วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คู่ปริศนา บทที่1 คู่หูคู่กัด



วิทยาลัยแห่งนี้ไม่มีคนธรรมดารู้จัก...
เพราะทุกๆ คนที่รู้จักล้วนแต่ “ไม่ธรรมดา
วิทยาลัยแห่งนี้ ไม่ได้สอนวิชาพละ....
เพราะทุกขณะเวลาต้อง “สู้
วิทยาลัยแห่งนี้ไม่ได้สอนวิทยาศาสตร์...
เพราะศาสตร์ที่ต้องศึกษาคือ “คาถาเวทมนตร์
วิทยาลัยแห่งนี้ ไม่มีการสอบ...
เพราะทุกๆ คำตอบ แลกมาด้วย “ชีวิต





บทที่ 1
คู่หูคู่กัด




ณ วิทยาลัย TMX, เมือง TMX
การประลองประจำปีเพื่อสรรหาผู้ร่วมองค์กรรุ่นใหม่กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือดและเข้มข้น ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างก็ทุ่มเทพละกำลังอย่างสุดความสามารถ หวังจะได้ติดอันดับต้นๆ ของการแข่งขัน
“กลุ่มที่สอง ลู่กั้วเป็นฝ่ายชนะ ขอเชิญกลุ่มที่สามลงสู่สนามค่ะ กลุ่มที่สี่เตรียมตัวได้เลยนะคะ” เสียงหวานใสของผู้ประกาศสาวดังก้องสนามประลอง ทำให้ถีเอ่อร้อนรนขึ้นมาทันที เขาจะมัวมาเอ้อระเหยชมกระประลองอยู่ไม่ได้ ผู้เข้าแข่งขันกลุ่มที่สี่ต้องเตรียมตัวลองสนามแล้ว แต่ว่าไป๋จิ้งฉีศิษย์ของเขาไม่รู้ว่าหายหัวไปไหน
“ไปไหนกันนะ หรือว่าเจ้าหมอนั่นมันจะหนีไปแล้วจริงๆ” ถีเอ่อหน้าเครียดไม่รู้จะทำยังไง ตัดสินใจใช้วิธีสุดท้าย ร่ายมนตร์ตามหาตัวศิษย์เจ้าปัญหา
บนต้นไม้ใหญ่ในมุมหนึ่งของวิทยาลัย ชายหนุ่มเสื้อขาวนอนเอนกายเอกเขนกอยู่บนกิ่งไม้ มือทั้งสองข้างวางก่ายหน้าผาก ปากคาบต้นหญ้า ตาเหม่อมองลอดผ่านสีเขียวของใบไม้ไปยังท้องฟ้าสีครามใสเบื้องบน ทันใดนั้นน้ำเสียงดุแต่ฟังดูอบอุ่นก็ดังกระทบหู
“ว่าแล้วต้องอยู่ที่นี่”

