บทที่ 2
คดีสลักหน้า
คดีสลักหน้า
เวลาต้องนั่งรถไปไหนมาไหนฉันจะเอาเครื่องเล่นซีดีแบบพกพาติดตัวไปฟังเพลงด้วยเสมอ แต่ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่ผ่านตึกหลังนั้นจะต้องมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นทุกที...
ที่นี่เป็นอพาร์ตเมนท์แบบครึ่งวงกลมวีเขียวสูง 10 ชั้น แต่ละชั้นมีผู้อยู่อาศัย 7 ครอบครัว หากมองจากสายตาของคนทั่วไป ที่นี่ก็ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างจากอพาร์ตเมนท์อื่นๆ เลย การที่ไม่มีสวนหย่อม อาจจะทำให้ตัวอาคารดูโดดเดี่ยวอยู่บ้างแต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในเมืองที่ราคาที่ดินสูงลิบขนาดนี้ คงไม่มีใครยอมเสียพื้นที่ให้กับต้นไม้ที่ไม่มีกำไรงอกเงยขึ้นมาหรอก
ทว่าในสายตาของลู่กั้วและจิ้งฉี พวกเขาเห็นมากกว่านั้นอพาร์ตเมนท์หลังนี้มีรังสีพยาบาทกระจายออกมาอย่างไม่ขาดสาย แม้จะเป็นตอนเที่ยงวันแดดร้อนเปรี้ยงอย่างนี้แต่พวกเขากลับรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก
“เฮ้อ...ไม่เป็นมงคลเล้ย” ลู่กั้วลูบคางยืนดูตึกสีเขียวเบื้องหน้า แล้วหันมามองจิ้งฉีพร้อมกับสั่นหัว “ไม่เป็นมงคลเอาซะเลย”
“เห็นหน้านายนี่แหละที่ไม่เป็นมงคล” จิ้งฉีเข้าใจว่าเพื่อนร่วมทีมหลอกด่าตัวเองจึงตอกกลับไป
“ต้องมาทนอยู่ทีมเดียวกับกะเทยอย่างนาย ฉันคงดีใจแย่ล่ะ”ลู่กั้วไม่ยอมแพ้ จ้องหน้าจิ้งฉีอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
สิ้นเสียงปะทะคารม ทั้งสองก็หันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับตึกสีเขียวอีกครั้ง
เจ้าลูกหมาป่าพูดไม่ผิดสักคำ อพาร์ตเมนท์หลังนี้ดู...ไม่เป็นมงคลจริงๆ นั่นแหละ ไป๋จิ้งฉีเงยหน้ามองอาคารหรูสิบชั้นคิดอยู่ในใจ
สองหนุ่มใจเต้นตึกตัก แต่ก็ยังสงวนท่าทีวางมาดอย่างผู้กล้าเดินดุ่มเข้าไปข้างใน
“สวัสดีครับ” จิ้งฉีเคาะประตูบานหนึ่งบนชั้นสามของตึก “เอ่อ...ได้ข่าวว่าเมื่อเร็วๆ นี้ที่นี่มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น อยากจะถามว่า...”
ปัง!
ประตูกระแทกปิดอย่างแรง
ลู่กั้วมองจิ้งฉีด้วยสายตาดูถูกดูแคลน “นายนี่ไม่ไหวเล้ย”
“เก่งนักก็ลองดูเองสิ” จิ้งฉีจ้องตอบ
“คอยดูฝีมือลูกพี่ให้เต็มตาล่ะ” เจ้าหนุ่มผมเงินดึงแขนเสื้อขึ้น
“เปิดประตู!”
“ใครน่ะ?” หญิงวัยกลางคนรีบเปิดประตูออกมา มองชายเบื้องหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วละล่ะละลักพูด “โทษทีเถอะ บ้านฉันไม่มีรายได้อะไรหรอกคุณน้า”
“ใครคุณน้า? ฉันเพิ่งจะ 18 เองนะ”ลู่กั้วเดือดดาล
“แล้วอุตริย้อมผมขาวทำไม คิดว่าหน้าตาแบบนี้ยังแก่ไม่พอรึไง บ้าเอ๊ย” หล่อนจ้องลู่กั้วอย่างมีน้ำโหแล้วกระแทกประตูใส่หน้า ปัง!
“ย้อมเยิ้มอะไรกัน ฉันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วเฟ้ย” ลู่กั้วเลือดขึ้นหน้า โมโหจนอกแทบจะระเบิด ไม่อยากจะยอมรับความจริงว่าต้องมาจบเห่เหมือนลำดับบ๊วยที่ยืนหัวเราะอยู่ข้างๆ
“รู้มั้ย นายน่ะปกติก็เป็นนกพิราบที่ชอบขี้รดรูปแกะสลักแต่บางทีก็กลายเป็นหินสลักดวงซวยนั่นเสียเอง ฮ่าๆ”
“ฉันเคยไปขี้บนหินแกะสลักนั่นเมื่อไหร่ หา” ลู่กั้วฉุนขาดกระชากคอเสื้อจิ้งฉีอย่างแรง
“แค่เปรียบเทียบ เฮ้อ...คนที่โตมาในฝูงหมาป่านี่ช่างไม่ค่อยมีสมองเอาซะเลยแฮะ”
“ไป๋จิ้งฉี”
“โอ๊ย!”
