันพลุ่งออกมา ไฟก็สลัวลงด้วย”
“ปกติ นักมายากลจะแอบอยู่หลังบังตา เพียงแต่ระวังอย่าให้ผู้ชมเห็นเป็นใช้ได้ ที่จริงไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร แต่ดูแล้วความสามารถของซือเต๋อคงจะยังไม่ถึงขั้น” อาจารย์หว่านพูด
“ถ้างั้นสุดท้ายก็แค่ออกมาจากกำแพงก็สิ้นเรื่องไม่ใช่เหรอครับ” จิ้งฉีถาม
“ใช่ ก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ให้คนดูเห็นเงามายากลชุดนี้ก็จะจบอย่างสวยงาม”
“แล้วซือเต๋อจะหายไปได้ยังไงครับ” จิ้งฉีถามเสียงเครียด
“พวกเราก็อยากจะรู้เหมือนกัน ผู้ช่วยบอกว่าหลังจากแสงไฟสลัวลงแล้ว ก็เข็นบังตาไปด้านหน้า แต่พวกเขายืนอยู่อีกด้าน จึงไม่เห็นว่าซือเต๋อยังอยู่ในนั้นรึเปล่า”
“แต่พวกเขาก็ยืนยันว่าซือเต๋อไม่ได้มุดเข้าไปในกำแพง ใช่ไหมครับ”
“อืม...แต่ว่าหลังจากนั้นพวกเราไม่ได้สังเหต”
“งั้นก็เป็นไปได้ว่า หลังจากที่แสงไฟสลัวลงแล้ว ซือเต๋ออาจจะเดินออกไปจากบังตาก็ได้”
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” อาจารย์จูหว่านและหลินเหวินมองตากัน “แต่ว่าเขาจะรีบออกไปทำไมหล่ะ”
“ไม่รู้สิ” จิ้งฉีตอบ อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่า นี่เป็นฝีมือมนุษย์ไม่ใช่วิญญาณเหี้ยน
ลู่กั้วยกมือขึ้นถาม “ผมอยากรู้ว่าซือเต๋อจะลงเวทีไปได้ยังไง”
“ง่ายมาก ไม่รู้ว่าพวกคุณจำได้รึเปล่า ตอนนั้นบังตาหันข้างหลัง ผู้ช่วยก็ขึ้นไปเต้มรำบนเวทีกระจายความสนใจของผู้ชม เขาน่าจะถือโอกาสลงมาตอนนี้แหละ” อาจารย์จูหว่านให้ข้อสังเกต
“เขาหนีไปจริงๆ งั้นเหรอ?” หลินเหวินไม่เข้าใจ
“ถ้าคิดจะหนีเขาคงหนีไปตั้งแต่แรกแล้วล่ะ ไม่มาแสดงให้เสียเวลาหรอก” จิ้งฉีพูดขึ้น เขายังติดใจเรื่องที่คนงานบอกเมื่อกี้ เรื่องเมื่อสามปีก่อน “อาจารย์จูหว่าน อาจารย์รู้เรื่องเมื่อสามปีก่อน ที่มีโรงเรียนมายากลมาเปิดรับสมัครนักเรียนที่โรงละครนี้ไหมครับ”
“สามปีก่อน?” จูหว่านคิด “อืม เคนได้ยินอยู่เหมือนกัน มันมีอะไรงั้นเหรอ?”
“เปล่า ไม่มีอะไรครับ” จิ้งฉีหยุดประเด็น คิดว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่นจะดีกว่า
“จำได้ว่าครั้งนั้นหลอซูเคยเป็นอาจารย์รับเชิญด้วย หลินเหวินจำได้รึเปล่า” อาจารย์จูหว่านหันไปถาม
“ใช่ ช่วงนั้นหลอซูไปโรงเรียนนั้นบ่อยๆ คลับคล้ายคลับคาว่าเมื่อสามปีก่อนตอนที่พวกเขามารับสมัครนักเรียน หลอซูก็ยังไปร่วมเป็นผู้ตัดสินด้วย ลองถามเขาดูสิน่าจะได้เรื่องมากกว่า” หลินเหวินนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในอดีต
หรือว่าฆาตกรจะเป็นหลอซู? จิ้งฉีมีคำถามอยู่ในใจแต่ไม่ได้กระโตกกระตากออกมา
“ไม่มีอะไรหรอก ผมได้ยินมาก็เลยถามดูเท่านั้นเอง”
“ชิ ไรสาระ” ลู่กั้วดูหมิ่น “อาจารย์จูหว่านครับ ผมมีเรื่องจะถาม หลี่ลู่เอาศพใส่เข้าไปในกรงไม่ได้จริงๆเหรอ?”
“คงไม่ได้หรอก มายากลชุดนั้นน่ะ พื้นที่เป็นเรื่องสำคัญ กรงที่ถูกสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษจะปล่อยให้มีช่องว่างมากไปไม่ได้ เกิดเสือตกใจตื่นตระหนกขึ้นมาจะเสียเรื่องเปล่าๆ ดังนั้นก่อนการแสดงจะมีคนเอาเนื้อโยนเข้าไปให้เสือกินก่อน เพื่อไม่ให้หิวแล้วส่งเสียงร้องออกมาระหว่างแสดงน่ะ”
“งั้นก็คงเอาศพใส่เข้าไปไม่ได้จริงๆ”
“เรื่องศพของเจสสิก้า ฉันเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน” อาจารย์จูหว่านพูด
“ถ้างั้น...” จิ้งฉีเอ่ยขึ้นเบาๆ สังเกตเห็นลู่กั้วกำลังจับตามองอยู่เหมือนจะก่นด่าตัวเองอยู่ในใจว่า
เจ้าบ้า เซ้าซี้ถามอยู่ได้ ก็เห็นๆว่า นี่มันฝีมือวิญญาณเฮี้ยนชัดๆ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับไปดูการแสดงก่อนนะครับ ดูเหมือนอู๋หมิงใกล้จะเริ่มแสดงแล้ว” หลินเหวินยกนาฬิกาขึ้นมอง
“อืม ก็ดีเหมือนกัน” ลู่กั้วคิดจะออกไปดูการแสดงพร้อมหลินเหวินกับอาจารย์จูหว่าน แต่ถูกดึงเอาไว้เสียก่อน
“อะไรอีกล่ะ”
“จะอะไรเสียอีกล่ะ ทำงานน่ะสิ เจ้าโง่” จิ้งฉีจ้องเขม็ง
“ซือเต๋อหนีไปเอง จะตรวจสอบอะไรอีก?” ลู่กั้วสะบัดมือออก
“แล้วเรื่องศพเจสสิก้าล่ะ? ฉันอยากให้นายไปดูทางนั้นหน่อย ไม่รู้จะมีร่องรอยของวิญญาณรึเปล่า”
“ชิ ทำไมไม่ไปเองล่ะแก” ทั้งๆ ที่รู้ว่าจิ้งฉีไม่มีพลังเวทมากมายขนาดนั้นแต่ก็ยังจงใจพูดกระทบกระเทียบ ทว่าพูดออกไปแล้วกลัวรู้สึกเสียใจขึ้นมา “ช่างเถอะ ไปดูให้ก็ได้”
“เฮอะ” จิ้งฉีหมั่นไส้ ถ้าหากมีพลังเวทมากพอก็ไม่ง้อเจ้านี่หรอก
ลู่กั้วปีนเข้าไปในกรงเหล็ก ใช้มือสัมผัสพื้นตรวจสอบความผิดปกติแต่แล้วก็ต้องหดมือกลับอย่างทันทีทันใด
“เป็นไงบ้าง?”
