วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คู่ปริศนา บทที่5 มายากลแห่งความตาย

บทที่5
มายากลแห่งความตาย


มายากลเป็นศาสตร์ที่น่าพิศวง แม้จะเป็นเพียงคนธรรมดา หากฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ก็จะใช้มันได้อย่างมหัศจรรย์สมจริง
“ฮี่ ฮี่ ฮี่”
เงาดำร่างหนึ่งยิ้มอย่างเยือกเย็น จ้องมองไปเบื้องหน้า
“ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย การละเล่นแห่งความตายกำลังจะเริ่มขึ้น เราจะนำพาทุกท่านไปสัมผัสถึงความระทึก เสียงหวีดร้องโหยหวน ความสยดสยองระทึกขวัญที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังหาคำอธิบายไม่ได้...”


โรงละครจูเจียว เมือง TMX
“หลบมาถึงนี่เลยเหรอเนี่ย” ลู่กั้วถือไอศกรีมกินอย่างเอร็ดอร่อยเงยหน้ามองโรงละครที่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
“การแข่งขันมายากลชิงถ้วยจุงไหว่ อะไรกันเนี่ย?”
“พูดมากอยู่นั่นแหละ วิญญาณร้ายอาจจะสิงอยู่ในร่ายใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ มัวชักช้าเดี๋ยวก็ไม่ทันการณ์หรอก” ไป๋จิ้งฉีค้อนขวับเข้าให้
ลู่กั้วรู้สึกไม่พอใจท่าทางแบบนั้นของเพื่อนคู่หูเอาซะเลย “นายคิดว่านายเก่งนักก็เข้าไปจับเลยสิ”
“หึ นายนี่มันโง่เกินจะเยียวยาจริงๆ แหกตาดูซะบ้าง คนเยอะอย่างกับมดอย่างนั้นจะจับใครล่ะ? มันต้องซื้อตั๋วปนเข้าไปกับผู้คนแล้วค่อยๆ หา” จิ้งฉีมองฝูงชนหลั่งไหลเข้าไปในโรงละคร ในใจเป็นกังวลว่าจะจับวิญญาณร้ายที่หลบหนีออกมาได้หรือไม่
“โอ๊ะ ...ฉันลืมเอาเงินมาน่ะ ไม่มีติดกระเป๋ามาสักแดง” ลู่กั้วแกล้วทำสีหน้าตกใจยียวน
“เออๆ รู้แล้วไอ้งก! เลี่ยงได้ล่ะไม่เคยยอมจ่ายเลยสักงาน” จิ้งฉีส่ายหน้า แล้วเดินไปยังช่องขายตั๋ว “วันนี้ที่นี่มีการแข่งขันอะไรกันหรือครับ?”
“อ้าว นี่ไม่ทราบข่าวหรือคะ วันนี้ท่านจูหว่านนักมายากลผู้ยิ่งใหญ่จัดการแข่งขันเฟ้นหาผู้สืบทอดตำแหน่งคนใหม่น่ะคะ”
“หาผู้สืบทอดเหรอครับ?”
“ใช่ค่ะ ท่านจูหว่านจะประกาศวางมือจากวงการมายากล ดังนั้นผู้ชนะวันนี้นอกจากจะได้เป็นศิษย์เอกของท่านแล้ว ยังจะกลายเป็นผู้นำรุ่นใหม่ของวงการมายากลด้วย”
“อ้อ อย่างนี้เอง”

คนเยอะขนาดนี้คงจะยุ่งยากทีเดียว จิ้งฉีคิด

“นี่คะตั๋วสองใบและแผ่นพับแนะนำผู้เข้าแข่งขัน ถือให้ดีนะคะ”
“โอ้ ขอบคุณครับ”
หลังจากเข้ามานั่งอยู่ในสนามแข่งขัน ลู่กั้วดูแผ่นพับในมือแล้วบ่นเสียงดัง “อะไรเนี่ย? ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
“ไม่แปลกหรอก ไอคิวขนาดนายจะเข้าใจเรื่องยากๆ แบบนี้ๆได้ยังไงกัน?” จิ้งฉีเปิดดูแผนผังแนะนำผู้เข้าแข่งขัน ไม่ใส่ใจกับเพื่อนข้างๆ
“อย่าคิดว่าคนเยอะแล้วฉันจะไม่กล้าต่อยแกนะ ไป๋จิ้งฉี” อารมณ์เดือดของลู่กั้วปะทุขึ้นมาอีกแล้ว เขาถูกหมาป่าเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นมาหน่อยก็ติดตามอาจารย์ถังเฉาอยู่ในวิทยาลัย แทบจะไม่ได้เปิดหูเปิดตามาดูโลกภายนอกเลย จึงน่าเห็นใจที่ไม่รู้ประสีประสาในหลายสิ่งหลายอย่าง
ดูจากคำแนะนำในแผ่นพับ ถึงแม้จะมีผู้เข้าแข่งขันกว่าสิบคน แต่ดูจะมีโอกาสชนะมากที่สุดเห็นจะเป็นหมายเลข 2 เจสสิก้า หมายเลข 4 หลี่ลู่ หมายเลข 6 ซือเต๋อ และหมายเลข 8 อู๋หมิง นอกจากนี้ยังมีลูกศิษย์ของท่านจูหว่านเข้าร่วมแข่งขันด้วย คือ หมายเลข 3 หลินเหวินและหมายเลข 5 หลอซู
แต่ว่า...มีสิ่งหนึ่งที่แปลกประหลาด จิ้งฉีเท้าคางครุ่นคิดอยู่ในใจ
แสงไฟในโรงละครสลัวลงแล้ว ผู้คนตื่นเต้นกับการแสดงมายากลที่กำลังจะเริ่ม