เสียงร้องโหยหวนดังมาจากชั้นบน
จิ้งฉีและลู่กั้วชะงัก หยุดการทะเลาะเบาะแว้ง แล้วรีบวิ่งขึ้นบันไดไปด้วยกันอย่างไม่ต้องนัดหมาย ทันทีที่เหยียบชั้นสี่ ทั้งสองก็พบกับหยาดเลือดสดๆ เจิ่งนองอยู่บนพื้น ค่อยๆ คืบคลานไหลลงมาตามขั้นบันไดราวกับมีชีวิต กลิ่นคาวเลือดคลุ้งทิ่มแทงเข้าไปถึงเส้นประสาท บนบันไดมีชายคนหนึ่งนั่งเหยียดยาวชักกระตุกอยู่
เขาคนนั้นเอียงศีรษะพิงกำแพงไว้ เลือดไหลออกจากตาที่เหลือกขึ้นย้อยเป็นทางอาบสองแก้มที่ขาวซีด ชีพจรหลายจุดบนร่างกายถูกตัดขาด เลือดพุ่งทะลักออกมาราวกับน้ำพุ กลางหน้าผากถูกกรีดถลกเปิดลอกออก สูงขึ้นไปมีรอยกรีดเป็นตัวอักษรว่า ‘หลี่’
“ภูตสุนัข”
ลู่กั้วเรียกภูตสุนัขออกมา “คนนี้เพิ่งตาย” มันหอนรับครั้งหนึ่งแล้ววิ่งออกไป แค่ไม่กี่ก้าวก็หยุดเท้า เริ่มดมฟุดฟิดที่กำแพง
“ทำอะไรของแก?” ลู่กั้วงงกับอาการของหมาล่องหนตัวนี้
“บรู๋ววว”
มันยืนหอนอยู่หน้ากำแพง ขนตั้งชันไปทั้งตัว
“ในนี่งั้นเหรอ” จิ้งฉีคลำไปบนกำแพง หลับตาลงแล้วลืมขึ้นทันที เหงื่อเม็ดโตเท่าเมล็ดถั่วเหลืองผุดซึมบนหน้าผากไหลลงขมับย้อยมาที่คาง
“ฮีโธ่ ไม่ไหวก็บอกดิ” ลู่กั้วมองเพื่อนร่วมงานอย่างอิดหนาระอาใจ แล้ววางมือลงบนกำแพงบ้าง หลับตาลง “ไม่เห็นจะมีอะไร ทำเป็นอ้ำอึ้งไปได้”
“ไม่มีอะไรงั้นรึ?” จิ้งฉีไม่กล้าจะยืนยันในสิ่งที่ตนเองสัมผัสได้
“เอ๊ะ!” ตำรวจหลายคนวิ่งขึ้นมา “อีกแล้วเหรอ...” พวกเขาตาค้างมองดูสภาพผู้ตาย ปากเริ่มสั่นอย่างไม่รู้ตัว
“รายที่สี่แล้วนะเนี่ย”
“ตึกนี้มันถูกสาปรึไงกัน?”
“รีบทำงานเร็วเข้า” ชายวัยกลางคนตะโกนสั่ง ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่
“ขอโทษครับ คุณเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ใช่มั้ยครับ?” จิ้งฉีเดินเข้าไปหา
ชายคนนั้นหันมามองเด็กหนุ่มสองคน แล้วถามกลับ “พวกเธอเป็นผู้เห็นเหตุการณ์งั้นรึ?”
จิ้งฉีและลู่กั้วแสดงตราสัญลักษณ์ของ TMX
“อ้อ คนที่เบื้องบนส่งมานี่เอง ทำไมถึงได้เด็กอย่างนี้ล่ะ? เด็กมากเลยนะเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกคุณจะเป็นหน่วยพิเศษจริงๆ”
ตลอดอายุการทำงานเป็นตำรวจของเขาเคยได้ยินเรื่ององค์กรพิเศษนี้มาก็บ่อนครั้ง แต่ไม่เคยจะมีโอกาสได้ร่วมงานกันเลย นี่จึงเป็นการพบปะครั้งแรกระหว่างนายตำรวจอาวุโสกับหน่วยปฎิบัติการพิเศษ
“ใช่แล้วครับ พวกเราคือหน่วยปฎิบัติการพิเศษ” จิ้งฉีกล่าวแล้วมองไปยังศพผู้เคราะห์ร้าย
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน ฉันเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ พวกเธอเรียกฉันว่าลุงฟงก็แล้วกันนะ” หลี่ฟงยื่นมือไปสัมผัสมือพวกเขา
“ผมลู่กั้ว ส่วนคนนี้จะชื่ออะไรคุณลุงไม่ต้องรู้ก็ได้ เพราะสุดท้ายก็คงจะต้องพึ่งพาผมเพียงคนเดียวอยู่ดี” ลู่กั้วรีบบอกอย่างไม่รีรอ
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมไป๋จิ้งฉี” จิ้งฉีเองก็รีบจับมือหลี่ฟงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ไป๋จิ้งฉี แซ่นี้เหมือนเคยได้ยิน หรือว่าจะเป็น...