ฟิ้ววว...
ถีเอ่อกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้
“กลุ่มที่สามกำลังจะเริ่มแข่งแล้วนะ”
“ผมขอถอนตัว ความสามารถระดับผมลงแข่งไปก็มีแต่แพ้กับแพ้” จิ้งฉีหลับตาลงเอ่ยออกมาอย่างอ่อนใจ
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง” ถีเอ่อย่อตัวลง “พลังของเธอไม่ได้อ่อนด้อยกว่าคนอื่นเลยสักนิด เชื่อมั่นในตัวเองหน่อยสิ”
“ไม่ต้องปลอบใจผมหรอกครับ ผมรู้ตัวเองดีว่าผมมันกระจอก อาจารย์อุตส่าห์ทุ่มเทสอนผมมาตั้งห้าปี แต่แค่ระดับพื้นฐานผมก็ยังเอาตัวไม่รอดเลย”
“จิ้งฉีอย่าพูดโง่ๆ แบบนั้นสิ ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันรู้ดีว่าเธอพยายามฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ เธอมีความมุ่งมั่นมากกว่าคนอื่น เธออยากเก่ง อยากแข็งแกร่ง แล้วทำไมตอนนี้ถึงจะทิ้งมันไปเสียล่ะ” ผู้เป็นอาจารย์เอ่ยด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน
“ฉันไม่ได้อยากให้เธอชนะ แค่อยากจะให้ลองพยายามดูก็เท่านั้น ถ้าพยายามอย่างที่สุดแล้ว ถึงจะแพ้มันก็เป็นการแพ้อย่างสมศักดิ์ศรีไม่ใช่เหรอ”
“นี่ผมต้องลงแข่งจริงๆ งั้นเหรอ...” จิ้งฉียังคงอิดออด สายตาทอดยาวมองดูแสงอาทิตย์อันเจิดจ้าที่ส่องกระทบวัตถุต่างๆ เบื้องหน้ามันดูร้อนแรงราวกับจะแผดเผาตัวเขาให้มอดไหม้เป็นจุณได้อย่างนั้น
“เอาเถอะครับ ถ้าผมไม่ไป อาจารย์ก็คงต้องถูกท่าน ผอ.ต่อว่า...” จิ้งฉีลุกขึ้น ตบไล่ฝุ่นตามตัวออก “...ไม่แน่ คู่ประลองของผมอาจจะอ่อนซ้อมยิ่งกว่าก็ได้ใครจะรู้”
“มันต้องอย่างนี้สิ รีบไปกันเถอะ” ถีเอ่อวางมือลงบนไหล่ของลูกศิษย์ แล้วมุ่งหน้าสู่สนามประลองด้วยกัน



....................




ภายในสนามรูปครึ่งวงกลมแบบโรมัน ผู้แข่งขันสองคนเดินออกจากประตูด้านข้างเข้ามาคนละฝั่ง หยุดยืนอยู่กลางสนามแล้วทำความเคารพผู้อำนวยการที่นั่งเป็นประธานอยู่บนอัฒจันทร์ ก่อนที่เสียงหวานๆ ของผู้ประกาศสาวจะดังขึ้น
“กลุ่มที่สี่ เหอเสี่ยวหยูกับไป๋จิ้งฉี เริ่มได้ ณ บัดนี้”
เหอเสี่ยวหยูสาวน้อยในเสื้อสีแดงผูกเปียสองข้างมองมาที่จิ้งฉีด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด
“ฮะฮะ นี่ฉันโชคดีหรือว่านายโชคร้ายกันนะไป๋จิ้งฉี ฉันละไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมเขาถึงได้เอาคนอ่อนหัดอย่างนายมารวมกับพวกเรากันน้า อาจารย์ถีเอ่อก็แปลกคน ไม่รู้คิดยังไงถึงรับคนอย่างนายเข้ามาในวิทยาลัยเราได้”
หลายปีมาแล้วที่นักศึกษาทุกคนในวิทยาลัยแห่งนี้ได้ร่ำเรียนวิชาเวทมนตร์โดยไม่มีผู้ใดภายนอกล่วงรู้ แน่นอนตลอดหลายปีที่อยู่ในวิทยาลัยเดียวกัน เหอเสี่ยวหยูรู้ดีว่าจิ้งฉีคือนักศึกษาที่อ่อนด้อยที่สุดในหมู่พวกเขา
“เธอแน่ใจขนาดนั้นเชียวเหรอว่าจะเอาชนะฉันได้” ไป๋จิ้งฉีตอบโต้คำสบประมาทนั้นอย่างหน้าตาเฉย ขณะเดียวกันในสมองก็ประมวลผลอย่างรวดเร็ว เหอเสี่ยวหยูเป็นลูกศิษย์อาจารย์หยี่ข่า ฮาจารย์หยี่ข่าเชี่ยวชาญด้านพลังสายฟ้า ถ้าจะเอาชนะเธอก็ต้อง...