“มีคนเคยใช้เวทมนตร์ตรงนี้” หันไปมองจิ้งฉี “หรือว่าจะใช้เวทมนตร์เคลื่อนย้ายศพเจสสิก้า”
“แต่ฆาตกรจะเป็นใครกันล่ะ?” จิ้งฉีครุ่นคิด เขานึกรู้อยู่แล้วว่านี่ต้องไม่ใช่ฝีมือวิญญาณร้ายธรรมดาๆ แต่ต้องมีใครบางคนควบคุมเกมอยู่
“ยังจะต้องให้พูดอีกเหรอ ก็ฝีมือเข้าวิญญาณร้ายที่เรายังหาไม่เจอนั่นแหละ” ลู่กั้วฉุนขึ้นมา
“น่าขัน ไม่รู้เจ้าโง่คนไหนนั่งเถียงกับฉันหน้าดำหน้าแดงไม่ยอมเลิกว่าหลี่ลู่เป็นฆาตกร”
“ก็ตอนนั้นฉันยังไม่ได้เข้ามาในกรงนี้จะรู้ได้ยังไงล่ะ อีกอย่างศพของเจสสิก้าก็อยู่ในกรงเขาด้วย แกบอกได้มั้ยล่ะว่าทำไมศพถึงไม่ไปโผล่ในการแสดงของคนอื่น เป็นธรรมดาที่เจ้าหมอนี่จะตกเป็นผู้ต้องสงสัย” ลู่กั้วแก้ตัวอย่างมีเหตุผล
“นั่นสิ ทำไมต้องเลือกกรงหลี่ลู่ ถ้าหากเป็นวิญญาณแค้นจริงๆ ล่ะก็จะทำให้วุ่นวายไปทำไม ทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุก็สิ้นเรื่อง หรือว่าจริงๆ แล้วเป้าหมายของมันไม่ใช่แค่เจสสิก้า เป็นไปได้ไหมที่มันจะใช้พลังของวิญญาณเฉพาะตอนย้ายศพเข้าไปในกรงเท่านั้น?” จิ้งฉีถามออกมา “แต่ว่าตอนกล่องมายากลของเจสสิก้าเปิดออก ทำไมถึงได้มีพลังเวทมนตร์พุ่งออกมาได้ล่ะ นายไม่รู้สึกบ้างเหรอ?”
“ชื นี่แกตั้งใจจะพูดอะไรกันแน่” ลู่กั้วไม่สบอารมณ์ คิดว่าจิ้งฉีกำลังโอ้อวดความสามารถ
“ไม่เป็นไร สัมผัสของฉันคงผิดพลาดน่ะ แต่ถ้าหากเป็นฝีมือมนุษย์จริง แล้วใครเป็นคนฆ่าเจสสิก้าล่ะ? ทำไมต้องเอาศพไปไว้ในกรงของหลี่ลู่ด้วย ทำไม...เอ๊ะ! เดี๋ยว...” แววตาของจิ้งฉีเป็นประกายขึ้นแวบหนึ่ง
“อาจจะเป็นวิญญาณร้ายเข้าสิงอยู่ในร่างใครคนหนึ่ง แล้วฆ่าเจสสิก้าด้วยวิธีแบบมนุษย์ก็ได้ จากนนั้นก็ใช้ฤทธิ์เอาศพใส่เข้าไปในกรงเสือ” ลู่กั้วคาดการณ์
“งั้นเหรอ แล้วมันสิงอยู่ในตัวใคร นายรู้งั้นเหรอ?” จิ้งฉีไม่ยอมเชื่อในการคาดคะเนของลู่กั้ว
“งั้นไหนลองบอกมาซิ” จิ้งฉีไม่อยากจะเชื่อว่าลู่กั้วจะรู้จริงว่าใครเป็นฆาตกร
“อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดนักสิ นายลืมไปแล้วรึไง ก่อนเริ่มการแสดง ลูกพี่ลู่กั้วคนนี้ไปแปะยันต์สลายวิญญาณไว้บนตัวทุกคนแล้ว ตอนแรกก็แค่ให้ป้องกันตัวจากวิญญาณร้าย แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าช่วยให้ฉันคลี่คลายคดีได้ ว่ะฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าฉันจะฉลาดปราดเปรื่องคาดการณ์ล่วงหน้าออกได้ปานนี้ ยังไงๆ ฉันต้องจับวิญญาณร้ายให้ได้แน่นอน ฮ่าฮ่า”
“เฮอะ แล้วมันเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าตรงไหนล่ะนี่” จิ้งฉีระอา มองไปที่ลู่กั้วซึ่งกำลังใช้เวทมนตร์อยู่ แล้วคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งนี้ตั้งแต่แรกเริ่ม มีข้อสงสัยอยู่ 3 จุด
ข้อที่ 1 ทำไมฆาตกรจึงตั้งใจให้ศพของเจสสิก้าไปโผล่ในการแสดงของหลี่ลู่
ข้อที่ 2 แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อ 3 ปีหก่อนแล้วใครเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนั้นบ้างและสุดท้าย
ข้อที่ 3 ซือเต๋อหายไปไหน เหตุใดเขาถึงเลือกที่จะหายตัวไปเสียเฉยๆ
นี่ไม่ใช่เหตุฆาตกรรมแบบธรรมดาๆ ทั่วไป และก็ไม่ใช่การแก้แค้นของวิญญาณร้าย เรื่องมันยุ่งยากกว่าที่คิดเสียอีก
จิ้งฉีถือโอกาสที่ลู่กั้วมัวยุ่งกับการหาหลักฐานพิสูจน์ตัวฆาตกรแอบกลับมานั่งดูการแสดงก่อน บนเวทีอู๋หมิงเพิ่งจะเริ่มเล่นการแสดง
“เป็นไงบ้าง? หาซือเต๋อพอรึยัง” หลินเหวินที่นั่งอยู่ข้างๆ ถาม
“ยังไม่พบ แต่ผมมีบางอย่างจะถามคุณหลอซู ได้มั้ย?”