ทันใดนั้นหลี่ฟงก็นึกถึงคดีหนึ่งเมื่อห้าปีก่อน มันทำให้เขาตกใจอยู่ลึกๆ
“คิดอะไรอยู่เนี่ย” ลู่กั้วเห็นลุงฟงมองจิ้งฉีไม่วางตา ก็รู้สึกขัดใจจึงตะโกนเสียงดังลั่น “ก็บอกแล้วไงว่าสุดท้ายก็ต้องอาศัยผมคนเดียว ไอ้หมอนี่แม้แต่เวทมนตร์ขั้นพื้นฐานยังต้องท่องคาถาถึงจะใช้ได้ แต่กลับมาเอาชนะเสี่ยวหยูของฉัน คอยดูเถอะฉันจะพิสูจน์ให้แกได้เห็น ว่าจริงๆ แล้วแกไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมองค์กรแทนที่เสี่ยวหยู คอยดู!”
“ก็แล้วแต่นายละกัน” จิ้งฉีไม่สนใจ หันกลับไปที่หลี่ฟงแล้วพูดว่า “ผมอยากจะขอดูข้อมูลพิเศษสักหน่อย”
“ข้อมูลพิเศษ?”
หลี่ฟงนิ่งคิดสักพักแล้วก็เข้าใจ “แฟ้มคดีประกอบคำร้องขอให้หน่วยพิเศษมาช่วยรับช่วงคดีนี้ต่อใช่มั้ย?”
แฟ้มคดีประกอบคำร้องขอคือข้อมูลที่ยืนยันว่าคดีนี้เกินความสามารถของตำรวจธรรมดาจะคลี่คลายได้ เพื่อเสนอให้เบื้องบนอนุมัติส่งหน่วยพิเศษมาช่วย
“ได้น่ะได้ แต่ว่า...” หลี่ฟงสีหน้าอึดอัดใจเล็กน้อย “พวกเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะอนุมัติหน่วยพิเศษมาช่วยเสียทีก็เลยเอาข้อมูลพวกนั้นให้อีกคนไปแล้ว”
“อีกคน?” ลู่กั้วตะโกนเสียงดังไม่พอใจอีกตามเคย “นี่คุณไมเชื่อใจพวกเรางั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หลี่ฟงคลำท้ายทอยพูดไม่ถูก “พวกเธอก็เห็นนี่ มันรายที่สี่เข้าไปแล้ว และก็ไม่รู้ว่าจะตายเพิ่มอีกกี่คน...เราต้องรีบป้องกันไม่ให้มีเหยื่อรายต่อๆ ไป ก็เหมือนตัดไฟแต่ต้นลมนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอกหน่า สักพักเขาก็คงมาแล้วล่ะ”
“จริงสิ...” จิ้งฉีพูดขึ้นมา “คดีนี้ไม่ธรรมดา คุณคงไม่ได้ให้ข้อมูลกับคนธรรมดาไปหรอกนะ”
ประตูลิฟต์ค่อยๆ เปิดออก เงาคนๆ หนึ่งเยื้องย่างออกมาอย่างเชื่องช้า
“ทำไมมาซะป่านนี้ ช้าไปตั้ง 57 นาที 18 วินาที” หลี่ฟงน้ำเสียงขุ่นเคือง
“อ้าว ลุงฟง ไหงอยู่ๆ ถึงได้กลายเป็นคนจู้จี้ไปได้เนี่ย?” คนๆ นั้นชำเลืองมองมาทางนายตำรวจ
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หลี่ฟงรีบชี้ไปที่จิ้งฉีกับลู่กั้วที่ยืนถกเถียงกันอยู่ไม่ไกล
“สองคนนั่น เห็นเด็กอย่างนั้นดูถูกไม่ได้นะ พวกเขาเป็นหน่วยพิเศษที่เราขอให้มาช่วยยังไงล่ะ แล้วนี่เอาแฟ้มคดีมาด้วยรึเปล่า?”
“อ้อ” คนๆ นั้นมองไปที่เด็กหนุ่มทั้งสอง “เด็กขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
“ถ้าหากเป็นวิญญาณแค้น จะฆ่าคนติดต่อกันถึงสี่คนเชียวเหรอเป็นไปไม่ได้หรอก” ลู่กั้วว่า
“นายคิดว่าเป็นฝีมือมนุษย์งั้นสิ” จิ้งฉียักคิ้วก่อนพูดต่อ “เรื่องโหดๆ โรคจิตแบบนี้นอกจากนาย ฉันก็ไม่เห็นจะมีใครชอบ” พูดเสร็จก็อดที่จะนึกถึงสัมผัสน่ากลัวเมื่อกี้ไม่ได้
สิ่งที่อยู่ในกำแพงนั่น...ทำไมลู่กั้วถึงไม่รู้สึกล่ะหรือว่าสัมผัสของเราจะผิดพลาด
“นายว่าใครโรคจิต” ลู่กั้วแยกเขี้ยวใส่ “หาเรื่องอยากโดนต่อยใช่มั้ย?”