เฟี้ยว...
“หวา!!”
สายฟ้าฟาดเฉียดเท้าของจิ้งฉีไปอย่างหวุดหวิด นี่ถ้าเขาหลบไม่ทันล่ะก็คงจะกลายเป็นหมูย่างสายฟ้าไปแล้วแน่ๆ
“เอาเลยเสี่ยวหยู แบบนั้นแหละ ฆ่ามันให้ตายไปเลย...ฆ่ามัน!” เด็กหนุ่มผิวคล้ำผมสีเงินตะโกนเชียร์เหอเสี่ยวหยูเสียงดังลั่นมาจากบนอัฒจันทร์
“ไม่ต้องบอกก็รู้อยู่แล้วน่า” สาวน้อยในเสื้อแดงหันไปมองหน้าเจ้าของเสียงเชียร์แล้วค้อนขวับเข้าให้

อะไรกัน ทำอย่างกับฉันต้องแพ้แน่ๆ อย่างนั้นแหละ
จิ้งฉีจ้องไปบนอัฒจันทร์ ชักจะฉุนขึ้นมาแล้วสิ
“นี่ลู่กั้ว คนเราต้องมีน้ำใจนักกีฬา ตะโกนออกไปแบบนั้นมันเสียมารยาทรู้มั้ย ให้เกียรติผู้เข้าแข่งขันหน่อย อาจารย์ถีเอ่อก็นั่งอยู่ข้างๆ ไม่เห็นรึไง” ชายชราวัยกว่าเจ็ดสิบปี แต่งกายด้วยชุดจีนแบบสมัยราชวงศ์ถังกล่าวเตือน เขาคือศาสตราจารย์ถังเฉา อาจารย์ของเด็กหนุ่มผมสีเงินคนนี้
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่เด็กๆ ล้อกันเล่นเท่านั้นเอง” อาจารย์ถีเอ่อกล่าวปนหัวเราะ ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องแบบนี้มากนัก
“อะไรกัน ลูกศิษย์อาจารย์ถีเอ่อ คงไม่ได้ไร้ฝีมือขนาดนั้นมั้ง” ลู่กั้วพูดขึ้นขณะจ้องดูการประลองอย่างไม่วางตา ในสนามตอนนี้จิ้งฉีกำลังถูกเสี่ยวหยูรุกไล่อยู่ฝ่ายเดียว ไม่มีการโต้กลับเลยแม้แต่น้อย ศีรษะที่ปกคลุมไปด้วยเส้นผมสีเงินหันไปข้างๆ แล้วกระซิบ “อาจารย์ถีเอ่อไม่ได้สอนวิชาเจ๋งๆ ให้เขาเลยเหรอครับ”

โป๊ก!
“เจ็บนะอาจารย์” ลู่กั้วส่งเสียงร้องดัง หันไปอีกด้านมองหน้าอาจารย์ผู้อาวุโสอย่างตัดพ้อ มือขวาลูบหัวตัวเองที่ปวดตุบๆ จากมะเหงกชนิดรุนแรงที่ร่อนลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“ดูไปเงียบๆ อย่าเสียมารยาท” ชายชราสั่งเป็นครั้งสุดท้ายด้วยสายตาเฉียบขาด
ถีเอ่อนั่งลุ้นเอาใจช่วยลูกศิษย์ ที่ตอนนี้ได้แต่หลบหลีกสายฟ้าของเสี่ยวหยูไปมาเท่านั้น ในใจรู้สึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
พยายามเข้าจิ้งฉี