“ได้สิ” หลินเหวินให้ความร่วมมือแลกที่นั่งกับจิ้งฉีอย่างเต็มใจ
“คุณหลอซู คุณรู้ไหมว่าเมื่อสามปีก่แอนเกิดอะไรขึ้น” จิ้งฉียิงคำถามไปตรงๆ
“สามปีก่อน...” หลอซูคิดย้อนไปในอดีต
“อ๋อใช่ ตอนนั้นมีโรงเรียนสอนมายากลมาเปิดรับสมัครนักเรียนที่นี่ แต่สุดท้ายครูฝึกคนหนึ่งถูกโคมไฟทับตาย มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหะน ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ตำรวจบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ จริงสิ ฉันเคยเป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนนั้นด้วยนะ”
“ถ้างั้นคุณคงรู้สิน่ะว่า ครูฝึกคนนั้นมีญาติมิตรอยู่ในวงการมายากลรึเปล่า”
“เรื่องนั้น... ฉันรู้ว่าเขามีคนรักเป็นนักมายากลเหมือนกัน แต่ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่ยอมพูดถึงเขาอีกเลย เออจริงสิ ซือเต๋อก็น่าจะรู้จักพวกเขานะ”
“ซือเต๋อ!” จิ้งฉีอุทานออกมา
“ใช่ ไม่ใช่แค่ซือเต๋อ เจสสิก้ากับอู๋หมิงก็เคยเป็นครูอยู่โรงเรียนนั้นเหมือนกัน”
“เอ๊ะ ก็ตอนสอบปากคำพวกเขาบอกว่าไม่รู้จักกันมาก่อนไม่ใช่เหรอ?” จิ้งฉีแปลกใจ
“ตอนนั้นฉันก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน แต่พูดอะไรมากไม่ได้” หลอซูบอก
“แล้วที่ศพของเจสสิก้าไปโผล่ในกรงของหลี่ลู่ คุณคิดว่ายังไง?” จิ้งฉีคิดว่าฟังหลายๆ ความเห็นน่าจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มบ้าง
“เฮ้อ ...ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นแบบนั้น นี่ถ้าหากไม่ต้องหยุดแสดงกลางคัน ก็คงไม่วุ่นวายอย่างนี้หรอก” หลอซูพูดยิ้มๆ “เพราะอะไรน่ะเหรอ ฮ่าฮ่า อุปกรณ์ชิ้นสำคัญของฉันมันหายไปหน่ะสิ”
“หา มันคืออะไร? แล้วหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่” จิ้งฉีผุดลุกขึ้นยืนอย่างปุบปับ และต้องรีบนั่งลงหลังจากผู้ชมต่อว่าเข้าให้
“อุปกรณ์ที่ใช้ในการบิน แต่วันนี้หาพบแล้วล่ะ อยู่ในกล่องอุปกรณ์น่ะ”
เส้นด้าย? เส้นด้ายที่ใช้กับศพของเจสสิก้า ใช่แล้ว เพื่อขัดขวางการแสดงของหลอซู จึงเอาศพของเจสสิก้าไปใส่ไว้ในกรงของหลี่ลู่แต่ว่า...ถ้าคิดในทางที่ดีต่อหลอซู เป้าหมายของคนร้ายคงจะเพื่อแก้แค้น
จิ้งฉีเริ่มเข้าใจแล้ว แต่ความคิดและข้อมูลต่างๆ ก็ยังคงสับสนอยู่ โอกาสในการยืนยันตัวฆาตกรยังคงห่างไกล
บนเวที ผู้ช่วยของอู๋หมิงเข็นกล่องใบใหญ่ออกมา
หลี่ลู่หันไปถามอาจารย์จูหว่าน “อาจารย์ แหมิงเปลี่ยนการแสดงเหรอ? ถ้างั้นคนที่เปลี่นรการแสดงก็มีทั้งหมด 3 คนเลยสิ”
อาจารย์จูหว่านพยักหน้ารับ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างแปลกใจ “3คน? ถ้านับรวมซือเต๋อก็มีแค่2 คนเท่านั้นนี่ ยังมีใครอีก...”
“ฉันเอง” หลินเหวินออกตัว
“หือ? หลินเหวินก็ด้วยเหรอ เดิมทีเธอตั้งใจจะแสดงอะไร?”
“เออ...การเหินบิน แต่มันเผอิญไปเหมือนกับหลอซูฉันก็เลยเปลี่ยน ก็หลอซูได้รับถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์มาเต็มที่เลยนี่น่า ฉันไม่กล้าต่อกรด้วยหรอก” หลินเหวินตอบปนยิ้ม
จิ้งฉีเงียบ เขากำลังใช้ความคิด เรื่องนี้จะมีอะไรเกี่ยวพันกันหรือไม่?
ทันใดนั้น อยู่ๆ ลู่กั้วก็ตรงรี่ขึ้นไปบนเวที แล้วตะโกนสั่งให้หยุดการแสดงต่อหน้าผู้ชมเสียงดังลั่น
“อะไรกันน่ะ?” เสียงจ้อกแจ้กดังขึ้น ความอลหม่านกำลังเริ่มต้น ผู้ชมพากันลุกโดยอัตโนมัติ บางคนที่อารมณ์ร้ายก็ตะโกนด่าทอออกมา
“เจ้าบ้านั่นมาจากไหน เอามันออกไป”
“พวกเราเสียเงินเข้ามามีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้หยุด”
“ไอ้โง่เอ๊ย” จิ้งฉีทนไม่ไหว พ่นคำด่าออกมาอย่างไม่ต้องคิด
“ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ ขณะนี้เราพบระเปิดอยู่ในโรงละครแห่งนี้ เพื่อความปลอดภัยขอให้ระมัดระวัง กรุณา...” ลู่กั้วยังไม่ทันพูดจบ เสียงหวีดร้องก็ดังกลบเสียก่อน ผู้คนต่างแยกย้ายหนีตายออกประตูไปอย่างชุลมุน แม้แต่ตำรวจก็คุมสถานการณ์ไม่อยู่เสียแล้ว
“บัดซบ” สายตาคู่หนึ่งจ้องลู่กั้วอย่างโมโหสุดๆ
“ไอ้หมาหน้าโง่ แกทำบ้าอะไรเนี่ย” จิ้งฉีแทบจะกระโจนขึ้นไปบนเวที กระชากคอเสื้อของลู่กั้วอย่างแรง ขณะเดียวกันนั้น นายตำรวจคนหนึ่งก็พุ่งขึ้นไปหาอย่างฉุนเฉียว
“รู้มั้ยทำแบบนี้ ผลมันจะเป็นยังไง”
“ผมรู้เพียงแต่ว่าถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้วผลมันจะออกมาอย่างไร” ลู่กั้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น “คนดูพวกนั้นอาจจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่เลยก็ได้”
ยากมากที่จะได้เห็นท่าทางจริงจังของเจ้าหมอนี่ ดูท่าคงจะพบบางอย่างเข้าให้แล้ว จิ้งฉีปล่อยมือจากคู่หู
“มีระเบิดแล้วจะเรียกพวกเราขึ้นมาบนเวทีทำไม ฉันยังไม่อยากตายนะ” หลี่ลู่ประท้วงขึ้นกลางเวที
“พวกคุณไม่อยากรู้รึไง ว่าฆาตกรเป็นใคร” ลู่กั้วกวาดสายตามองทุกคนในที่นั้น
“เธอรู้ตัวแล้วเหรอ?” อาจารย์จู่หว่านถามขึ้น
“ฮ่าๆๆ เพราะการคาดการณ์ล่วงหน้าของผมแท้ๆ ก่อนจะเริ่มการแข่ง ผมได้ติดของบางอย่างลงบนตัวพวกคุณทุกคน แล้วไอ้เจ้าสิ่งนั้นก็ช่วยผมได้มากเลยแหละ มันบอกกับผมว่าฆาตกรได้อยู่ในกลุ่มพวกคุณนี่เอง”
ไอ้โง่ ไม่รู้รึไงว่าการใช้เวทมนตร์หาตัวฆาตกร จะใช้เป็นหลักฐานยืนยันไม่ได้ โง่บริสุทธิ์จริงๆ
จิ้งฉีบ่นด่าอยู่ในใจ อาศัยข้อมูลที่รวบรวมมาได้ ขณะนี้เขาก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการชี้ตัวคนร้าย
“จริงๆ รึ ไหนบอกมาซิว่าใครเป็นคนฆ่าเจสสิก้ากับซือเต๋อ” หลินเหวินกล่าว
จิ้งฉีกอดอกหลับตา
ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น รีบบอกมาสิไอ้โง่
“ฆาตกรคือ...คุณ” นิ้วชี้ของลู่กั้วชี้ไปที่อาจารย์จูหว่าน
“โอ๊ะ โทษที ผิดตัว” เขาเลื่อนนิ้วชีไปทางขวา
ทุกคนมองนิ้วของลู่กั้วอย่างตื่นเต้น
“ฉันเรอะ?” หลินเหวินงง
จิ้งฉีสะกิดตำรวจนายหนึ่งแล้วกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูเขา
“ไม่ตลกไปหน่อยรึไอ้หนู จะบอกว่าฉันเป็นฆาตกร พูดพล่อยๆ แกมีหลักฐานรึเปล่า เอาออกมาแสดงเลยสิ”
“ไอ้สารเลว ฉันจะบอกให้รู้ ยันต์ที่ฉันติดไว้บนตัวแกมันหายไป...”พูดจบแล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ ลู่กั้วก็ถึงกับอึ้งไป พูดอะไรต่อไม่ออก
“ไอ้หนู แกบ้าดูหนังสืบสวนมากไปรึเปล่า กลับไปดูอีกซักร้อยเรื่องแล้วค่อยมาว่ากันใหม่ปะ” หลินเหวินหัวเราะเยอะเย้ยลู่กั้ว
“เจสสิก้าไม่ได้ออกมาจากกล่องมายากล แต่เธอก็ไม่ได้ตายอยู่ในกล่องนั่น” จิ้งฉีประมวลข้อมูลที่รวบรวมเอาไว้พยายามหาเหตุผลให้กับเรื่องราวทั้งหมด ทั้งที่ไม่แน่ใจอะไรเลย ทำแบบนี้เหมือนไล่เป็ดขึ้นบันไดแท้ๆ
“แต่พวกเราก็ได้ยินเสียงร้องของเจสสิก้านี่” หลี่ลู่พูดขึ้นอย่างแปลกใจ
“มันก็ใช่ แต่พวกคุณอย่าลืมสิ เพชฌฆาตคนนั้นเป็นผู้ช่วยของเจสสิก้านะ เขาต้องรู้ว่าจะแทงตรงไหน แค่ตาไวมือไวหน่อยก็หลบได้แล้ว ถ้าทายไม่ผิดผมว่าเจสสิก้าน่าจะคุกเข่าอยู่ เพราะเพชฌฆาตตัวสูงใหญ่ คงไม่แทงไปต่ำๆแน่”
“งั้นเจสสิก้าจะทำอย่างนี้เพื่ออะไร?”