“บึ้ม!”
เสียงเหมือนระเบิดดังสนั่น ควันสีขาวกระจายเต็มเวที ก่อนจะค่อยๆ จางลง ปรากฎให้เห็นชายชราวัยราวห้าสิบกว่าปี คนหนึ่งค่อยๆ บินร่อนลงจากเพดาน แสงสปอตไลท์ฉายจับไปยังตัวเขา มองไม่เห็นเชือกแม้แต่เส้นเดียว เหมือนกำลังบินอยู่จริงๆ อย่างนั่นแหละ เสียงปรบมือดังลั่นก้องโรงละคร
“ร้ายกาจจริงๆ” ลู่กั้วตาโตแทบจะกลนออกจากเบ้า
“อย่าเอาแต่ดูโชว์อย่างเดียวล่ะ มืดๆ แบบนี้กำลังดี รีบหาวิญญาณร้ายเข้าเถอะ” จิ้งฉีเตือน
“เออ...รู้แล้วหน่า” ลู่กั้วกวาดสายตามองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครสนใจตัวเองจึงวาดนิ้วมือเขียนยันต์ไปในอากาศ ทันใดนั้น ยันต์ปักษาสิบตัวก็ส่งเสียงร้องแล้วพุ่งตัวบินออกไปจากตัวเขา
“รอฟังข่าวจากพวกมันก็แล้วกัน”
จิ้งฉีมองตามนกเวทที่บินว่อนออกไปรอบโรงละคร ไอ้หมอนี่แม้จะไอคิวต่ำแต่ถ้าพูดเรื่องเวทมนตร์แล้วล่ะก็นับว่าเจ๋งทีเดียว


การแนะนำชีวประวัติของท่านจูหว่านผ่านไปแล้ว
ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 1 ขึ้นเวทีแสดงมายากลแบบง่ายๆ ไปชุดหนึ่งจากนั้นผู้ช่วยก็เข็นกล่องใหญ่ขึ้นมากลางเวที นักมายากลเปิดกล่องออกให้ผู้ชมได้เห็นว่าภายในว่างเปล่าไม่มีช่องลับซ่อนอยู่ จากนั้นก็ดันตัวผู้ช่วยสาวสวยที่แสดงท่าทางดิ้นรนขัดขืนเข้าไปในกล่อง ปิดฝา แล้วนักมายากลก็หยิบมีดคมกริบออกมาโชว์ ก่อนจะหั่นลงไปบนกล่อง ตัดแบ่งมันออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนมีความกว้างสิบเซนติเมตรเท่านั้น ดูๆ แล้วไม่สามารถใส่คนเข้าไปได้เลย จากนั้นนักมายากลได้แยกกล่องสามส่วนออกจากกัน หันออกให้ผู้ชมเห็นกันทั่วทิศ ก่อนจะจับมาวางเรียงกันอีกครั้ง ดึงใบมีดออก แล้วเปิดกล่อง ผู้ช่วยออกมาได้อย่างปกติครบทุกส่วน ไม่มีส่วนใดบุบสลายหายไป ผู้ชมทั้งสนามตอบแทนความระทึกที่ได้รับด้วยเสียงปรบมือดังลั่น
“โอ้...” ลู่กั้วตื่นตาตื่นใจจนหุบปากไม่ลง ตบมืออย่างสุดชีวิต
แปลก ทำไมนกเวทยังไม่ส่งข่าวมาอีก ถึงคนจะเยอะแต่พื้นที่ก็ไม่ได้กว้างขวางใหญ่โตอะไร ไม่น่าจะเสียเวลานานขนาดนี้ จิ้งฉีว้าวุ่นใจไม่มีอารมณ์ที่จะชมการแสดงเอาเสียเลย
ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 2 เจสสิก้า เป็นนักมายากลสาวชาวอังกฤษที่ผ่านมาเธอได้รับการกล่าวขานว่าเป็นนักมายากลสาวสวยที่แสดงโชว์ได้ตื่นเต้นมากที่สุดคนหนึ่ง และก็สมตามคำร่ำลือ เจสสิก้าขึ้นเวทีมาพร้อมกับสาวๆ ในชุดสีทองร่ายรำอย่างสวยงาม จากนั้นผู้ช่วยก็เข็นกล่องมายากลสูงประมาณสองเมตร กว้างครึ่งเมตรขึ้นมาบนเวที แล้วเปิดออกให้เห็นความกว้างด้านใน ซึ่งไม่ต่างจากภายนอกมากนัก เจสสิก้าเดินเข้าไปในนั้น ก่อนที่ประตูกล่องจะถูกปิดลง แล้วล๊อคข้างนอกด้วยแม่กุญแจขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ผู้ช่วยเข็นกล่องวนรอบเวทีไปหนึ่งรอบ หลังจากนั้นชายสวมหน้ากากปิดหน้าก็เดินเข้ามาบนเวที เขาคนนี้แสดงเป็นเพชฌฆาต
เพชฌฆาตตวัดดาบยาวในมือฝ่าอากาศไปมา ก่อนจะเดินตรงไปที่กล่องมายากล ผู้ช่วยคนอื่นๆ ทำทีรีบถอยหนี เพชฌฆาตตวัดดาบในมืออีกครั้งเพื่อให้ผู้ชมได้เห็นว่ามันคือดาบจริง ก่อนจะแทงทะลุเข้าไปในกล่องอย่างดุดัน