“เสียเวลาเรียนมาตั้งหลายปี กะอีแค่ศาสตร์ป้องกันตัวนายก็ไม่เป็นเลยงั้นเหรอ” เสี่ยวหยูวางมาดอย่างผู้ชนะ มองจิ้งฉีที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้นด้วยความสมเพช
“หึหึ ฉันยังไม่แพ้ซักหน่อย” จิ้งฉีพูดกับตัวเอง เขาคลำดูบาดแผลบนฝ่ามือ แล้วทันใดนั้น ก็กระโดดขึ้นไปลอยตัวอยู่ในอากาศพร้อมกับทำมือเป็นรูปวงกลม เล็งตรงไปยังเสี่ยวหยูที่ยืนอยู่เบื้องล่าง
“ระเบิดเพลิง!”
ดวงไฟที่ลุกโชนลูกหนึ่งพุ่งออกไปทันที
“อ๊ะ!”
เสี่ยวหยูตกใจ ไม่คิดว่าคนอย่างจิ้งฉีจะตอบโต้ได้เร็วขนาดนี้ เหลือระยะห่างอีกเพียงแค่ครึ่งเมตรลูกไฟก็จะพุ่งชนตัวเธอแล้ว แต่ทว่ามันกลับสลายตัวดับหายไปเสียก่อน
ผู้ชมทั้งสนามนิ่งอึ้งโดยทั่วกัน ระเบิดเพลิงเป็นวิชาขั้นพื้นฐานที่นักศึกษาทุกคนต้องเรียนให้เป็นตั้งแต่เริ่มต้น แต่จิ้งฉีกลับทำได้ไม่สำเร็จแล้วใครจะเชื่อกันเล่าว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ถีเอ่อ อาจารย์ที่เก่งที่สุดในวิทยาลัยแห่งนี้
“ฮะๆ ระเบิดเพลิงง่ายๆ ก็ยังใช้ไม่เป็น” เสี่ยวหยูมั่นใจแล้วว่าเธอจะต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน เงยหน้าขึ้นไปหวังจะยิ้มเยาะผู้พ่ายให้สะใจ แต่จิ้งฉีหายไปแล้ว เขาควรจะลอยอยู่บนอากาศ
แต่ว่า...เสียงท่องมนตร์ดังมาจากข้างหลัง

“เจ้าแห่งน้ำจงฟังคำข้า สำแดงเดชออกมาเดี๋ยวนี้ วารีพิฆาต!”
ซูม!
ยังไม่ทันได้กะพริบตา น้ำจำนวนมากก็พุ่งเข้าใส่เหอเสี่ยวหยูอย่างฉับพลัน แรงดันของน้ำกระแทกตัวเธอกระเด็นไปล้มกองอยู่กับพื้น
ผู้ชมบนอัฒจันทร์ต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่พลิกผันอย่างคาดไม่ถึงนี้ แม้เวทมนตร์ของไป๋จิ้งฉีจะอ่อนด้อย แต่ความเร็วของเขากลับน่าทึ่งมาก อาจารย์ถังเฉาที่ยังตะลึงไม่หายหันไปถามถีเอ่อ
“ถีเอ่อ คุณอย่าบอกนะว่ายังหาวิธีให้เขาปล่อยพลังเวทไม่ได้”
“ใช่แล้วครับ ผมได้แต่ฝึกให้เขาพัฒนาความเร็วและกำลังกาย ส่วนพลังเวท...จนปัญญาจริงๆ ครับ” อาจารย์ถีเอ่อยิ้มขื่นๆ
“แม้แต่อาจารย์ถีเอ่อยังหมดหนทาง พลังต้านในตัวเขาคงจะแกร่งกล้ามากทีเดียว”ผู้เฒ่าถังเฉาขมวดคิ้ว
“ครับ แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยล่ะ”
“แกร่งอะไรกันโง่ซะมากกว่าผมว่า ดูสิแค่จะใช้พลังน้ำยังต้องท่องคาถาเลย หมอนั่นน่ะไม่เหมาะจะเรียนเวทมนตร์หรอกเชื่อผม” ลู่กั้วกระวนกระวายใจ เป็นห่วงเสี่ยวหยูที่บาดเจ็บ จึงพูดว่าจิ้งฉีอย่างไม่เกรงใจ