“น่ากลัวว่าจะมีใครบอกให้เธอทำสิ่งที่ไม่คาดคิดล่ะมั้งครับ” จิ้งฉีคาดการณ์
“แต่ที่ผ่านมา เจสสิก้าชอบทำอะไรเหนือความคาดหมายอยู่เสมอ แล้วจะยืนยันว่าหลินเหวินเป็นฆาตกรได้อย่างไร?” หลอซูโต้แทนศิษย์ร่วมสำนัก
“เมื่อกี้คุณเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าเกือบแสดงเหินบินไม่ได้ เพราะเจสสิก้าและหลินเหวินยืมอุปกรณ์คุณไปใช้ นั่นก็เพื่อให้การหายตัวไปของเจสสิก้าจบลงอย่างสมบูรณ์ยังไงล่ะ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หลินเหวินต้องเปลี่ยนการแสดง”
ตำรวจหลายนายช่วยกันยกกล่องมายากลของเจสสิก้าขึ้นมาบนเวที
“ทุกท่านลองสังเกตดูตรงนี้ให้ดีๆ” จิ้งฉีชี้ไปที่รูที่อยู่ด้านบนของกล่องมายากล
“หากไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเขาอาศัยตอนที่เพชฌฆาตเดินลงเวที เสียงดนตรีเริ่มบรรเลงและไฟบนเวทีมืดลง ดึงเส้นด้ายที่ผูกอยู่กับตัวเจสสิก้าขึ้นไป แล้วด้ายอีกเส้นก็ใช้ปิดฝากลับเข้าที่ แค่นี้ก็เรียบร้อย นี่แหละความลับขอวกล่องมายากลล่ะ”
“คราบนี่...” อาจารย์จูหว่านยังไม่ปักใจเชื่อว่าหลินเหวินเป็นคนทำ เจสสิก้าอาจจะจงใจทำเรื่องนี้ เพื่อการแสดงของเธอจบลงอย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้ แต่ว่ากลับเกิดความผิดพลาดใหญ่หลวง
“คงจะเป็นคราบเลือดล่ะมั้ง?” ตำรวจก็สังเกตเห็น
“ใช่แล้ว เจสสิก้าถูกแทงทะลุปอดกับหัวใจ แต่พวกคุณดูสิ ประตูกล่องกลับไม่มีคราบเลือดแม้แต่หยดเดียว ดาบแทงเข้าหัวใจ เลือดก็ควรจะพุ่งไปโดนประตู ดังนั้นจากตรงนี้บอกได้เลยว่า ตอนนั้นเจสสิก้ายังไม่ตาย เวลาตายที่แท้จริงของเธอคือหลังจากลงเวทีไปแล้ว หลินเหวินทำไมคุณถึงต้องทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเจสสิก้าตายอยู่ในกล่องมายากล คุณรู้ดีอยู่แล้วว่าไม่ว่าจะยังไงก็ตามบาดแผลบนตัวของเธอก็ไม่น่าจะตรงกับรอยแทงบนกล่องมายากล คุณจึงใช้วิธีบางอย่างเอาศพของเธอใส่เข้าไปในกรงของหลี่ลู่ คำถามคือทำไปเพื่ออะไรกัน”
ด้านหลี่ลู่เริ่มจะเชื่อเหตุผลของจิ้งฉีบ้างแล้ว
“ข้อแรก เพื่อปกปิดร่องรอยของบาดแผลซึ่งอาจจะสาวมาถึงตัวคุณเองได้ เพราะตอนนั้นทางตำรวจที่มัวแต่วุ่นวายอยู่ไม่ได้สนใจที่จะตรวจสอบระยะบาดแผลว่าตรงกับตำแหน่งการแทงบนกล่องมายากลรึเปล่า หรืออีกข้อหนึ่งก็เพื่อสกัดกั้นการแสดงของผู้แข่งขันคนต่อไป”
“คิดจะขัดขวางการแสดงของฉันงั้นเหรอ?” หลอซูนิ่งงง
“ถูกแล้ว หลินเหวินต้องใช้เชือกถึงสองเส้น เพื่อให้แผนของเขาเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าเส้นหนึ่งเป็นของเขาเอง และอีกเส้นก็เป็นของคุณ หลอซู”
“เลิกล้อเล่นได้แล้วพวกแกก็รู้นี่ว่าฉันต้องแสดงต่อจากเจสสิก้าแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปก่อเรื่อง นี่มันวิธีสืบคดีอะไรของพวกแก จะบอกว่ามีพลังวิเศษงั้นเหรอ”
จิ้งฉีส่งซิกให้ลู่กั้วมาช่วยเสริม
“ถูกต้อง ก่อนเริ่มแสดงผมแปะยันต์สลายวิญญาณไว้บนตัวของพวกคุณเพื่อป้องกันวิญญาณร้าย แต่ว่ายันต์สลายวิญญาณไม่ใช่แค่คุ้มครองเท่านั้น มันยังช่วยสังเกตการณ์ได้ด้วย ก็อย่างที่บอก ยันต์สลายวิญญาณที่ติดอยู่บนตัวคุณหายไป นั่นแหละเครื่องยืนยันว่าคุณใช้พลังเวทมนตร์บางอย่าง
เรานี่มันฉลาดสุดๆ จริงๆ
ลู่กั้วนึกชมตัวเอง
“วิญญาณร้าย” ทุกคนหยุดปากนิ่งอึ้งไปตามๆกัน ไม่อยากจะเชื่อว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย
ช่างเถอะรู้แล้วก็รู้ไป เดี๋ยวค่อยล้างความทรงจำพวกเขาทีหลังก็แล้วกัน
จิ้งฉีคิดการณ์ไว้ในใจ
“และเป้าหมายที่แกต้องใช้พลังวิญญาณก็คือคนๆ นี้” ลู่กั้วไปหยุดอยู่หน้ากล่องมายากลของอู๋หมิงที่เตรียมไว้จะแสดง เปิดประตูออกทันใดนั้น ร่างของใครคนหนึ่งก็ล้มตึงลงบนพื้น คนๆ นั้นคือ...ซอเต๋อ
“หา นี่มันเป็นไปได้ยังไง” อู๋หมิงถอยหลังกรูด “ก่อนจะขึ้นเวที ฉันก็ตรวจดูแล้วนี่”
“ไม่งั้นผมจะบอกว่าใช้พลังวิญญาณได้ไงล่ะ คนธรรมดาทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอก” ลู่กั้วพูด
“แต่เมื่อวานหลินเหวินก็เกือบจะถูกโคมไฟทับตายเหมือนกันนะ” อาจารย์จูหว่านยังคงแก้ตัวให้ลูกศิษย์
“ก็แค่อุบายตื้นๆ ให้คนอื่นตายใจ เจ้าตัวตลกบนกำแพงนั่นก็ฝีมือเขานี่แหละ” ลู่กั้วเพิ่มเติม
“ฮ่าๆๆ ฉันว่าพวกเธอคิดมากไปมั้ง” หลินเหวินหัวเราะขึ้น “ตอนซือเต๋อหายตัวไป ฉันก็นั่งอยู่กับคนดูตลอด ถามหน่อยเถอะ ฉัน จะฆ่าเขาได้ยังไง วิญญาณร้ายบ้าบออะไรที่พวกเธอพูดมันก็แค่เรื่องหลอกเด็ก เที่ยวเอามาอ้างส่งเดชแบบนี้ เป็นหลักฐานยืนยันไม่ได้หรอก”
“ไม่รู้ว่าทุกคนยังพอจะจำได้รึเปล่า เมื่อกี้ตอนขึ้นมาบนเวที คุณพูดออกมาประโยคหนึ่ง...”