“ต่อย? พวกหยาบกระด้างไม่รู้จักใช่หัวคิดอย่างนายก็ดีแต่ใช้กำลังแก้ปัญหา สงสารอาจารย์ถังจริงๆ คงจะเหนื่อยน่าดูที่ต้องมาสอนคนดิบเถื่อนเหมือนหมาป่าอย่างนี้” จิ้งฉีส่งยิ้มถากถางให้
“อย่ามาดูถูกสัญชาตญาณของหมาป่านะเฟ้ย” ลู่กั้ววางท่าเหนือกว่า
เด็กกะโปโลชัดๆ เอาแต่กัดกันอยู่ได้ ดูยังไงก็ไม่เหมือนหน่วยพิเศษ
หลี่ฟงกับชายหนุ่มผู้ยังไม่ออกนามเริ่มมีสีหน้าเครียด
“เอ่อ...ทั้งสองคน”
นายตำรวจเรียกเด็กหนุ่มที่ยังคงทะเลาะกันไม่เลิก “คนนี้คือ...”
“ไม่ต้องๆ ลุงฟง ผมแนะนำตัวเองได้ อะแฮ่มๆ...ผมนั้นหรือคือ...หนุ่มรูปงามพราวเสน่ห์ มาดก็เท่อย่างกับหงส์ สาวๆ เห็นเป็นต้องหลง อยากตกลงปลงใจเป็นคู่ครอง ความรู้หรือก็มากมี เรื่องศักดิ์ศรีไม่เป็นสอง คู่แข่งไม่ต้องมอง หาคนรองยังยากเลย ผู้คนนับหน้าถือตา พูดจาคำไหนคำนั้น มองการณ์ไกลใครก็ตามไม่ทัน ได้แต่พากันอิจฉาตาร้อนฉ่า ชายทั่วหล้าล้วนริษยา แม้เทวดายังต้องยอมแพ้ ถึงซี้แหงแก๋ไปเป็นพันปี ชื่อของฉันคนนี้ก็จะถูกกล่าวขาน เป็นบุคคลผู้เพอร์เฟคท์ตลอดกาล ‘หลิงหลง’ ผู้หล่อเหลาและชาญฉลาดคือฉันเอง...”
สามคนที่ได้ฟังต่างพากันอึ้งจนเหงื่อตก
หมอนี่ท่าทางจะไม่เต็มบาท?
จิ้งฉีกับลู่กั้วคิดในใจ
หลี่ฟงรู้ว่าคงไม่ต้องเพิ่มเติมอะไรแล้วกับประวัติของคนๆ นี้
“หลิงหลง เรื่องนี้คุณก็ปรึกษากับพวกเขาไปแล้วกันนะ จัดการได้เต็มที่เลย”
“ได้ครับลุง เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง” หลิงหลงยกมือทำท่าโอเครับทราบ
“คุณเป็นตำรวจงั้นเหรอ” ลู่กั้วมองชายตรงหน้าอย่างพิจารณา
“เปล่าๆ ฉันเป็นนักสืบจาก TMX แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นคนของหน่วยสืบสวนก็คงไม่ผิดมั้ง” หลิงหลงสังเกตเห็นเด็กหนุ่มน้อยสองคนนี้วนไปวนมาอยู่ใกล้ๆ เขตเส้นสีน้ำเงินแสดงพื้นที่เกิดเหตุ เขารู้สึกว่าคนที่ชื่อจิ้งฉี...
“พวกเธอมีพลังพิเศษใช่มั้ย?”
“โห นี่คุณเห็นคลื่นพลังของพวกเราด้วยเหรอ?” ลู่กั้วประหลาดใจ “หรือคุณก็เป็น...แต่ทำไมเราไม่เห็นคลื่นพลังของคุณเลยล่ะ?”
ซ่อนพลังได้ด้วย หมอนี่คงจะเก่งไม่แพ้อาจารย์เลยนะเนี่ย
ลู่กั้วแอบคิด
“มาพูดเรื่องงานกันดีกว่า นี่เป็นแฟ้มคดีที่พวกเธอต้องการ” หลิงหลงยื่นซองเอกสารมาให้ “ข้อมูลพวกนี้ก็มีแต่มุมมองความเห็นของตำรวจธรรมดาๆ เท่านั้นแหละนะ สำหรับฉัน ฉันให้น้ำหนักไปทางวิญญาณพยาบาทมากกว่า แต่ก็แปลก...”
“แปลก?”