โป๊ก!
มะเหงกชนิดเดิมซ้ำตรงที่เก่าอีกครั้ง อาจารย์ถังเฉาตวาดขึ้นอย่างเหลืออด “คนที่เอาชนะด้วยกำลังอย่างเธอ ไม่มีสิทธิ์ไปว่าคนอื่นเขา!”
“ฮ่าฮ่า! อาจารย์ถังไม่ต้องจริงจังหรอกครับ เรื่องของเด็กๆ น่ะ” ถีเอ่อรีบตัดบท
“เด็กที่ไหนกัน อายุตั้ง 18 เข้าไปแล้ว ยังทำตัวเหมือนตอนอยู่กับหมาป่าอย่างนั้น” ปากก็ว่าไปเช่นนั้นแต่ในใจก็ไม่ได้คิดจะตำหนิอะไรลู่กั้วอีก
ในสนามประลอง เหอเสี่ยวหยูลุกขึ้นมาอีกครั้ง เนื้อตัวเปียกโชกพื้นก็เจิ่งนองไปด้วยน้ำ เธอจ้องมองจิ้งฉีหน้าตาถมึงทึง ทั้งโกรธแค้นทั้งอับอาย
“คราวนี้ฉันจะทำให้นายลุกไม่ขึ้นอีกเลย ดูซิว่าจะโต้ตอบอีกมั้ย”
“ใช่มันต้องอย่างนั้น เสี่ยวหยู สู้ๆ” ลู่กั้วตะโกนลงมาจากบนอัฒจันทร์
“หนวกหูจริง” ผู้เข้าประลองทั้งสองคนจ้องไปที่ลู่กั้วพร้อมกัน
“ไป๋จิ้งฉี นายจะได้รู้สำนึกเสียที” เสี่ยวหยูค่อยๆ เดินไปกลางสนาม
“เตรียมตัวกลายเป็นหมูย่างซะเถอะ” เธอชูมือชี้นิ้วไปบนฟ้า

“ราชสีห์ที่ล่องหนอยู่บนฟากฟ้า จงฟังคำข้า ผ่าลงมาบัดเดี๋ยวนี้ อสุนีบาต!”
ครืน... เปรี้ยง! เปรี้ยง!
สายฟ้าหลายสายฟาดตรงเข้าใส่จิ้งฉี
เป็นไปตามคาด เด็กหนุ่มกระโดดหลบไปมาอย่างว่องไว ก่อนจะขยับมาข้างหน้า ทันใดนั้นเองเท้าข้างหนึ่งของเขาก็ลื่นตกลงไปในแอ่งน้ำที่เจิ่งนองอยู่ข้างสนาม เสี่ยงหยูมองไป๋จิ้งฉีที่ล้มลงอยู่แทบเท้าอย่างยิ้มย่อง
“วางใจได้ฉันไม่เอาชีวิตนายหรอกแต่คงต้อง...ลาก่อน อสุนีบาต!”
“หึหึ...”
ในตาของจิ้งฉีไม่มีแววตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ตรงข้าม เขากำลังหัวเราะ
เพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่สายฟ้าจะผ่าโดนร่างของเขา จิ้งฉีก็เหมือนเป็นกระต่ายน้อยเจ้าเล่ห์ กระโดดออกจากแอ่งน้ำทันควัน
อะไรกัน... เสี่ยวหยูนิ่งอึ้ง

เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดลงไปตรงแอ่งน้ำที่ไร้เงาของจิ้งฉี หยดน้ำกระเซ็นซ่านกระจายเป็นสาย
“โอ๊ย...”
เสียงร้องโหยหวนดังมาจากร่างกายที่เปียกปอนของเสี่ยวหยูเธอยืนอยู่ในแอ่งน้ำ จึงถูกกระแสไฟหลายหมื่นโวลต์วิ่งเข้าช็อตไปทั่วร่าง
“ลืมบอกไป น้ำเป็นตัวนำไฟฟ้าชั้นดีเลยล่ะ” ตอนนี้ทั้งเสื้อผ้า ผิวหนังและผมเปียสองข้างของสาวน้อยเหอเสี่ยวหยูล้วนไหม้เกรียมเป็นสีดำไปหมด ตาทั้งคู่ของเธอดูแล้วเหมือนยากันยุงขดกลมๆ สองอันติดกันไม่มีผิด ร่างที่กลายเป็นตอตะโกนั้นล้มลงไปในแอ่งน้ำ ไป๋จิ้งฉียืนมองจากอีกด้านหนึ่งของสนามอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วย
“กลุ่มที่สี่ ไป๋จิ้งฉีเป็นฝ่ายชนะ” ผู้ประกาศที่เพิ่งจะฟื้นจากอาการตกตะลึงรีบประกาศผล
“ไอ้บ้าเอ๊ย!” ลู่กั้วรีบกระโดดลงจากอัฒจันทร์ แทบจะกระโจนเข้าหาเหอเสี่ยวหยูที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นสนาม เขาเขย่าตัวเธอไม่หยุดหวังจะให้ฟื้นคืนสติ แต่ไม่เป็นผล หัวใจของลู่กั้วเจ็บปวดราวกับถูกทิ่มแทงด้วยมีดนับสิบเล่ม กระชับอ้อมกอดแนบร่างของเหอเสี่ยวหยูเข้ากับอกเธอจะต้องถูกล้างสมองลบความทรงจำทั้งหมดแล้วถูกรีไทร์ออกไปจากวิทยาลัย จากนี้ไปทั้งคู่จะไม่ได้พบหน้ากันอีกแล้ว...
“อาจารย์ถีเอ่อ” จิ้งฉีเดินเข้าไปหาอาจารย์
“ชนะอย่างงดงาม” ถีเอ่อกล่าวชมลูกศิษย์พร้อมรอยยิ้ม
“ครับ” คนยิ้มยากอย่างจิ้งฉีเองก็ยิ้มออกมาได้แล้วเช่นกัน