“โอ๊ย!”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาทันที เพชฌฆาตนิ่งไปเหมือนจะตกใจ
แต่นักแสดงมืออาชีพที่แสดงโชว์ชุดนี้มานับครั้งไม่ถ้วนอย่างเขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่เจสสิก้าจะยังอยู่ในกล่องนั่น ดังนั้นเขาจึงตั้งใจเต็มที่แสดงตามที่ได้ฝึกซ้อมกันมาอย่างดี ดึงดาบออกจากกล่อง ขณะที่เห็นปลายดาบ ในใจของชายหนุ่มสั่นไหวเล็กน้อย เลือดสีแดงไหลย้อยติดมากับคมดาบ เขาใช้เวลาเรียกสติกลับคืนมาอยู่พักหนึ่งก่อนจะตัดสินใจแสดงต่อ แทงดาบในมือเข้าไปในกล่องอีกครั้ง

“โอ๊ย!”
เสียงร้องที่น่าเวทนาดังออกมาอีกครั้ง เพชฌฆาตเริ่มใจไม่ดี เดิมทีตามการนัดหมายเขาต้องแทงเข้าไปถึงสามครั้ง แต่ทว่าไม่เหมือน ตรงนี้ไม่เหมือนกับที่ซ้อมกันไว้ เพชฌฆาตดึงดาบแล้วรีบลาเวทีไปทันที
ผู้ช่วยทั้งหลายขึ้นสู่เวทีอีกครั้ง ไขกุญแจดอกใหญ่หน้าประตูกล่องเสียงดนตรีประโคมขึ้นเร้าใจผู้ชมให้อยากรู้อยากเห็นว่าในกล่องจะเป็นอย่างไร

...ร่างนองเลือดของเจสสิก้าหรือว่าความว่างเปล่า...
ประตูเปิดออก ข้างในว่างเปล่าไร้ร่องรอยของเจสสิก้า แต่บนพื้นกล่องกลับนองไปด้วยเลือด ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังเหมือนระเบิดขึ้นหลังผู้ชม ทุกคนรีบหันกลับไปดูตามสัญชาตญาณ ชั้นบนสุดของที่นั่งผู้ชมเกิดมีหมอกควันสีฟ้าลอยกระจายฟุ้งดั่งวิญญาณกำลังจะปรากฎกาย ผู้ชมต่างพากันโล่งอก การแสดงทุกครั้งที่ผ่านมา หลังม่านหมอกสีฟ้าจากลงจะปรากฎให้เห็นเจสสิก้ายืนโบกมือลาผู้ชมโดยไม่มีร่องรอยบาดแผลเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าครั้งนี้...ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ การแสดงบนเวทีกร่อยลงไปทันที
“แปลก หายไปไหนแล้ว” ลู่กั้วมองไปรอบๆ
ตอนที่กล่องถูกเปิดออก จิ้งฉีรู้สึกได้ถึงพลังเวทมนตร์จางๆที่พวยพุ่งออกมา
ไม่ได้การเสียแล้ว
พยายามมองหาเจสสิก้าจนทั่ว แต่แววตาอ้างว้างของเขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ


หรือว่าความรู้สึกของเราจะผิดพลาด
การแสดงชุดที่สองจบลงอย่างค้างคา แม้ผู้ชมยังคงรู้สึกสงสัยข้องใจอยู่ แต่การแสดงชุดต่อไปก็เริ่มขึ้นแล้ว คราวนี้ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 3 คือ หลินเหวิน ศิษย์รักของท่านจูหว่าน ซึ่งชำนาญในด้านจิตศาสตร์ เขาขึ้นเวทีพูดคุยกับผู้ชมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณเจสสิก้าเธอคงจะอึดอัด ก็เลยแอบหนีออกไปดื่มน้ำชา ประเดี๋ยวคงจะกลับมาขอโทษทุกท่านอย่างแน่นอน” เสียงฮาครืนของผู้ชมดังสนั่นไปทั้งโรงละคร ช่วยให้ความตึงเครียดลดลงไปมากทีเดียว
“ผมจะบอกความลับเล็กๆ ของผมให้ฟังเอามั้ยครับ ความจริงแล้วผมมีสัมผัสพิเศศ” แกล้งทำกระซิบกระซาบราวกับเป็นความลับใหญ่หลวง
“เชอะ ใครจะเชื่อ” ลี่กั้วรู้สึกไม่สนุกเท่าการแสดงสองชุดแรก คิดไปว่าเจ้าหลินเหวินคนนี้ดีแต่โกหก ไม่เห็นจะมีความสามารถพิเศษอะไร
“ไม่เชื่อ? งั้นก็ดี ในกลุ่มท่านผู้ชมมีท่านใดยินยอมมาทดสอบความสามารถของผมสักคนไหมครับ” เหมือนหลินเหวินจะล่วงรู้ความคิดของลู่กั้ว
“ผม ผม ผมเอง” หนุ่มน้อยผมเงินรีบยืนขึ้นเสนอตัว โบกมือหยอยๆ กลัวว่าหลินเหวินจะมองไม่เห็น
“ดี งั้นเชิญท่านนั้นก็แล้วกัน”หลินเหวินเห็นลู่กั้วสนุกกับการแสดงจึงเชิญขึ้นเวที
“หึหึ คอยดูเถอะ ฉันจะเปิดโปงแกให้หัวหดไปเลย” ลู่กั้วประสงค์ร้างอย่างชัดเจน
‘ไอ้โง่เอ๊ย’ จิ้งฉีเห็นแล้วอดด่าในใจไม่ได้
“เชิญนั่งครับ”หลินเหวินเชื้อเชิญให้ลู่กั้วนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วตัวเองก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม
“มองตาผม แล้วผมจะพูดในสิ่งที่คุณคิดออกมา”

‘ได้อยู่แล้ว ถ้าแกรู้ความคิดคนอื่นได้ก็แปลกแล้วเจ้าบ้า’
ลู่กั้วประสานสายตากับชายฝั่งตรงข้าม ในใจนึกสบประมาทอยู่ตลอด
“ฮ่าฮ่า ก็ผมบอกแล้วว่าผมมีพลังพิเศษ จะไม่รู้ได้ไงว่าคุณคิดอะไรอยู่” หลินเหวินพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“โอ๊ะ...คุณรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่” ลู่กั้วตาโตตกใจ

‘ขึ้นเขียงให้เขาหลอกเอาง่ายๆ โง่แท้ๆ ไอ้ลูกหมาเอ๊ย’
จิ้งฉีถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“อดีตของคุณเต็มไปด้วยเรื่องน่าเศร้าและเจ็บปวด...”
หลินเหวินจ้องตาลู่กั้วค่อยๆ พรั่งพรูคำพูดออกมา “บาดแผลจากประสบการณ์อันเลวร้ายยังฝังลึกอยู่ในใจของคุณ”

เขารู้ เขารู้ว่าฉันถูกทอดทิ้ง ทแล้วยังถูกหมาป่าเลี้ยงดูมาจนโต เขารู้จริงๆ
ในใจของลู่กั้วรู้สึกอึดอัด
“ความสัมพันธ์ของคุณกับคนข้างกายไม่ค่อยดีนัก...”หลินเหวินสาธยายต่อ
“ใช่ๆ” ลู่กั้วรีบพยักหน้ายอมรับ