“ใช่ รายแรกกับรายที่สอง แล้วก็รายล่าสุดที่เพิ่งตาย ต่างก็มีส่วนในการก่อสร้างและออกแบบตึกนี้ทุกคน ยกเว้นรายที่สามเพียงคนเดียวที่เป็นคนนอก”
“หมายความว่ายังไง?” ลู่กั้วงง
“อพาร์ตเมนท์หลังนี้สร้างไว้เป็นบ้านพักพนักงานบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง ถ้ามีห้องว่างจึงจะปล่อยขายให้คนนอก แต่ว่าเหยื่อรายที่สามไม่ได้อยู่อาศัยที่นี่ และไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับตึกหลังนี้ด้วย” หลิงหลงยื่นรูปถ่ายปึกหนึ่งออกมาตรงหน้า
“อู้หู” ลู่กั้วดูรูปพวกนั้นอย่างตื่นเต้น มันเป็นรูปถ่ายศพมนุษย์ที่เต็มไปด้วยเลือด
“อู้หูอะไรกัน อยากกินขนาดนั้นเชียว?” จิ้งฉีตอกเข้าให้
“หา?” หลิงหลงสะดุ้ง คิดว่าคงจะฟังผิดที่ไหนได้
“ไอ้หมอนี่โตมากับฝูงหมาป่าที่ล่าเหยื่อเป็นอาหาร พอมาเห็นรูปแบบนี้เข้าก็คงน้ำลายสอ อยากจะกินเลือดกินเนื้อสดๆ ดิบๆ แบบเมื่อก่อนน่ะครับ” จิ้งฉีเปิดโปงภูมิหลังของคู่หูเข้าให้
“ฉันบอกเมื่อไหร่ว่าอยากกิน? ถ้าจะกิน ฉันอยากกินนายมากกว่า แฮ่!” ลู่กั้วตะคอกเสียงดัง
“เสียงดังกลบเกลื่อนแบบนี้ ในใจคงคิดอย่างที่ฉันพูดจริงๆ ล่ะสิท่า” จิ้งฉีไม่ยอมถอย
อะไรกันเจ้าพวกนี้ นี่มันเป็นคู่หูกันจริงรึเปล่าเนี่ย?
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาทะเลาะกันนะ” หลิงหลงเหนื่อยใจ ฟังทั้งสองเถียงกันจนเหงื่อแตกพลั่ก “เราควรจะมาช่วยกันคิดดีกว่าว่าเหยื่อรายที่สามเป็นใคร?”
“คุณบอกว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตึกนี้?”
“ใช่ ตามข้อมูลของลุงฟงกับตำรวจพวกนั้นน่ะนะ อีกอย่างเหยื่อรายนั้นเป็นผู้หญิง คิดว่าเธอน่าจะแค่ผ่านมาทางตึกนี้ แล้วคงรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ เข้าล่ะมั้ง ถึงได้เดินเข้ามาข้างใน”
“แค่รู้สึกถึงอะไรแปลกๆ ก็ถูกฆ่าเลยงั้นเหรอ?” ลู่กั้วขมวดคิ้ว
“นั่นสิ ตอนนั้นพวกเขาพบศพเธอที่ชั้นสาม สภาพศพน่าเวทนาทีเดียว ข้าวของติดตัวมีเพียงหนังสือสองสามเล่มกับเครื่องเล่นซีดีแบบพกพาเครื่องหนึ่งเท่านั้น”
“ยังเป็นนักเรียนอยู่สินะ” จิ้งฉีมองรูปถ่ายที่ติดอยู่ด้านหลังหนังสือเรียนแล้วถาม
“ใช่ เธอนั่งรถผ่านที่นี่ทุกวัน แต่คนในนี้ไม่มีใครรู้จักเธอเลย... มันต้องมีเหตุผลสิน่า ไม่อย่างนั้นเธอจะเข้ามาที่นี่ทำไม หรือว่าจะแค่นึกประหลาดใจสงสัยอะไรเข้า ไม่ก็อาจจะเห็นหรือไปพบความลับบางอย่างก็เลยถูกฆ่าปิดปาก”
“ถ้าอย่างนั้น ฆาตกรก็ต้องเป็นมนุษย์สิ คนธรรมดาจะเห็นวิญญาณได้ยังไงกัน” ลู่กั้วยังคงยืนยันความคิดเดิม
“เมื่อกี้ฉันบอกว่ามันน่าจะเป็นวิญญาณร้ายฆ่าคนมากกว่าใช่มั้ย? แต่พอฟังเธอพูดแล้วก็น่าคิด คนธรรมดาที่มองไม่เห็นวิญญาณทำไมถึงถูกฆ่า? เธอไปรู้อะไรเข้า หรือว่า...”
“เป็นฝีมือมนุษย์แน่นอน” ลู่กั้วพูดเสียงดัง “วิญญาณร้ายน่ะมีเป้าหมายที่ต้องการจะแก้แค้นอยู่แล้ว ไม่ฆ่าคนนอกที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรอก”
“แต่ฉันว่าเป็นวิญญาณแค้นมากกว่า” จิ้งฉีจงใจคิดต่าง ก่อนจะปรายตาไปทางลู่กั้วแวบหนึ่ง “วิญญาณโรคจิตก็น่าจะมีเหมือนกันนะ...”