จิ้งฉีพูดชวนให้ทุกคนหวนคิด
“ไหนบอกมาซิว่าใครเป็นคนฆ่าเจสสิก้ากับซือเต๋อ ถ้าไม่ใช่ซือเต๋อคุณจะรู้ได้ไงว่าซือเต๋อตายแล้ว ทั้งที่ตอนอยู่หลังเวทีคุณเองไม่ใช่เหรอที่ย้ำอยู่ตลอดว่าเขากลัวจนแอบหนีไปแล้ว หึๆ คุณคงต้องอธิบายให้พวกเราฟังหน่อยแล้วล่ะ คุณหลินเหวิน”
หลินเหวินเงียบ พูดไม่ออก
“สาเหตุของเรื่องทั้งหมด ถ้าคิดไม่ผิดน่าจะเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อน ผู้ตายเป็นคนรักของคุณใช่มั้ย?” น้ำเสียงของจิ้งฉีอ่อนลง
“ใช่ ตอนนั้น...มันไม่ใช่อุบัติเหตุ” หลินเหวินก้มหน้าลง “ฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นฝีมือ เจสสิก้า ซือเต๋อและอู๋หมิง ที่อิจฉาจนคิดฆ่าเขา”
“พูดอะไร ตอนนั้นพวกเราก็เป็นครูจะไปอิจฉาครูฝึกหัดนั่นทำไม?” อู๋หมิงร้อนรนขึ้นมา
“ถ้าไม่มีอะไร แล้วทำไมต้องเผาข้าวของเขาทิ้ง ทำไมต้องทำพิธีส่งวิญญาณด้วย...ถ้าวันนั้นฉันไม่ได้ยินพวกแกคุยกันที่สุสาน ฉันก็คงไม่กล้ามั่นใจว่าพวกแกฆ่าเขา ฉันรอเวลานี้มาตั้งหลายปี เวลาที่จะได้แก้แค้นพวกแก”
“แต่ดูเหมือนคุณไม่ได้ตั้งใจจะแก้แค้นพวกเขาในการแข่งขันครั้งนี้นี่ เพิ่งจะมาตัดสินใจกะทันหันใช่มั้ย” จิ้งฉีพูด ทั้งที่เตรียมการไว้แต่แรกแล้วแท้ๆ ทำไมถึงเปลี่ยนใจรีบลงมือ อาจจะเป็นเพราะการปรากฎตัวของวิญญาณแค้นตนนั้นกระทัง ที่ทำให้เขาเปลี่ยนความตั้งใจคิดแก้แค้นอย่างกะทันหัน
“ฉันคิดจะฆ่าพวกมันอยู่แล้ว แต่คนๆ นั้นบอกว่า เขาจะให้โอกาสฉันแสดงมายากลที่น่าตื่นเต้นที่สุด โดยใช้เวทีนี้เป็นที่แสดงการฆ่านั่นแหละคือโชว์อันสุดยอด มอบความระทึกขวัญน่ากลัวให้แก้พวกผู้ชม มีเสียงกรีดร้องที่โหยหวนเป็นรางวัล” สีหน้าของหลินเหวินฉายแววดุดัน ไม่เหมือนใบหน้าที่อ่อนโยนในยามปกติ
“เพี๊ยะ!”
ฝ่ามือของอาจารย์จูหว่านปะทะใบหน้าที่แดงก่ำของหลินเหวิน
“นี่ฉันสอนอะไรแกไปกันแน่ มายากลเป็นแค่เครื่องมือแก้แค้นงั้นหรือ...มายากลคืองานศิลปกรรมชั้นเลิศของมนุษย์ มันคือการละเล่นชั้นสูง มันคือความตื่นตาตื่นใจในระดับสุดยอดสำหรับผู้ชม น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ เวลาหลายต่อหลายปีที่ฉันทุ่มเทสอนแกมา มันสูญเปล่าจริงๆ แกไม่คู่ควรจะเป็นศิษย์เอกของฉัน!” อาจารย์จูหว่านตัวสั่นระริกด้วยความเดือดดาล
“คุณหลินเหวิน” ตำรวจนายหนึ่งทำท่าเชิญหวินเหวินออกไป
“ดี พวกคุณคุมตัวเขาไปก่อน” ลู่กั้วยืนอยู่ข้างหลังอาจารย์จูหว่านและคนอื่นๆ เขียนยันต์ขึ้นอย่างคล่องแคล่ว อีกไม่เกิน 5 นาที ทุกคนก็จะลืมเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณร้ายไปหมดสิ้น
“อยู่ทำอะไรอีก” จิ้งฉีมองลู่กั้วอย่างระอา เจ้าหมอนี่ไม่น่าทำเรื่องให้มันใหญ่โตเลย
“ชิ กลัวก็กลับไปก่อนไป” ลู่กั้วพูดแล้วเดินเข้าไปหลังเวที
“จับวิญญาณร้ายได้แล้วเหรอ” จิ้งฉีตามติดมาข้างหลัง
“ก็จับได้น่ะสิ” ลู่กั้วทำหน้าปะหลับปะเหลือก “แต่ก็แค่ปิดยันต์สะกดเอาไว้ก่อนชั่วคราว”
“ถ้าเป็นวิญญาณร้ายธรรมดา...” จิ้งฉีหยุดคำ
ทำไมลู่กั้วถึงแค่ปิดยันต์เอาไว้ ไม่ส่งไปโลกหลังความตายเสียเลยล่ะ
“ถ้าแค่วิญญาณร้ายธรรมดา ฉันจะมาตามแกไปดูแบบนี้เหรอ” ลู่กั้วเหลือกตาใส่ “มันไม่ธรรมดาอย่างที่แกคิดรู้เอาไว้เจ้าเบื้อก”
“ไม่ใช่แค่วิญญาณร้าย?” จิ้งฉีคิดไม่ออกว่าจะยังมีอะไรได้อีก
“ชิ มันแกร่งกว่าที่เคยเจอมาอยู่โขเลยล่ะ” แม้แต่ลู่กั้วที่จัดการกับวิญญาณมานักต่อนักยังต้องจนมุม ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี เลยได้แต่ควบคุมเอาไว้ก่อนเท่านั้น
.....................