ดีจัง ฉันชนะได้แล้ว...



....................




“ขอแสดงความยินดีกับผู้ชนะทุกคน พวกเธอเก่งกันมากที่เอาชนะคู่แข่งมาได้ แต่ว่านี่ยังไม่ใช่บทสรุปของการพิสูจน์ความสามารถ พวกเธอยังต้องผ่านการทดสอบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขอบอกไว้ก่อนเลยว่าคราวนี้ไม่ใช่การต่อกรกับปีศาจธรรมดาๆ หรือวิญญาณกระจอกทั่วไป แต่มันเป็นภารกิจที่จริงจัง
“พวกเธอต้องใช้วิชาความรู้ที่สะสมมาหลายปีช่วยคลี่คลายคดี นี่เป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายก่อนจะบรรจุพวกเธอเข้าร่วมองค์กรของเราและหนทางเดียวที่จะผ่านบททดสอบครั้งนี้ได้ก็คือ ปฎิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วง
“ถ้าหากภารกิจล้มเหลว พวกเธอก็จะพลาดโอกาสที่จะได้เข้าร่วมองค์กรและถูกถอนสิทธิ์ในการเรียนที่วิทยาลัยเช่นเดียวกับพวกที่ถูกรีไทร์ไปก่อนหน้านี้ ต้องสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับที่นี่กลายเป็นคนธรรมดา กลับไปอยู่ในสังคมของคนธรรมดาเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป ดังนั้นหากพวกเธอยังคิดอยากจะเป็นผู้มีพลังพิเศษกันอยู่ล่ะก็ ภารกิจครั้งนี้ต้องสำเร็จเท่านั้น จะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”
ผู้อำนวยการที่นั่งหลบอยู่หลังม่าน มองดูหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคนแล้วพูดต่อ “เพื่อความเป็นธรรม เราได้เอาคะแนนจากรอบแรกมาจัดกลุ่ม แบ่งออกเป็นทีมละสองคน”
เขาส่งสัญญาณให้ผู้ช่วยเริ่มอ่านรายชื่อแต่ละทีม
“ทีมที่หนึ่ง ลู่กั้วกับไป๋จิ้งฉี”
“หา” ลู่กั้วแสดงอาการไม่พอใจออกมาทันที ชี้นิ้วไปที่จิ้งฉีแล้วโวยวายขึ้น “ทำไมคนที่ได้ที่หนึ่งอย่างผม ต้องจับคู่กับกะเทยอันดับบ๊วยด้วย”
“นายว่าใครเป็นกะเทย” จิ้งฉีจ้องลู่กั้วด้วยสายตาที่แทบจะฆ่าคนได้ ไอ้หมอนี่เองที่ตะโกนเจี้ยวจ๊าวอยู่บนอัฒจันทร์เมื่อวาน ช่างไม่มีสมบัติผู้ดีเอาเสียเลย
“ยังจะมีหน้ามาถามอีก ก็นายนั่นแหละ นี่ถ้าไม่ฟลุคล่ะก็ ความฉลาดนิดๆ หน่อยๆ ที่นายมีอยู่ ไม่มีทางทำให้นายเอาชนะเสี่ยวหยูมายืนอยู่ตรงนี้ได้หรอก” ลู่กั้วตอกกลับอย่างไม่ไว้หน้า“คนชนะควรจะเป็นเสี่ยวหยูมากกว่า ไม่ใช่นาย!”