‘แม้กระทั่งเรื่องของเจ้าโง่ไป๋จิ้งฉีเขาก็ยังรู้ โอ้ไม่น่าเชื่อ เขาอ่านใจฉันออกจริงๆรึนี่’
“และไม่มีเวลาไหนเลยที่คุณไม่คิดจะจัดการกับคนๆนั้น จริงมั้ย?” แววตาของหลินเหวินเต็มไปด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะ “ผมบอกวิธีจัดการกับเขาให้เอามั้ยครับ...”
“ไม่ได้หรอก เขาอยู่ในนี้ด้วย” ลู่กั้วเชื่ออย่างสนิทใจว่านักมายากรตรงหน้าอ่านใจเขาได้จริงๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ผู้ชมพากันหัวเราะในความใสซื่อของเด็กหนุ่ม
“เหอะๆ งั้นก็ช่างเถอะ” หลินเหวินหยิบเหรียญออกมาสองเหรียญ เป็นเหรียญห้ากับเหรียญสิบ เขาวางอันหนึ่งไว้ในมือขวา จากนั้นกำมันแล้วชูมือขวาขึ้น “ลองทายดูซิ นี่เหรียญอะไร”
“ได้ เหรียญสิบชัวร์” ลู่กั้วตอบอย่างไม่ต้องคิด
“ฮ่าฮ่า” หลินเหวินแบมือขวาออก ในนั้นมีเหรียญสิบอยู่จริงๆ เขาเก็บมันไว้แล้ววางเหรียญใหม่ลงไป กำมือแน่น “ลองทายดูใหม่ซิ”
“โธ่ ใครก็รู้ว่าเป็นเหรียญห้า”
“ฮ่าฮ่า” แบมือออกอีกครั้งเป็นเหรียญห้าตามที่ลู่กั้วทาย
“อะ เอาใหม่”
คราวนี้เขาให้ลู่กั้วเป็นคนซ่อนเหรียญ แล้วตัวเองเป็นคนทาย ทำติดต่อกันสิบกว่าครั้ง หลินเหวินก็ทายได้ตลอดว่าเหรียญที่ลู่กั้วซ่อนไว้เป็นเหรียญอะไร ผู้ชมต่างก็อึ้งเงียบกันไปทั่ว หลินเหวินรู้ดีว่าเขาสามารถคุมเกมได้แล้ว ตอนนี้ผู้ชมต้องกำลังทึ่งกับการแสดงของเขาอย่างแน่นอน
นักมายากลหนุ่มหลินเหวินดึงปืนลูกโม่กระบอกหนึ่งออกมาจากเอว ใช้นิ้วโป้งกดกระสุนนัดหนึ่งไว้ในลูกโม่ แล้วเทส่วนที่เหลืออีกห้านัดทิ้งไป หมุนลูกโม่แล้วบิดกลับอย่างเดิม
“ในนี้เหลือกระสุนเพียงนัดเดียว หนุ่มน้อย เรามาเล่นรัสเซียนรูเล็ตกันเอามั้ย” ว่าแล้วก็จ่อปากกระบอกปืนเข้าที่ขมับตัวเองเหนี่ยวไก 3 ครั้ง
ผู้ชมที่ใจไม่กล้าพอตกใจปิดตากันเป็นทิวแถว โชคดีที่การเหนี่ยวไกทั้งสามครั้งไม่มีกระสุนเจาะทะลุระคายผิวของหลินเหวินแม้แต่น้อย เขายิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วยื่นปืนให้ลู่กั้ว
“ตาเธอแล้ว ตามกฎเธอก็ต้องยิงสามนัดเหมือนกัน” ปืนลูกโม่แบบนี้บรรจุกระสุนได้ 6 นัด หลินเหวินยิงไปแล้วสามนัก เหลืออีกสามนัด ถ้าอย่างนั้นลู่กั้วก็ต้องตายแน่นอน
เด็กหนุ่มผมเงินไม่ได้หวั่นเกรงเลย ยื่นมือออกไปจะรับปืน แต่แล้วทันใดนั้นหลินเหวินก็หันปากกระบอกปืนเข้าหาตัวเอง เหนี่ยวไกไปอีกสามครั้ง
...เหมือนเดิม ไม่มีกรุนวิ่งออกมาจากปืนกระบอกนั้นแม้แต่ลูกเดียว เขาค่อยๆ หงายมือขึ้นในมือเขามีกระสุนนอนแน่นิ่งอยู่ 6 นัด
“โอ้ว้าว!” เสียงปรบมือดังกึกก้องทั่วทั้งโรงละคร
หลินเหวินลุกขึ้นโค้งคำนับอาจารย์และผู้ชมอย่างนอบน้อม ลู่กั้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตน และแน่นอนที่ได้ยินเป็นเสียงแรกคือเสียงหัวเราะเยาะของจิ้งฉี
“หึหึ โง่จริงๆ มายากลกระจอกๆ แค่นี้ก็หลอกนายได้แล้ว”
“แกไปลองดูเองสิ” ลู่กั้วก็รู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองโดนหลอก แต่จับไม่ได้ว่าถูกหลอกตรงไหน