ลู่กั้วพาจิ้งฉีมายังจุดที่เขาปิดยันต์เอาไว้ แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีด เดิมทีเขาขังมันไว้ท่ามกลางยันต์ค่ายกลดาวดับ 5 ดวง แต่ตอนนี้ไม่เห็นแม้แต่ฝุ่นเงา
“ซวยละ มันหนีไปแล้ว” ในใจร้อนรนขึ้นมาทันที
“ฮิฮิฮิ”
เสียงหัวเราะแหลมเหมือนเด็กดังมาจากบนขื่อเหนือหัวพวกเขา
“คิดว่าจะพาใครมา ที่แท้ก็เจ้าเด็กอมมือไม่ได้เรื่อง” ใครคนนั้นกอดอก กระโดดลงจากขื่อ มองมาทางจิ้งฉีอย่างเหยียดหยาม
เด็กน้อย? เจ้าเด็กคนนี้ดูแล้วคงอายุไม่เกิน 5 ขวบแน่ๆ หน้าตาน่ารักน่าชังถึงจะดูดุไปหน่อยก็เถอะ ผมดำขลับ นัยน์ตาดำกลมโตอย่างกับตุ๊กตา แต่แววตาเยือกเย็นอย่างไรไม่รู้ แล้วยังรู้สึกเหมือนมีพลังมหาศาล แผ่กระจายออกมาจากร่างเล็กกระจ้อยนั้น จนคนรอบข้างรู้สึกกดดันหวาดกลัวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
“แกหนีออกมาจากยันต์วงล้อมดาวดับได้ยังไง” ลู่กั้วตั้งท่าเตรียมพร้อมประมือทุกเมื่อ ไม่รู้ว่าความรู้สึกของเขาจะคลาดเคลื่อนผิดปกติไปรึเปล่า เจ้าหนูเบื้องหน้าเหมือนจะตัวโตขึ้นกว่าเมื่อกี้เล็กน้อย
“น่าขัน แค่วงล้อมกระจอกอย่างนั้นคิดว่าจะกักข้าได้สำเร็จรึไง” เด็กน้อยดูถูก “ข้าแค่อยากเห็นว่าแกจะพาใครมา คิดไม่ถึงว่าจะเป็นมนุษย์อ่ออนแอขี้แพ้คนหนึ่งเท่านั้น เสียเวลาจริงๆ”
“เจ้าหนู แกเป็นใครกันแน่?”
“ฮ่าๆๆ” เป็นเสียงหัวเราะที่น่ากลัวยิ่งกว่าเสียงโหยหวนของวิญญาณทั้งหมดที่เคยได้ยินมา
“ข้าคือ เจ้าแห่งความกลัว มีนามว่า ลูซิเฟอร์”
“ลูซิเฟอร์? ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย” ลู่กั้วพูดเสียงเรียบ
“พวกแกแซ่ลู่เหมือนกันเป็นญาติกันรึเปล่า?” จิ้งฉีหรี่ตาถามลู่กั้ว
“ชิ ชื่อฉันอาจารย์เป็นคนตั้งให้ เขาบอกว่าพบฉันตอนเดินผ่านแม่น้ำจอร์แดน ก็เลยเรียกฉันว่าลู่กั้ว ที่แปลว่าเดินผ่านไงเจ้างั่ง”
“เฮ้อ ยังไงซะพวกแกก็ไม่ใช่คนที่ฉันตามหา เจ้าแห่งความกลัวไม่มีเวลาจะมาเล่นไร้สาระกับพวกแก ตายซะเถอะ!” นัยน์ตาดำเข้มของลูซิเฟอร์แปรเปลี่ยนเป็นสีม่วง
ทันใดนั้นจิ้งฉีก็เหมือนถูกไฟช็อตไปทั่วร่าง ความทรงจำในอดีตหลั่งไหลเข้ามาราวกับลงหนาวที่พัดกรูปะทะร่าง ในหัวมีแต่ทะเลเพลิง ในทะเลเพลิงนั้นดวงตาสีม่วงค่อยๆ เลือนหายไป ม่านตาของจิ้งฉีสั่นคลอไปด้วยน้ำตา ความหวาดกลัวครั้งใหญ่ในชีวิตนั้นกำลังกลืนกินร่างกายของเขาทีละน้อยๆ กลัวและลนลานจนแทบจะตะโกนออกมาทีเดียว
“ชิ ใครกันแน่ที่จะตาย” ลู่กั้วกำหมัดแน่น
“พลังแห่งปวงเทพ จงเปลี่ยนเป็นคมดาบวิญญาณให้แหลกสลายกลายเป็นจุณ”
ทันใดนั้นแสงยาวพุ่งแหลมเหมือนดาบก็ปรากฎขึ้นที่มือของลู่กั้ว ดาบอาคมที่คมกริบส่องแสงสีทองอร่าม เขาฟาดฟันมันลงไปที่ลูซิเฟอร์
“อ่อนหัดจริงๆ” ลูซิเฟอร์กระโดดหลบพ้นการโจมตีของลู่กั้ว แล้วขึ้นไปยืนอยู่บนดาบสีทองนั่น
“ถึงพวกแกจะไร้ค่า แต่ฉันจะสงเคราะห์ให้ได้ขึ้นสวรรค์ก็แล้วกัน” เจ้าเด็กตัวน้อยหัวเราะเสียงดังน่าเกลียด ชูพลังเวทมนตร์สีดำสนิท แปรสภาพเป็นเหมือนลูกบอลขนาดใหญ่เต้นระริกไปด้วยคลื่นพลังที่อัดแน่นอยู่ในมือที่ยกขึ้นมา
“ตายซะเถอะ!”
ชั่วพริบตานั้นลู่กั้วรีบสร้างม่านขึ้นป้องกันตัวเองและจิ้งฉีทันที
“แกมัวทำอะไรอยู่ฟะ” ลู่กั้วเห็นไป๋จิ้งฉียืนทื่อ ท่าทางตื่นตระหนกเหมือนกำลังกลัวสุดขีด ตัวสั่นเทา ไม่มีแรงจะหนีเอาชีวิตรอด
“ฮ่าฮ่าฮ่า กลัวเข้าไป ความกลัวของเจ้าจะกลายเป็นพลังของข้า” ลูซิเฟอร์หัวเราะขึ้นอีก
“อย่า! ไม่... ไม่..”
