วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คู่ปริศนา บทที่3 บทส่งวิญญาณร้าย

บทที่ 3
บทส่งวิญญาณร้าย



ไป๋จิ้งฉีค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“เฮ้อ ฟื้นซะที” ลู่กั้วทำสีหน้าเบื่อหน่าย พร้อมกับสบัดมือที่ปวดเมื่อยไปมา “นึกว่าตายไปแล้วซะอีก หลงดีใจเสียเปล่า”
“หน้าฉัน...” จิ้งฉีรู้สึกแสบร้อนที่ใบหน้า “ทำไมถึงบวมอย่างนี้?”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เธอเกือบจะถูกวิญญาณแค้นกระชากเอาวิญญาณออกจากร่างไปแล้วนะ” หลิงหลงบอก
มันทำให้จิ้งฉียิ่งงงเข้าไปใหญ่ “วิญญาณแค้น?” เสียงกับมือข้างนั้น หรือว่า...วิญญาณแค้น?
“ใช่แล้วตอนที่ฉันไปเจอ เธอถูกดึงเข้าไปในกำแพงตั้งครึ่งตัวแล้ว นี่ไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ?” หลิงหลงรู้ดีว่าหากผู้มีญาณวิเศษไม่ยินยอมเสียอย่าง วิญญาณร้ายก็ไม่สามารถครอบงำได้ง่ายๆ แบบนี้
“หา..”
“เฮอะ อ่อนจริงๆ นี่ไม่ใช่แค่ไม่มีพลังนะ นิสัยก็ยัง...”ลู่กั้วกำลังตั้งท่าจะถากถาง แต่ถูกหลิงหลงตัดบทเสียก่อน
“ลุงฟงสอบสวนดูแล้วล่ะ ผู้ตายรายที่ห้าก็มีส่วนร่วมในการสร้างตึกหลังนี้ และบนหน้าผากของเขาก็ถูกสลักคำว่า ‘เปา’ เอาไว้ ที่เธอคาดการณ์ น่าจะถูกนะจิ้งฉี”
“มันอยู่ในกำแพงนั่น” จิ้งฉีพูดเสียงเบา “ก่อนหน้านี้ฉันสัมผัสได้ ในกำแพงนั่นมีเสียงหวีดร้องร่ำไห้อยู่ รอยแค้นน่าจะซ่อนอยู่ในนั้น”
“ทำไมฉันไม่เห็นจะรู้สึกเลยล่ะ?” ลู่กั้วส่งเสียงดัง
“ฉันก็เคยสัมผัสกำแพงนี้เหมือนกัน ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย” หลิงหลงแปลกใจ “แต่ดูจากการที่พวกมันคิดจะดึงเธอเข้าไป แรงอาฆาตแค้นคงจะอยู่ในกำแพงนี้จริงๆ นั่นแหละ”
ทั้งที่รับรู้ได้ถึงแรงแค้นของวิญญาณร้าย แต่กลับไม่เชื่อสัมผัสของตัวเอง นี่ถ้าเป็นฉันหรือเจ้าหนุ่มผมเงินนั่น เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้แน่

....................