“ถ้าไม่พอใจ นายจะมาสู้กับฉันสักตั้งก็ยังได้นะ”
ทั้งวิทยาลัยไม่มีใครไม่รู้ว่าลู่กั้วชอบเสี่ยวหยู ตอนนี้เสี่ยวหยูถูกรีไทร์กลายเป็นคนธรรมดาไปเสียแล้ว ความสัมพันธ์ของลู่กั้วกับเธอจึงไม่มีทางเป็นไปได้อีก ก็น่าเห็นใจอยู่หรอกที่เขาจะระบายความโกรธแค้นทั้งหมดลงที่จิ้งฉี
“ได้ ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าไอ้กระจอกอย่างนายจะเอาปัญญาที่ไหนมาชนะฉัน” ว่าแล้วลู่กั้วก็ตั้งท่าเตรียมพร้อมทันที
“ลู่กั้ว ไป๋จิ้งฉี ตั้งแต่นี้ไปพวกเธอจะต้องเป็นเพื่อนร่วมทีมกันแล้วนะ จะมาทะเลาะกันต่อหน้าท่าน ผอ.ได้ยังไง” คุณผู้ช่วยกล่าวตักเตือน
“จิ้งฉี พลังเวทของเธอก็อ่อนด้อยกว่าคนอื่นเขาจริงๆ นั่นแหละ ยังไงเสีย จากนี้ไปต้องพยายามฝึกให้ดีล่ะ”
“ส่วนลู่กั้ว ต่อไปคู่ต่อสู้ที่พวกเธอต้องพบเจออาจจะแข็งแกร่งเกินกว่าพวกเธอมาก ดังนั้นเรื่องไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจึงจำเป็นอย่างมาก ที่เราจัดให้พวกเธอสองคนอยู่ทีมเดียวกันก็หวังจะให้ช่วยเหลือกัน”
“เฮอะ เห็นชัดๆ ว่าเพราะอาจารย์ถีเอ่อเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของเจ้ากะเทยนี่แท้ๆ ไอ้ที่โหล่นี่ก็เลยได้มายืนข้างผม ทุเรศจริงๆ” ลู่กั้วดูถูก
“แหงล่ะ ฉันมันไม่เหมือนพวกที่โตมาในฝูงหมาป่านี่ คนที่จะทำอะไรก็ไม่เคยคิดไม่เคยใช้สมองอย่างนาย ระวังเถอะจะโดนปีศาจชั้นต่ำเคี้ยวจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกเข้าสักวัน” จิ้งฉีเบ้ปากเย้ย
“ไหนลองพูดใหม่ซิ” สายตาของลู่กั้วเต็มไปด้วยแรงอาฆาต
“นายก็ลองพูดอีกทีสิ” จิ้งฉีจ้องกลับ ไม่ยอมอ่อนข้อ
แรงโต้ตอบด้วยสายตาของทั้งสองคนเหมือนสายฟ้าฟาดฟันกันไปมา ความร้อนแรงแผ่กระจายรอบทิศทาง เพื่อนๆ รอบข้างเหงื่อแตกกันเป็นแถว

เจ้าสองคนนี้น่าสนใจดีแฮะ


ผู้อำนวยการมองดูคู่กัดทั้งสองคน แล้วแอบยิ้มอยู่คนเดียว






เธอมีความมุ่งมั่นมากกว่าคนอื่น
เธออยากเก่ง อยากแข็งแกร่ง
แล้วทำไมตอนนี้
ถึงจะทิ้งมันไปเสียล่ะ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น