จิ้งฉีในวัยเด็กกุมหัวมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าแล้วหวีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง
“ฟังนะจิ้งฉี”
ใครคนหนึ่งอุ้มเขาเอาไว้ เลือดจากบาดแผลบนตัวหยดลงบนร่างเด็กน้อย
“จงลืมซะ แล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป”
พูดจบ ริมฝีปากคู่นั้นก็ประทับลงบนดวงตาของจิ้งฉี
“ลาก่อน จบสิ้นกันเสียที” เสียงเยือกเย็นดังมาจากเบื้องหลัง
“โอย” จิ้งฉีทรุดลงกับพื้น กุมหัวไวเอย่างทรมาน
“มนุษย์นี่มันช่างอ่อนแอเสียงจริงๆ” ลูซิเฟอร์เป็นฝ่ายได้เปรียบ ลู่กั้วบาดเจ็บ แขนซ้ายขยับไม่ได้
“โธ่เว้ย” แต่เขากลับไม่สนใจแขนของตัวเอง ยันกายลุกขึ้น “ฉันไม่สนว่าแกจะเก่งเหนือนฟ้ามาจากไหน ยังไงฉันก็จะกำจัดแกให้ได้”
“เพ้อเจ้อจริงๆ มนุษย์อย่างแกจะต่อกรกับฉันได้เหรอ” ถึงตอนนี้พลังจะฟื้นคืนแค่หนึ่งส่วน แต่ก็เกินพอที่จะปะทะกับมนุษย์เจ็บหนักเพียงคนเดียว
“ขอชีวิตของแกเลยละกัน” ลูซิเฟอร์ยกมือขวาขึ้น ลูกพลังเวทลูกหนึ่งอยู่ในมือข้างนั้น
“ชิ ภารกิจยังไม่สำเร็จ ฉันจะตายไม่ได้” ลู่กั้วสายตาจริงจัง หน้าตาที่ดูเหรอหราเฟอะฟะในยามปกติ ตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขารวบรวมพลังเอาไว้ที่แขน
“เฮ้ย จิ้งฉี ถ้ากลัวก็หลบไปไกลๆ สิเว้ย”
จิ้งฉีได้ยินแล้วขบฟันแน่น ในใจคิดจะสู แต่ประสบการณ์ในอดีตกลับย้ำเตือน
เจ้าเด็กที่ชื่อลูซิเฟอร์นี่ร้ายกาจมากจริงๆ
ความกลัวจากตอนนั้นกลืนกินจิตใจของเขาจนขยับขาไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว จ้องมองดวงตาสีม่วงของเด็กน้อย เหงื่อไหลย้อยจากหน้าผากไม่ขาดสาย
สู้สิ จิ้งฉีสู้!
ใจได้แต่บอกกับตัวเองอยู่อย่างนั้น แต่ทว่าร่างกายกลับไม่ฟังคำสั่งจากหัวใจ มันเอาแต่สั่นไม่ยอมหยุด พลันก็มีเสียงดังสะท้อนก้องอยู่ในหัว
“เจ้าคนขี้ขลาด ไม่คิดเลยว่าจะอ่อนแอขนาดนี้ มิน่าล่ะพ่อแม่ของแกถึงตายอยู่ในกองไฟ กว่าจะจัดการกับพวกเขาได้นี่ไม่ใช่ง่ายๆ เลย ถ้าแกไม่อ่อนแอขนาดนี้ พวกเราคงทำไม่สำเร็จแน่ๆ ... ฮ่าๆ ต้องขอบใจแกจริงๆ”
“บึ้ม!”
พลังเวทของลู่กั้วและลูซิเฟอร์ชนกันระเบิดออกตรงกลางระหว่างทั้งสอง แรงปะทะเกิดเป็นแสงไฟแลบ ต่างฝ่ายต่างก็ดันลูกพลังเวทเข้าหาอีกฝ่าย พลังของทั้งสองฝ่ายไล่เลี่ยกัน ลูกบอลพลังเวทจึงลอยไปลอยมาอยู่อย่างนั้น ดูไม่ออกเลยว่าฝ่ายใดจะแพ้ชนะ
“ไม่เบาเลยนี่แก บาดเจ็บขนาดนั้นยังมีพลังเหลืออยู่อีก แถมยัง...” เดิมทีลูซิเฟอร์คิดว่าจะกำจัดลู่กั้วได้อย่างง่ายดาย แต่ผิดคาด ต้องใช้พลังมากกว่าที่คิดหลายเท่า นี่ถ้าหากพลังฟื้นคืนมาเต็มที่เหมือนเมื่อก่อนละก็...แค่ไอ้ขี้โม้คนหนึ่ง ไม่อยากเย็นอย่างนี้หรอก
ลู่กั้วรู้สึกว่าตัวเองมีพลังเหนือกว่าคู่ต่อสู้ หากมือซ้ายไม่บาดเจ็บไปเสียก่อนเขาอาจจะชนะไปแล้วก็ได้
“หึ หึ” ลูซืเฟอร์หัวเราะ เขาดึงมือซ้ายออกแล้วรวบรวมพลัง สร้างลูกบอลขึ้นมาอีกลูกหนึ่ง แล้วโยนเข้าใส่ลู่กั้ว “ไปตายซะ!”
“โอ๊ะ” แขนซ้ายของลู่กั้วบาดเจ็บอยู่ หากใช้มันกันไว้ก็คงจะโดนลูกบอลพลังเวททั้งสองลูกเข้าอย่างจัง แต่ถ้าไม่กันแขนขวาก็คงบาดเจ็บไปอีก จะยังไงก็มีแต่ตายกับตาย
ลู่กั้วจ้องลูกพลังเวทที่วิ่งตีโค้งพุ่งเข้ามาหา ในใจมีเพียงความคิดเดียว
จบกัน เฮ้อ อุตส่าห์สะมสเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคต เปล่าประโยชน์แท้ๆ
ชี่...
เสียงเวทมนตร์ดังฝ่าอากาศดังใกล้เข้ามาแล้ว
ทันใดนั้นเงาของใครคนหนึ่งปรากฎขึ้นทางด้านซ้ายของลู่กั้ว ปัดป้องระเบิดเอาไว้ได้
“โอ้” ลู่กั้วมองผู้ช่วยชีวิตแล้วร้องขึ้นเสียงดัง “อาจารย์ถีเอ่อ”
“หนักหน่อยนะลู่กั้ว จากนี้ให้ฉันรับมือเอง” ถีเอ่อจดจ้องลูซิเฟอร์แล้วเหวี่ยงลูกพลังเวทเข้าหาอย่างรวดเร็ว
“เฮอะ เจ้าตัวยุ่งยากโผล่มาอีกคนละ” ลูซิเฟอร์รู้ดีว่าไม่มีพละกำลังพอที่จะผลักพลังเวทของถีเอ่อออกไปได้จึงกระโดดหลบ ปล่อยให้ลูกพลังเวทพุ่งเข้าใส่กำแพงอย่างจัง เศษซากอิฐลอยกระจายปลิวมากระทบแนวป้องกันของอาจารย์ถีเอ่อ
“แกเป็นใคร?” ถีเอ่อถามน้ำเสียงดุดัน ตาสีม่วงนั้นเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายมาร แต่พวกมารทั่วไปจะมีดวงตาเป็นสีแดง แล้วเด็กน้อยคนนี้มันเป็นใครกันแน่...