คนที่ 4 ที่ขึ้นเวทีคือ “หลี่ลู่” ผู้มีฉายาว่าอัจฉริยะมายากลแห่งยุคนี้ ว่ากันว่าผู้ชมในที่นี้ต่างก็รอดูการแสดงของเขา หลี่ลู่มีกจะเปิดการแสดงโดยไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก ที่ผ่านมาการแสดงของเขาจะไม่มีการพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลา ขึ้นเวทีปุ๊บก็เข้าสู่การแสดงหลักทันที
และก็จริงดังว่า ที่ตามหลี่ลู่ขึ้นมาบนเวทีติดๆ ก็คือกรงโลหะกรงหนึ่ง ภายในโล่งว่างเปล่า หลี่ลู่จูงสาวสวยคนหนึ่งเข้าไปในกรงปิดขังไว้ แล้วผ้าสีดำผืนใหญ่ก็โรงตัวลงมาจากกลางอากาศ ปิดคลุมกรงเอาไว้ หลี่ลู่เดินวนไปรอบๆ มือไม้โบกส่ายไปมา แสดงท่าทางเหมือนกำลังร่ายมนตร์ สุดท้ายสะบัดมือแรงๆ ไปครั้งหนึ่ง ผ้าคลุมสีดำหลุดออก หลี่ลู่เดินมาหยุดอยู่กลางเวทีรอรับเสียงปรบมือจากผู้ชม แต่ทว่าที่ได้ฟังกลับเป็นเสียงหวีดร้องอย่างหวาดกลัว ผู้คนเบื้องหน้าเขาล้วนแล้วแต่มีสีหน้าตื่นตกใจ
กรรมการตัดสินและท่านจูหว่านยืนขึ้นและจ้องเขม็งไปที่หลี่ลู่พร้อมกัน นักมายากลอัจฉริยะรีบหันกลับไปมองกรงข้ามหลังด้วยความสงสัย ไม่แปลกที่ภายในกรงจะมีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่อยู่
แต่ทว่า...
“โอ๊ะ!” หลี่ลู่ผงะถอยหลังออกมาอย่างไม่รู้ตัว ใต้กรงเล็บที่แข็งแกร่งมีร่างของคนๆ หนึ่งถูกขย้ำกัดกิน
ร่างนั้นคือ ...เจสสิก้า ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 2 นั่นเอง
“ผม ผมไม่รู้เรื่อง ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ นะ” หลี่ลู่กุมหัวไว้สีหน้าลนลาน
“แล้วศพของคุณเจสสิก้า คุณจะอธิบายว่าไงคุณหลี่” ตำรวจที่กำลังลงบันทึกคดีไต่ถาม
“แต่ตอนที่จับเสือขังไว้ในนั้นไม่มีศพของเธอจริงๆ” หลี่ลู่คิดยังไงก็ไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น
ลู่กั้วยิงคำถามเพิ่มเข้าไปอีก “การแสดงมายากลชุดนี้ของคุณมันเป็นยังไงกันแน่”
“เด็กสองคนนี้เป็นใครกันครับ” ท่านจูหว่านมองลู่กั้วและไป๋จิ้งฉีแล้วถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“เป็นผู้ช่วยพิเศษน่ะครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจผงกหัวตอบ จะบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยปฎิบัติงานพิเศษก็ไม่ได้
“ที่จริงก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนอะไรหรอก แค่เข้าใจวิธีการก็จะเป็นเรื่องง่ายๆ” หลี่ลู่พาพวกเขาไปที่กรงเหล็ก
“ที่สำคัญก็คือกรงนี่แหละ พวกคุณดูนะ” พูดพลางพาเดินอ้อมไปด้านข้าง
“โอ้! มีอีกห้อง” ลู่กั้วอุทานออกมาอย่างตกใจสุดๆ
“ใช่ มันเป็นการเล่นกับมุมมอง เพียงแต่กั้นอีกห้องหนึ่งไว้ในกรงเพื่อใช้ขังเสือ ดังนั้นเสือจึงถูกขังไว้ในนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว เพราะเรากั้นอีกห้องหนั่งไว้แล้วใช้เทคนิคทำให้ดูเหมือนกรงธรรมดา คนดูจึงคิดว่าเป็นกรงที่ว่างเปล่า
“งั้นก็แสดงว่าหลังจากที่คลุมผ้าสีดำนั่นแล้วก็เปิดที่กั้นออก ถูกมั้ยครับ” จิ้งฉีพูด
“ถูกต้อง” หลี่ลู่พูดพร้องพยักหน้า
“แล้วผู้ช่วยคนนั้นหายไปได้ยังไงล่ะ”ลู่กั้วรีบถาม
“ก็เพราะว่าข้างในมีช่องลับอีกจุดหนึ่ง” หลี่ลู่ชี้ไปที่ใต้กรง “ผู้ช่วยเข้าไปแล้วก็จะหลบอยู่ในช่องนี้ก่อนที่จะปล่อยเสือออกมา นี่แหละความลับของมายากลชุดนี้”
“อืม อย่างนี้เอง”ลู่กั้วผงกหัวรับท่าทางเหมือนเข้าใจ
“แล้วศพของเจสสิก้าล่ะ” ท่านจูหว่านถามขึ้น
“ผมก็ไม่รู้ครับ ตอนที่ผู้ช่วยต้อนเสือเข้าไปในกรงก็ไม่เห็นจะมีศพอยู่เลย แล้วพวกคุณดูนี่สิ” หลี่ลู่ดึงแผงกั้นขึ้น ชี้ไปยังช่องว่างด้านหลัง “เพราะจะให้มีช่องว่างมากเกินไปไม่ได้ ช่องที่กั้นไว้จึงมีความกว้างแค่ครึ่งเมตรเท่านี้ ขังเสือตัวเดียวก็เต็มแล้วจะเอาศพใส่เข้าไปอีกได้ยังไง”
“อืม...ก็จริง” ตำรวจผงกหัวเห็นด้วย “ผลการชันสูตรศพออกมาว่า เจสสิก้าไม่ได้ตายเพราะถูกเสือกัด แต่ตายเพราะคมดาบ จุดหนึ่งถูกแทงทะลุหัวใจ อีกจุดแทงทะลุปอด”
“ดาบ!” ทุกคนตกใจ
“ถูกแล้ว อาจารย์ยังจำได้ไหม ตอนที่เชฌฆาตแทงดาบเข้าไปในกล่องมายากลของเจสสิก้า มีเสียงร้องดังออกมาด้วย” โรส ศิษย์คนหนึ่งของท่านจูหว่านพูดขึ้น
“ใช่ตอนนั้นพวกเรายังรู้สึกแปลกอยู่เลย คิดว่าเจสสิก้าจงใจแกล้งร้องออกมาซะอีก”ซือเต๋อเสริม