“ไป๋จิ้งฉี ถ้าแกไม่ไหวก็กลับไป พวกเราจะทำพิธีแล้ว” ลู่กั้วไม่เกรงใจ
“ไม่ได้ เขาเป็นคนสำคัญ ต้องอยู่ร่วมพิธีด้วย” หลิงหลงพูดยิ้มๆ
“ผมไม่มีพลังเวท” จิ้งฉีอิดออดเสียงเบาเหมือนยุงบิน
“หา? เธอเป็นหน่วยพิเศษไม่ใช่เหรอ” หลิงหลงแปลกใจ แต่ก็รู้สึกได้ว่าพลังของเด็กคนนี้เหมือนถูกอะไรบางอย่างกดเอาไว้ ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้
“พูดไปก็ขายหน้า คนที่ไม่เป็นเวทมนตร์อะไรสักอย่างก็ยังผ่านการคัดเลือกเข้ามาได้ แถมยังอยู่ทีมเดียวกับฉันด้วย” ลู่กั้วถือโอกาสระบายเรื่องไม่พอใจออกมา
“ถึงจะไม่มีพลังเวทมนตร์มาก แต่ว่า...” หลิงหลงยังพูดด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม
“เขาอาจจะมีพลังที่พวกเราไม่มีก็ได้ ไอวิญญาณในกำแพงนั่นเราสองคนยังไม่รู้สึกเลย แต่จิ้งฉีกลับสัมผัสได้ นี่เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีเลยล่ะว่าเขาต้องร่วมพิธีกับเราด้วย”
“ชิ บังเอิญมากกว่ามั้ง” ลู่กั้วยังคงไม่แยแส
“มาเถอะเตรียมตัวทำพิธีกันได้แล้ว”
“ที่นี่ถูกยันต์ตรึงเอาไว้ เราก็ใช้เวทมนตร์ไม่ได้เลยน่ะสิ”
“ใช่เพราะฉะนั้นเราต้องทลายกำแพงนี่ให้ได้” หลิงหลงพูด “เพื่อป้องกันไม่ให้พวกวิญญาณหลบหนีไปได้ ฉันต้องการให้พวกเธอวางเขตป้องกันที่ข้างหลังฉัน และระวังอย่าให้อะไรฝ่าไปได้”
“งานลำบากๆ แบบนี้ให้ไป๋จิ้งฉีทำเถอะ” ลู่กั้วพูดประชดเสียงดัง เขารู้ดีว่าการวางเขตแดนป้องกันภัยนี้เป็นพื้นฐานของวิชาเวทมนตร์คาถา
“งั้นเหรอ” กะอีแค่วางเขตแดนป้องกันจิ้งฉีทำได้อยู่แล้ว เพียงแต่จะไม่แข็งแกร่งมากเท่านั้นเอง “นายมันก็แค่หมาป่าที่ดีแต่ใช้กำลังเท่านั้นจริงๆ” เสียงดังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แสดงเจตนารมณ์ประชดประชันเต็มที่
“นี่นายหาว่าฉันไม่แน่จริงงั้นเหรอ?”
“เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า” หลิงหลงขัดขึ้นอย่างรำคาญ
ลู่กั้วและไป๋จิ้งฉีอยู่ข้างหลังศิษย์พี่หลิงหลงวางแนวป้องกันเป็นรูปสี่เหลี่ยม หลิงหลงยืนอยู่ตรงกลาง ถือดาบที่มีประกายแสงสีฟ้าไว้ในมือ เขาหันไปมองลูกทีมสองคนแล้วพูด
“เริ่มได้”
หลิงหลงตวัดดาบ แสงสีฟ้าวาบพุ่งตรงไปที่กำแพง แล้วตึกทั้งหลังก็เริ่มสั่นสะเทือน รอยยาวบนกำแพงเริ่มแยกออก กว้างขึ้นๆ เลือดสีแดงคล้ำไหลทะลักออกมาส่งกลิ่นเหม็นเอียนคลุ้งไปทั่ว ใบหน้ามนุษย์ที่บิดเบี้ยวและส่งเสียงร้องโหยหวนมากมายหลายใบหน้าเบียดเสียดแย่งชิงกันออกมาจากรอยแยกนั้น แต่ทันทีที่กระทบถูกแนวเขตป้องกันที่ตรึงไว้ วิญญาณเหล่านั้นก็ดิ้นพล่านเหมือนแมลงวันที่ถูกไฟเผาปีก ทุรนทุรายไปมาเหมือนจะหนีตายยังไงยังงั้น