“มันเรียกตัวเองว่าเจ้าแห่งนงยูงอะไรนี่แหละ” ลู่กั้วพูดอย่างที่คิด
“เจ้าแห่งความกลัวเฟ้ย” ลูซิเฟอร์แก้ให้อย่างโมโห
“เจ้าแห่งความกลัวรึ?” อาจารย์ถีเอ่อขมวดคิ้ว
คงจะเป็นพวกปีศาจที่พลังไม่แกร่งกล้าล่ะมั้ง แต่มีจิตใจโหดเหี้ยมน่าดู เทียบกับเราแล้วพลังของเด็กนี่ยังเป็นรองอยู่เยอะแต่ทำไมถึงรู้สึกว่ามันไม่ธรรมดา? หรือว่าจะกำจัดทิ้งเพื่อตัดปัญหาดี
“แกเป็นพวกฝ่ายเทพรึนี่” ลูซิเฟอร์พูดขึ้นกะทันหัน
“ฉันไม่รู้ว่าแกพูดถึงเรื่องอะไร เจ้าเด็กน้อย” เจ้าเด็กน้อยคนนี้คงไม่ใช่ปีศาจธรรมดา “แต่ไม่ว่าแกจะเป็นใครก็ตาม วันนี้ฉันจะกำจัดแกทิ้งซะที่นี่แหละ” ถีเอ่อใช้ความไวดุจสายฟ้าพุ่งเข้าหาลูซิเฟอร์
“หึ สมกับเป็นฝ่ายเทพจริงๆ แต่ทำไม...” ลูซิเฟอร์มองการโจมตีของถีเอ่อออกทุกกระบวนท่า เชื่อมั่นว่าตัวเองต้องหลบเลี่ยงได้ย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรอให้ถีเอ่อโจมตีมาก่อน
แต่ทว่า ขณะที่ถีเอ่อห่างจากตัวลูซิเฟอร์เพียงหนึ่งเมตรเขาก็หายไปทันที
“ไปไหนแล้ว กระบวนท่าเมื่อกี้ตั้งใจจะหลอกฉันงั้นรึ” ลูซิเฟอร์ตื่นตระหนกมองหาคู่ต่อสู้ไปทั่วทิศ
“หาอะไร” เสียงถีเอ่อดังมาจากด้านบน ยังไม่ทันที่จะเงยขึ้นไปมอง กำปั้นที่แข็งปานเหล็กก็กระทบเข้ากับใบหน้าเล็กๆ ของลูซิเฟอร์อย่างไม่ยั้งมือ
ร่างน้อยๆ ลอยลิ่วไปชนกำแพงอย่างแรง บนกำแพงปรากฎรอบบุบตามขนาดของร่างเล็กขึ้นมา
ช่างเก่งกาจอะไรอย่างนี้
ลู่กั้วที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งถึงกับอึ้ง สมแล้วที่เป็นสุดยอดอาจารย์ไม่ใช่แค่ไวอย่างเดียว พลังก็สุดยอดหาคนเทียบได้ยากจริงๆ ในขณะที่กำลังชื่นชมอยู่นั้น ในใจของลู่กั้วก็เกิดพลังปลาบปลื้มยินดีอย่างประหลาด
“ลุกขึ้นมา” ถีเอ่อ เดินเข้าไปหา “แต่นี้แกไม่ตายหรอก”
“หึ หึ” ลูซิเฟอร์ลุกขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปาก “ไม่เลวนี่” ถึงจะพูดออกมาอย่างนั้น แต่ในใจกำลังคิดหาทางหนีทีไล่อยู่
“ไปชื่นชมในโลกหน้าเถอะ” ถีเอ่อตวัดมือ กลุ่มพลังเวทที่แรงหกล้าพุ่งเข้าใส่เด็กน้อยเบื้องหน้า
“เฮอะ คิดว่าอย่างข้าจะถูกจัดการได้ง่ายๆ อย่างนั้นเชียวเรอะ” ลูซิเฟอร์กล่าวน้ำเสียงโมโหดุดัน กระโดดขึ้นกลางอากาศ
ทันใดนั้น พลังเวทกลุ่มใหญ่แตกออกเป็นห้ากลุ่มโจมตีเข้าหาลูซิเฟอร์จากห้าทิศทางอย่างไม่ทันตั้งตจัว เด็กน้อยนัยน์ตาสีม่วงไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงจำใจรับพลังที่มาจากทุกทางเข้าไปแล้วสาดพลังเวทเข้าใส่ลู่กั้วกับไป๋จิ้งฉีหลายนัด อาจารย์ถีเอ่อคาดไม่ถึง เจ้าเด็กนี่ไม่เพียงแต่หลบหลีกการโจมตีได้ แต่ยังหาช่องตอบโต้โจมตีกลับด้านหลังของตนด้วย
ลู่กั้วเห็นท่าไม่ดี รีบเสกยันต์ป้องกันตนเองและจิ้งฉี ระเบิดอาคมตกปะทะเกราะป้องกันจนแตกร้าว
“หึๆ ดีใจที่ได้พบพวกแก คราวหน้าฉันสัญญาจะไม่ปล่อยให้พวกแกเอาเปรียบอยู่ฝ่ายเดียวแน่นอน โดยเฉพาะแก” ลูซิเฟอร์ฉวยโอกาสขณะที่ถีเอ่อกำลังหันไปเป็นห่วงลูกศิษย์ เปิดช่องว่างในอากาศให้ฉกฉวย
“พบกันคราวหน้า ฉันจะให้ฝ่ายเทพอย่างแกได้ลิ้มรสชาติความพ่ายแพ้ในนรกดูบ้างแน่ๆ ฮ่าๆๆ” สิ้นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เงาร่างลูซิเฟอร์ก็หายลับไป
เจ้านั่นถึงจะเป็นเด็กแต่ก็ร้ายกาจใช่ย่อย มีพลังเวทที่แรงกล้ามาก ปล่อยให้มันหนีไปได้อย่างนี้ วันหน้าคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
อาจารย์ถีเอ่อเครียด
“อาจารย์ถีเอ่อ” ลู่กั้วโบกมือให้อย่างดีใจ
“ลำบากหน่อยนะ ลู่กั้ว” แม้จะมีเรื่องหนักอึ้งอยู่ในใจ แต่ถีเอ่อก็ยังคงส่งยิ้มให้ลู่กั้วอย่างอ่อนโยน
ลู่กั้วคลำท่ายทอยตัวเอง รู้สึกเขิน กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่หรอกครับ ถึงจะสู้คนเดียวก็เถอะ แต่ก็ไม่เป็นไรมากหรอกครับ ผมชินแล้วล่ะ”
“ครั้งนี้เธอทำได้ดีมาก” ถีเอ่อหันไปมองอีกด้าน เห็นจิ้งฉีเอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดซักคำ
“เรากลับกันเถอะ”
“ดีครับอาจารย์ อาจารย์นี่เจ๋งสุดๆไปเลย สอนผมซักกระบวนท่าได้มั้ย” ลู่กั้วทำสีหน้าอ้อนวอน
“ฮ่าๆ อาจารย์ถังก็สุดยอดเหมือนกัน ได้ครูดีแบบนั้นสอน เธอต้องเก่งแน่นอน”
อาจารย์ถีเอ่อมองตามหลังลูกศิษย์ทั้งสองอย่างเป็นกังวล จิ้งฉีไม่ยอมพูดอะไรสักคำเดียว
“ผมอยากเก่ง อยากมีพลังแข็งแกร่งอย่างอาจารย์ถีเอ่อนี่แหละ” ลู่กั้วยังคงพูดเป็นต่อยหอย
“ทำไมถึงอยากเก่งล่ะลู่กั้ว”
“เพราะผมมีสิ่งสำคัญต้องปกป้อง” ลู่กั้วตอบอย่างมั่นใจ
“อืม ฉันเชื่อว่าต่อไปเธอจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ ความคิดที่จะปกป้องใครสักคน นั่นแหละที่จะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ”
ลู่กั้วดีใจสุดๆ “จริงเหรอ? จริงๆ เหรอ? แล้วจะแข็งแกร่งกว่าอาจารย์ถีเอ่อรึเปล่าฮะ”
“แน่นอนสิ” อาจารย์ถีเอ่อยิ้มแล้วพยักหน้า แต่สายตาก็ยังคงจับอยู่ที่จิ้งฉีอย่างเป็นห่วง
ใช้เวทีนี้เป็นที่แสดงการฆ่า
มอบความระทึกขวัญ
อันน่ากลัวให้แก่ผู้ชม
มีเสียงกรีดร้องที่โหยหวนเป็นรางวัล
มอบความระทึกขวัญ
อันน่ากลัวให้แก่ผู้ชม
มีเสียงกรีดร้องที่โหยหวนเป็นรางวัล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น