คณะแสดงของเจสสิก้าถูกเรียกตัวขึ้นมาบนเวที ผู้แสดงเป็นเพชฌฆาตให้ปากคำเป็นคนแรก
“ใช่ครับ ผมตกใจจริงๆ ตอนซ้อมเราไม่ได้คุยกันว่าพอแทงดาบเข้าไปแล้วจะมีเสียงร้องออกมา แต่ว่าคุณเจสสิก้าเธอชอบทำอะไรนอกบทอยู่เสมอ ผมก็เลยคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรจึงแทงเข้าไปอีกดาบหนึ่ง ก็ยังมีเสียงออกมาอีก คราวนี้ผมรู้สึกไม่ดี เลยยกเลิกดาบที่สามเอาเอง”
“ข้างนอกติดกุญแจดอกใหญ่ไว้ตั้งสามดอก แล้วคนข้างในจะหนีออกมายังไง” ลู่กั้วคิดไม่ออก
“จริงๆ แล้วข้างในกล่องเปิดออกได้” ผู้ช่วยคนหนึ่งเดินอ้อมไปด้านหลังกล่องมายากล เผยให้เห็นประตูลับ
“โอ้ จริงๆ ด้วย” ลู่กั้วอุทานขึ้นหลังจากมองเห็นช่องขนาดพอให้คนลอดผ่านตรงด้านหลังกล่อง “แต่ถึงจะออกจากกล่องมาได้ แล้วจะลงจากเวทียังไงกัน คนดูเยอะแยะขนาดนั้น”
“เจ้าโง่” จิ้งฉีด่าเข้าให้ “เขาอาจจะใส่ชุดเหมือนผู้ช่วยแล้วแฝงตัวปนกับกลุ่มผู้ช่วยลงจากเวทีไปก็ได้”
“ใช่แล้ว” หนึ่งในผู้ช่วยผงกหัวรับ “ขณะที่เพชฌฆาตเดินขึ้นไปบนเวที แสงไฟจะมืดลง คุณเจสสิก้าก็อาศัยช่วงเวลานี้เปลี่ยนชุดให้เหมือนพวกเราแล้วเดินตามลงจากเวที”
“แล้ววันนี้พวกคุณเห็นเธอตามลงมามั้ย?” ท่านจูหว่านขมวดคิ้วถาม กลุ่มผู้ช่วยมองหน้ากันเลิ่กลั่กสั่นหัวปฎิเสธ
“ปกติคุณเจสสิก้าจะเดินปิดท้าย พวกเราก็เลยไม่ได้สังเกต”
“ถ้าอย่างนั้นผู้ตายก็ไม่ได้ลงจากเวที แต่ยังอยู่ในกล่องมายากล?” นายตำรวจพูดพึมพำ ยิ่งสอบสวนยิ่งดูลึกลับซ่อนเงื่อนไปกันใหญ่
“น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่มันดูไม่มีเหตุผลเลย” ผู้ช่วยคนหนึ่งพูดขึ้น “ทำไมคุณเจสสิก้าไม่ลงจากเวทีล่ะ ประตูหลังก็ไม่ได้ล็อกไว้ เขาก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าถ้าไม่ออกมาล่ะก็แย่แน่ๆ”
“เรื่องที่น่าคิดมากกว่าก็คือ” จิ้งฉีหน้าเครียด “ถ้าคุณเจสสิก้าไม่ได้ลงจากเวที แต่ถูกฆ่าตายอยู่ในกล่องมายากล แล้วศพของเธอเข้าไปอยู่ในกรงเสือได้ยังไง” เงียบราวป่าช้า ผู้คนในโรงละครไม่มีใครคิดคำตอบข้อนี้ออกเลยสักคน
วิญญาณร้ายที่หลบหนีออกมาก็ไม่รู้หลบไปที่ไหน ยันต์นกก็ยังไม่ส่งข่าวกลับมาเสียที จะป็นไปได้ไหมว่ามันเข้าไปสิงอยู่ในร่างคนแล้วหลบหนีออกไปแล้ว จิ้งฉีกวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นแต่ก็ไม่รู้สึกถึงสัมผัสจากไอแค้นของวิญญาณร้ายจากกลุ่มคนพวกนี้เลยแม้แต่น้อย
“ขอถามหน่อย คุณเจสสิก้ามีนิสัยยังไง มีเรื่องผิดใจกับใครอยู่บ้างรึเปล่า?” นายตำรวจถาม
“คุณเจสสิก้าถือเป็นนักมายากลอัจฉริยะคนหนึ่ง และยังเป็นหนึ่งในตัวเต็งของการแข่งขันครั้งนี้ด้วย” ท่านจูหว่านตอบ “แต่ว่าระหว่างฉันกับเขาไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันหรอก เพียงแต่ได้ยินได้ฟังข่าวของกันและกันเท่านั้น”
“ใช่ ผู้เข้าแข่งขันครั้งนี้ส่วนใหญ่มาจากต่างบ้าน ต่างเมือง ต่างฝ่ายต่างก็พอได้ยินเรื่องราวของคนอื่นๆ มาบ้างเท่านั้น ไม่ได้สนิทสนมกันลึกซึ้งื ถ้าคุณตำรวจสงสัยว่าสาเหตุของเรื่องนี้คืออะไรล่ะก็ สิ่งเดียวที่จะพอเดาได้ก็คือ การแข่งขันครั้งนี้นี่แหละ” อู๋หมิงที่เงียบมาตลอดเปิดปากพูดออกมา
“เป็นไปได้ไหม? ฆ่าคู่แข่งเพื่อหวังชัยชนะ?” ตำรวจขมวดคิ้วครุ่นคิด ก่อนจะจดประเด็นนี้ลงในบันทึกการสอบสวนด้วย
“ความเป็นไปได้ไม่มากมั้ง” หลินเหวินตอบ
“ที่พูดมานี่สรุปว่า ก่อนหน้านี้พวกคุณไม่รู้จักกันมาก่อนว่างั้น” ลู่กั้วสรุปความ
“เฮ้ย ลู่กั้ว” จิ้งฉีดึงเพื่อนคู่หูออกมาอีกด้านหนึ่ง “ตรวจสอบได้รึยังว่าวิญญาณร้ายนั่นอยู่ไหนแล้ว”
“นี่นายก็คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับวิญญาณแค้นเหมือนกันหรอ” ลู่กั้วก็รู้สึกเช่นนั้น แต่ยังไม่ได้ข่าวจากยันต์ปักษาเลย คงไม่ได้ถูกทำลายไปหมดแล้วหรอกน่ะ
หรือว่าพวกมันจะหาไม่เจอ ไม่หรอกมั้ง ลู่กั้วคิดไม่ตก
“หรือว่ามันจะสิงคนดูออกไปจากที่นี่แล้ว” จิ้งฉีคิด
“ไม่น่าจะใช่ ถึงจะสิงอยู่ในร่างคนแต่นกเวทก็ต้องจับได้ เป็นไปไม่ได้ที่จนป่านนี้แล้วยังไม่มีข่าวคราวเลย” ลู่กั้วสั่นหัว
“อาจารย์จูหว่าน!” เจ้าหน้าที่โรงละครคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากหลังเวที
“แย่แล้ว รีบไปดูเถอะครับ”
“มีเรื่องอะไรกัน?” อาจารย์จูหว่านถามอย่างร้อนรน
“ไหนรีบไปดูกันเถอะ” นายตำรวจไม่ยอมรีรอ
“ทางนี้ครับ บนกำแพงหลังเวที”
บนกำแพงหลังเวที หุ่นตัวตลกที่ใช้ประกอบการแสดงถูกตะปูตอกตรึงไว้บนนั้น ลิ้นของมันถูกดึงยาวออกมา มีตัวอักษรเขียนไว้ว่า