“ดี! ฉันขอเอาสมบัติทั้งหมดของฉันเป็นเดิมพัน ฆาตกรต้องเป็นมนุษย์แน่ๆ”
“1 2 3... เอ๋ แค่ 7 ใบเอง? ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอมีอยู่แค่เนี้ย” หลิงหลงนับเงินในกระเป๋าใบเล็ก
หา ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
ลู่กั้วรีบคลำกระเป๋าข้างเอว ไม่รู้ว่ากระเป๋าเงินมันติดปีกบินหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“ก็ได้” จิ้งฉีพูดขึ้นแล้วยิ้มมุมปาก “ถ้านายชนะฉันจะให้นาย 7,000 แต่ถ้าหากนายแพ้ฉันไม่เอาเงิน แต่นายจะต้องวิ่งถอยหลังรอบวิทยาลัยร้อยรอบ โอเคมั้ย”
“อย่างฉันเนี่ยนะจะแพ้” ลู่กั้วจ้องจิ้งฉีเขม็ง “คอยดูก็แล้วกัน”
“หึ!” ทั้งสองสะบัดหน้าผละออกจากกัน
เฮ้อ... ไม่ยุ่งดีกว่า
เจ้าสองคนนี่ท่าทางจะวุ่นวายเอาการอยู่ หลิงหลงเลิกคิ้วมองอย่างอ่อนใจ
“เอานามของข้าเป็นที่หมาย เลือดในกายของข้าเป็นที่ตั้ง วิญญาณที่สิงสถิตอยู่ใต้ขุมนรกจงฟังเสียงเรียกหา ปรากฎกายเบื้องหน้าข้า ณ บัดนี้”
ลู่กั้วใช้คาถาเรียกวิญญาณ แต่เพียรรออยู่ครึ่งค่อนวันก็ไม่มีอะไรตอบกลับมาหรือปรากฎให้เห็นแม้แต่น้อย
“อย่าเสียแรงเปล่าเลย” หลิงหลงเอนกายพิงกำแพง “ไอ้ที่พอจะลองได้ฉันลองมาหมดแล้ว วิธีไหนๆ ก็เรียกวิญญาณออกมาไม่ได้ แล้วก็ไม่มีวิธีค้นหาความคับแค้นใจของผู้ตายด้วย พูดง่ายๆ ก็คือมีแต่วิธีธรรมดาๆ เท่านั้นที่จะใช้ไขคดีนี้ได้”
ได้ฟังแบบนี้แล้วลู่กั้วก็ถึงกับงง ทำอะไรไม่ถูก
“ว่าแล้ว นอกจากใช้กำลงัป่าเถื่อนนายจะมีปัญญาทำอะไรได้อีก?” จิ้งฉีดูถูก
ลู่กั้วสวนออกมาอย่างโกรธเคือง
“ไหนแกคิดอะไรได้บ้างล่ะพ่อคนเก่ง”
“ตัดผู้ตายสามรายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตึกนี้ออก เพราะนี่อาจจะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ฆาตกรลงมือ”
“ใช่ เรื่องนี้ฉันเคยบอกลุงฟงไปแล้ว เขาไปหาผู้รับผิดชอบบริษัทก่อสร้าง แต่พวกนั้นก็อ้ำอึ้งเหมือนปกปิดอะไรบางอย่างไว้ เมื่อไม่มีหลักฐานเพียงพอลุงฟงก็เลยไม่กล้าจะดำเนินการอะไรต่อ”
“เดี๋ยว!” ลู่กั้วเสียงดังขึ้นมา “ฉันเพิ่งจะคิดออก ดูจากสี่รายที่ผ่านมาเหตุฆาตกรรมจะเกิดคนละชั้นไม่ซ้ำกันเลย”
“ใช่ แล้วแต่ละคนก็ยังถูกสลักตัวหนังสือลงบนหน้าผากด้วย” หลิงหลงเสริม
“งั้นตอนนี้ก็คงจะสรุปอะไรไม่ได้ เจ้าฆาตกรนั่นมันต้องลงมือต่อแน่ๆ พวกเราก็แค่รอให้มันโผล่ออกมา แล้วค่อยจัดการ” ลู่กั้วพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจในความชาญฉลาดของตน
“โง่ตามเคย ของแบบนี้ป้องกันได้ซะที่ไหน ถ้าหาตัวฆาตกรไม่ได้ แล้วมันไปลงมือฆ่าคนอีรกจะทำยังไง?... ขอร้องล่ะ จะพูดอะไรออกมาก็หัดใช้สมองคิดก่อนได้มั้ย” จิ้งฉีเหมือนสาดน้ำเย็นเฉียบใส่เพื่อนคู่หู
“ค่อยๆ คิดดีกว่าว่าทำไมฆาตกรต้องสลักตัวอักษรลงไปบนหน้าผากของเหยื่อด้วย”
“ที่ผ่านมามันสลักตัวหนังสืออะไรไว้บ้างล่ะ? ฉันจะได้รู้ไว้ไง” ลู่กั้วน้ำเสียงอ่อนลงแต่ในใจยังไม่ยอมแพ้
“รายแรกเป็นคำว่า เจียง รายที่สองคำว่า ลี่ รายที่สาม หยู ส่วนรายล่าสุดพวกเธอก็เห็นแล้วนี่ว่าเป็นตัว หลี่... เฮ้อ ไม่รู้ทำไมถึงได้สลักตัวหนังสือพวกนี้ลงไป” หลิงหลงก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน
“อ๊ะ!” จิ้งฉีสะดุ้ง “หรือว่า...”
“โธ่เอ๊ย อย่าทำเป็นตกอกตกใจหน่อยเลยว้า อย่างนายจะคิดอะไรได้” ลู่กั้วบ่นงึมงำออกมา
“หรือว่าจะเป็น...”