วิญญาณแค้นพวกนั้นพยายามจะพุ่งออกจากเขตเวทมนตร์คาถาหลายครั้งหลายครา ผลจากการถูกกระทบอย่างรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้จิ้งฉีเริ่มจะทนไม่ไหว เขตป้องกันด้านที่เขาควบคุมอยู่เริ่มอ่อนแรงลงแล้ว
“อยู่นิ่งๆ หน่อยซิ พวกแก คุณพี่ลู่กั้วชักรำคาญแล้วนะเฟ้ย”
ด้านลู่กั้ว มือหนึ่งก็ตรึงมนตร์รักษาแนวป้องกันเอาไว้ มือหนึ่งก็ปล่อยพลังวิเศษฟาดฟันไปยังเหล่าวิญญาณร้ายที่กระเสือกกระสนดิ้นรนออกนอกเขตให้ล้มลงจนขยับไม่ได้

ไอ้หมอนี่มันเจ๋งไม่เบาแฮะ ใช้มือเดียวยังปล่อยพลังได้สูงขนาดนั้น
หลิงหลงมองอย่างชื่นชม

“ตาประตู รูกุญแจ จงใช้แขนขาเป็นเครื่องพันธนาการ ปิดกั้นวิญญาณของพวกมันไว้”
จิ้งฉีท่องคาถา วิญญาณร้ายทั้งหลายถูกควบคุมอยู่ในตาข่ายเวทมนตร์ทันที
แค่วิชาเวทมนตร์เบื้องต้นก็ยังต้องท่องคาถาเสียนาน ดูท่าแล้วทางด้านเวทมนตร์นี่ไป๋จิ้งฉีคงจะอ่อนหัดกว่าลู่กั้วเยอะจริงๆ
“เฮ้ย ลุกขึ้นไม่ต้องแกล้งตาย” ลู่กั้วเตะเบาๆ ไปที่วิญญาณในตาข่ายเวทมนตร์ “ฉันแค่ลงมือเบาะๆ พวกแกไม่ตายหรอกหน่า ลุกขึ้นเร็ว”
“พวกเราตายไปตั้งนานแล้ว” วิญญาณที่คับแค้นตะโกนออกมาอย่างโกรธเคือง
“ตายไปแล้ว ทำไมต้องมาทำร้ายคนเป็นด้วย?” หลิงหลงถาม
วิญญาณอีกดวงหนึ่งตะคอกกลับมา “พวกมันสมควรตาย”
“ใช่ พวกมันทำให้เราต้องตาย พวกมันสมควรตาย”
“พวกคุณเป็นใครกันแน่?” ไป๋จิ้งฉีอยากจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง
“เดิมที่พวกเราเป็นคนงานของบริษัทก่อสร้างนี้ แต่ไม่พอใจค่าแรงต่ำๆ ที่ได้ มันไม่คุ้มกับงานหนักที่พวกเราต้องทำอยู่ทุกวัน เราก็เลยรวมตัวกันนัดหยุดงาน ไม่คิดไม่ฝันว่าพวกเดนมนุษย์พวกนั้นกลับฝังเราทั้งเป็น” วิญญาณดวงหนึ่งเล่าถึงอดีตอย่างคับแค้นใจ
“ไม่เพียงเท่านั้น พวกมันยังเอาศพของเราผสมคอนกรีตแล้วเอามาสร้างตึกหลังนี้ด้วย”
“แล้วครอบครัวของพวกคุณล่ะ? พวกเขาไม่รู้เลยรึไงว่าพวกคุณหายสาบสูญไป” จิ้งฉีคิ้วขมวด
“พวกเรามาจากต่างจังหวัด ทางบ้านยากจนไม่มีโทรศัพท์ ครอบครัวของพวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกเราทำงานอยู่ที่นี่ เพราะเหตุนี้แหละไอ้คนใจโฉดพวกนั้นก็เลยทำกับเราได้อย่างไม่มีกังวล...พวกมันฆ่าเราทั้งหมด พวกเราต้องสร้างความยุติธรรมให้กับตัวเอง ฆ่าคนเลวสังเวยฟ้าดิน” วิญญาณแค้นทุกตนต่างส่งเสียงโหยหวนขึ้นพร้อมกัน
“ความยุติธรรมงั้นเหรอ การที่พวกแกฆ่าเด็กนักเรียนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่นั่นมันยุติธรรมงั้นเหรอ ยังมีหน้ามาบอกว่านั่นก็เป็นการแทนคุณฟ้าดินอีกนะ?”
“นั่นพวกเราทำเพื่อตัวเอง เรารู้ว่าเด็กสาวนั่นมีสัมผัสพิเศษ”
“เราได้ยินเธอพูดว่าทุกครั้งที่ผ่านตึกหลังนี้ก็จะได้ยินเสียงร้องไห้โหยหวน เราต้องการพลังของเธอ”
“งั้นพวกแกก็คิดที่จะ...ฉัน...” จิ้งฉีกัดฟันพูด
“พลังนิดเดียวแค่นั้นไม่น่าจะทำให้พวกแกมีแรงแค้นขนาดนี้ได้” หลิงหลงสงสัย
“มีเทพคนหนึ่งให้พลังกับพวกเรา” นี่เองทำให้พวกเขาคิดว่าการแก้แค้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
“เป็นไปไม่ได้” จิ้งฉีไม่เชื่อ “ฝ่ายเทพไม่มีทางทำแบบนั้น”
“ไหนลองบอกมาซิ เทพที่มอบให้พลังกับพวกแกลักษณะเป็นยังไง”
“พวกเราไม่รู้ ตอนปรากฎตัว เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำสนิท เขาฉุดพวกเราออกมาจากความมืดมิด และมอบพลังสำหรับการแก้แค้นให้”
“ถึงจะไม่ได้เห็นหน้า แต่พวกเราก็เห็นว่าดวงตาเขาเป็นสีม่วง” วิญญาณอีกดวงหนึ่งเสริม
“ตาสีม่วงงั้นรึ? มีฝ่ายเทพแบบนั้นอยู่ด้วยเหรอ?” หลิงหลงพยายามคิดทบทวน ในความทรงจำของเขาไม่เคยเห็นใครมีดวงตาสีม่วงมาก่อน
“สีม่วง หรือว่าจะเป็นคนพวกนั้น?” จิ้งฉีตกใจ “พวกนั้นแน่ๆ”
เขาขบฟันแน่น มือกำหมัดไว้
ทันใดนั้น ลู่กั้วก็โพล่งคำถามออกมา “ทำไมพวกแกถึงอยากล้างแค้น?”
“ก็พวกเราที่ต้องมาตายก่อนเวลาอันควร เราคิดถึงครอบครัว พ่อ แม่ ลูกเมีย...” วิญญาณแค้นตนหนึ่งตอบด้วยเสียงสะอื้น
“แล้วทำไมไม่คิดถึงคนอื่นบ้าง คนที่พวกแกฆ่า แม้ว่าพวกเขาจะสมควรได้รับโทษ แต่พ่อแม่ ลูกเมีย ของเขาจะต้องเสียใจขนาดไหน”
“เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย? พวกมันหาเรื่องเองนี่”
“แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นหล่ะ ?” จิ้งฉีถามต่อ “เธอเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ พ่อแม่ของเธอจะรู้สึกยังไง? พวกแกเคยคิดบ้างไหม?” ไม่มีเสียงตอบจากวิญญาณแม้แต่น้อย
“จะยังไงพวกเราก็ทำไปแล้ว พวกเจ้าจะทำยังไงกับเราก็เชิญเลย พวกเรายินดีรับโทษ” วิญญาณแค้นเหล่านี้ก่อนตายเป็นกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ตรงไปตรงมา จนตายไปแล้วนิสัยใจคอก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
“ถ้างั้น” ลู่กั้วเอามือข้างหนึ่งวางลงเหนือตาข่ายขังวิญญาณ

“เหล่าสัมภเวสีทั้งหลาย วิญญาณที่ล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์จงกลับไปสู่ภพภูมิที่ควรจะไปในโลกหลังความตาย ความเคียดแค้น ความเกลียด ความหลงมัวเมา ความเสียใจทั้งหมดทั้งมวลจงสลายไปในแสงส่าวงอันเจิดจ้านี้”

แสงสีขาวสว่างจ้าออกมาจากฝ่ามือของลู่กั้ว ส่องให้เหล่าวิญญาณร้ายทั้งหลายค่อยๆ เลือนหายไป หายไป จนหมดสิ้น
“แค่ส่งไปยังโลกแห่งความตายงั้นเหรอ ทำไมนายไม่กำจัดพวกมันเสียหล่ะ?” หลิงหลงสงสัยในวิธีการของลู่กั้ว
“เป้าหมายขององค์กร ไม่ใช่การกำจัดวิญญาณร้าย” เด็กหนุ่มผมเงินตอบ
“งั้นเป้าหมายขององค์กรคืออะไรล่ะ?”