“จะอะไร แค่เรียกร้องความสนใจล่ะไม่ว่า”
“พวกคุณเคยได้ยินเรื่อง ‘ยมบาลทั้งสิบ’ กันรึเปล่า?”
อาจารย์ถีเอ่อนอกจากจะสอนเวทมนตร์คาถาให้ไป๋จิ้งฉีแล้วยังได้สอนวิชาความรู้อื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นจิ้งฉีจึงรอบรู้ทั้งเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องบ้านเมืองของจีน เรื่องราวเกี่ยวกับต่างประเทศตลอดจนการดูดาว พยากรณ์ดินฟ้าอากาศ และวิชาอื่นๆ อีกหลายอย่าง
“ยมบาลทั้งสิบ?”
หลิงหลงเองก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก “ที่ผ่านมาฉันเอาแต่อ่านหนังสือเวทมนตร์คาถา เรื่องราวเกี่ยวกับนรกก็พอจะรู้อยู่บ้าง แต่ยมบาลทั้งสิบนี่...”
“คิดเองพูดเองรึเปล่า?” ลู่กั้วทำทีไม่เชื่อ
“นี่ไงล่ะฉันถึงต้องย้ำบ่อยๆ ว่านายน่ะมันก็แค่คนโง่ที่ดีแต่ใช้กำลัง” จิ้งฉีไม่ยอมเสียโอกาสสั่นสอนเพื่อน
“โอ๊ะ ผมไม่ได้ว่าศิษย์พี่หลิงหลงนะครับ”
ยังไงมันก็เข้ไปเต็มสองหูฉันแล้วล่ะ หลิงหลงตอบในใจ
“ยมบาลทั้งสิบ เป็นชื่อเรียกยมบาลผู้ดูแลนรกทั้งสิบคือ เจียง ลี่ หยู หลี่ เปา ปี้ ต่ง หวัง ลู่ ลิ่วและฉวย” จิ้งฉีอธิบาย
“อ้อ” ลู่กั้วอุทาน “เป็นฝีมือเจ้าพวกนี้เองหรอกเหรอ”
“นายนี่นะ เวลาจะพูดอะไรไม่ถาม ไม่ใช้สมองคิดเสียก่อน” จิ้งฉีเหลือบมองลู่กั้วก่อนจะพูดต่อ
“ถึงจะมีหน้าที่ดูแลขุมนรก แต่พวกเขาก็ไม่ทำร้ายผู้คน ยมบาลทั้งสิบน่ะใจบุญสุนทาน เป็นมิตรต่อมนุษย์ พวกเขารู้จักผิดชอบชั่วดี ระวังไว้เถอะคนอย่างนายตายไปจะตกนรกขุมที่สี่ที่เต็มไปด้วยเลือด”
“เชอะ ทำเป็นพูดซะสมจริง กุเรื่องขึ้นมาเองรึเปล่าก็ไม่รู้” ลู่กั้วยังคงไม่สนใจ
ตอนนั้นเอง ทั้งสามคนก็รู้สึกได้ถึงพลังเคียดแค้นรุนแรงที่แผ่กระจายอยู่รอบการพวกเขา มันค่อยๆ หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ โอบล้อมพวกเขาไว้ แล้วทันใดนั้น เสียงหวีดร้องแหลมดังขึ้นกลางอากาศเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจ มีเพียงช่วงเวลาก่อนตายเท่านั้นที่มนุษย์จะเปล่งเสียงเช่นนี้ออกมาได้
ข้างบน...
ทั้งสามคนคิดจะพุ่งตัวไปชั้นห้าพร้อมกัน ทว่าไอร้อนอย่างไฟพุ่งมาปะทะเข้ากับใบหน้าเสียก่อน จากนั้นกลิ่นเนื้อไหม้เหมือนศพกำลังถูกเผาก็กระจายคลุ้งในอากาศ เหม็นจนแทบอยากจะอาเจียน
โอ้ บนทางเท้าของชั้นห้า ร่างของคนๆ หนึ่งท่วมไปด้วยเปลวไฟที่ร้อนแรง ดิ้นทุรุนทุรายหาทางรอด
“ดับไฟเร็วเข้า”
ลู่กั้วกำลังจะใช้เวทมนตร์ แต่ถูกหลิงหลงห้ามไว้ “ช้าไปแล้วล่ะ”
ไฟที่โหมไหม้เริ่มอ่อนแรงลง ร่างกายนั้นค่อยๆ หงิกงอ หดเข้าๆ จนสุดท้ายไหม้เกรียมขดเป็นก้อนเกือบกลมอยู่บนพื้น กลิ่นเหม็นไหม้ฟุ้งไปทั่ว
“นี่ก็น่าจะเป็นฝีมือของวิญญาณร้ายนะว่ามั้ย” หลิงหลงหันไปหาจิ้งฉี
“จิ้งฉี?” เด็กหนุ่มตัวสั่นเทา นัยน์ตามีแววหวาดกลัวอย่างที่สุด ไฟ... เหมือนกับ...ครั้งนั้น
“จิ้งฉี นี่นายไม่เป็นไรใช่มั้ย?” หลิงหลงทำท่าจะยื่นมือไป แต่ทันใดนั้นจิ้งฉีก็ร้องขึ้นมาเสียงดัง
“อย่า...อย่าเข้ามา” น้ำตาคลอเต็มสองเบ้า มือกุมหัวอย่างสติแตก ก่อนจะวิ่งลงไปชั้นล่าง
“เชอะ อ่อนหัดจริงๆ แค่นี้ก็ทนดูไม่ได้ อย่าไปสนใจเลยครับ” เสียงลู่กั้วพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม
มองตามแผ่นหลังที่หายลับไปข้างล่าง หลิงหลงรู้สึกว่าจะต้องมีบางอย่างแอบแฝงอยู่แน่ๆ เด็กหนุ่มคนนี้มีอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดา
จิ้งฉีวิ่งลงมาถึงระเบียงชั้นล่าง เขาหลบไปอยู่ในมุมที่ปลอดคน กุมหัวตัวสั่นเทาอยู่อย่างนั้น ภาพไฟไหม้ใหญ่ครั้งนั้นยังคงปรากฎชัดอยู่ในสายตาของเขา...