“ช่วยเหลือพวกเขา ช่วงที่มีชีวิตอยู่คงน่าเศร้าใจไม่น้อยตายไปถึงได้กลายเป็นวิญญาณแค้นแบบนี้ การล้างแค้นเป็นแค่เพียงความคิดชั่ววูบของพวกเขา ดังนั้นการกำจัดพวกเขาไปเฉยๆ จึงไม่ใช่เป้าหมายขององค์กร หากมีทางใดที่พอจะช่วยเหลือปลดปล่อยพวกเขาได้แล้วล่ะก็ พวกเราก็ควรจะพยายามทำ” นี่คือสิ่งที่อาจารย์ถังเฉาได้สอนเขามาตลอด
หลิงหลงมองเด็กหนุ่มคนนี้ผิดไปจริงๆ ทั้งที่ดูเหมือนจะโง่แต่เขาก็เป็นคนดีอย่างเหลือเชื่อ
“แต่ผมว่าบางคนอาจจะคิดไม่เหมือนกัน” ลู่กั้วสังเกตเห็นไป๋จิ้งฉียังยืนงงไม่หาย มือทั้งคู่ยังกุมหัวไว้แน่น เอียงคอเหล่ตามองมาทางเขา
“เห็นพลังแค่นี้ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกเลยเหรอ บอกแล้วไงภารกิจคราวนี้จะสำเร็จลงได้ก็ต้องพึ่งฝีมือลูกพี่คนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ฝีมือนายหรอก” เขายิ้มเยาะ
“จำได้ว่าก่อนหน้านี้มีใครบางคนเอาวมบัติทั้งตัวมาเป็นเดิมพันพนันว่าฆาตกรเป็นมนุษย์ไม่ใช่เหรอ? คงจะเป็นเพราะอยู่กับหมาป่านานจนความฉลาดและความจำถดถอยไปซะล่ะมั้ง” สติของจิ้งฉีกลับคืนมาแล้ว
โอ้! ! !
ลู่กั้วถูกจี้จุดตายเข้าให้แล้ว นี่ความวุ่นวายกำลังจะเริ่มขึ้นอีกแล้วหรือ หลิงหลงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน... แต่วิญญาณพวกนั้นพูดถึงเทพที่มีตาสีม่วง หรือจะเป็นคนพวกนั้น พวกที่ได้ชื่อว่าเป็น “ฝ่ายมาร”
“เอาเป็นว่านายก็วิ่งถอยหลังรอบวิทยาลัยร้อยรอบตามสัญญาก็แล้วกันนะ เจ้าหมาป่า”
“ได้ ฉันน่ะไม่เหมือนกะเทยอย่างนายหรอก ร้อยรอบแค่นี้เรื่องเล็ก”
เฮ้อ...แล้วก็ลงอีหรอบเดิม ปะทะฝีปากกันตามเคย
เลือดสีแดงคล้ำไหล
ทะลักออกมาส่งกลิ่นเหม็นคลุ้งไปทั่ว
ใบหน้ามนุษย์
ที่บิดเบี้ยวส่งเสียงร้องโหยหวน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น