ร้อนจัง ทำไมถึงร้อนอย่างนี้? เด็กน้อยจิ้งฉีตัวสั่นหมุนคว้างอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ลุกโชนรอบทิศทาง ทั้งเหงื่อและน้ำตาไหลปะปนกันอยู่เต็มใบหน้า
“พ่อ แม่ อยู่ไหน? พี่ๆไปไหนกันหมด? ช่วยด้วย ผมกลัว ช่วยด้วย”
“แม่...”
เห็นแล้ว เขาเห็นแล้ว คนๆ หนึ่งกำลังคลานเข้ามาหา ร่างนั้นลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง เขาจำได้ดีนั่นแม่เขาเอง
“แม่! ทำไม... แม่...”
จิ้งฉีลืมความกลัวเดินถลาเข้าไปหาร่างนั้น แต่ทันใดไม้คานที่ติดไฟก็หล่นลงมาใกล้ตัว
“โอ๊ะ!”
ตอนนี้เบื้องหน้าไป๋จิ้งฉีมืดสนิท ที่เห็นมีเพียงร่างกายของตัวเองที่หดเป็นก้อนเหมือนตอนเด็ก...
“น่าสงสาร มากับพวกเราเถอะ” เสียงที่แสนจะอ่อนโยนและอบอุ่นดังขึ้นในหัว
“คุณเป็นใคร?”
“พวกเรารึ พวกเรามาช่วยเธอไงล่ะ หึหึหึ มากับพวกเราเถอะ เราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน มาสิ...” แล้วมือหนึ่งก็ยื่นเข้ามาหา
“ช่วยฉัน? ในโลกนี้นอกจาก ‘คนๆ นั้น’ กับอาจารย์ถีเอ่อ ยังมีคนอยากจะช่วยผมอีกหรือ?” แววตาของเด็กหนุ่มเป็นประกาย “คนอย่างผม มีใครคิดอยากจะช่วยด้วยเหรอ?”
“แน่นอน พวกเราต้องการเธอ มาสิ” เสียงนั้นพูด
“จริงหรือ? ช่วยผมออกไปจากที่นี่ด้วยนะ ผมกลัว ในโลกที่ไม่มีคนๆ นั้น ผมกลัว” จิ้งฉีกำมือนั้นไว้ ในสมองว่างเปล่า
“หึ หึ ไม่ต้องกลัวอีกแล้ว ทำใจให้สบาย...”
“จิ้งฉี!”
หลิงหลงหาจิ้งฉีพบแล้ว เด็กหนุ่มนั่งพิงกำลัง มือข้างหนึ่งมีควันสีเขียวปกคลุมอยู่ กลุ่มควันนั้นโผล่ออกมาจากกำแพง มันค่อยๆ ดึงตัวเด็กหนุ่มเข้าไป เข้าไปเรื่อยๆ ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านแม้แต่น้อย ร่างของจิ้งฉีเข้าไปในกำแพงแล้วกว่าครึ่ง
“ปล่อย!”
หลิงหลงกำมือสีเขียวนั้นไว้ มันขาดออกแล้วสลายไปทันที
“ไปไหนแล้ว” จิ้งฉีรู้สึกว่ามือที่จับไว้หายไปแล้ว ในความมืดมิด เหลือเพียงเขาตัวคนเดียวโดดเดี่ยว “คุณ...คุณอยู่ที่ไหนน่ะ? ไหนบอกจะพาผมไปด้วยไง”
ทว่าที่สัมผัสได้ตอนนี้มีเพียงความเงียบสงัดเท่านั้น....
หยาดเลือดสดๆ เจิ่งนองอยู่บนพื้น
ค่อยๆ คืบคลานไหลลงมาตามขั้นบันได
กลางหน้าผากถูกกรีด
เป็นตัวอักษรว่า ‘หลี่’
ค่อยๆ คืบคลานไหลลงมาตามขั้นบันได
กลางหน้าผากถูกกรีด
เป็นตัวอักษรว่า ‘หลี่’
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น