“แข่งต่อไป มิฉะนั้นต้องตายกันหมดทุกคน”



“นี่มันเล่นตลกอะไรกัน!” ซือเต๋อร้องขึ้นเสียงดัง
“มาเรียกร้องอะไรกันแบบนี้?” ตำรวจคิ้วขมวดงงงวยเข้าไปใหญ่
“ปัญญาอ่อน ใครจะยอมทำตาม” หลินเหวินพูดแล้วหันหลังเดินออกมา
ทันใดนั้นโคมไฟระย้าที่ห้อยอยู่บนเพดานก็หล่นโครมลงมาอย่างกะทันหัน เฉียดหน้าของหลินเหวินไปหวุดหวิด มันเกิดขึ้นเร็วมากจนทุกคนในที่นั้นต่างตาเหลือกเหงื่อแตกไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะหลินเหวินที่รู้ดีว่าหากตนเองก้าวเร็วไปอีกเพียงก้าวเดียวคงได้กลายเป็นวิญญาณใต้โคมไฟเป็นแน่
“คิดจะทำอะไรกันแน่ มันคิดว่ามันเป็นใคร ถึงได้กล้าทำเรื่องแบบนี้ เห็นพวกเราเป็นลูกไก่ในกำมือรึไง” หลี่ลู่โกรธจัด เลือดขึ้นหน้าตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ดูแล้วท่าจะเอาจริง” ท่านจูหว่านพูดแผ่วเบา “ไม่แข่งก็ตาย แข่งก็ไม่รู้ว่าจะมีใครตายอีกรึเปล่า พวกคุณคิดว่าจะทำยังไงดี”
“แข่งก็แข่งสิ เป็นไงเป็นกันวะ” หลี่ลู่ตะคอกดุดัน
“ก็ดี ฉันอยากรู้นักว่ามันจะสรรหาวิธีไหนมาฆ่าพวกเราอีก” หลอซูเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น
ซือเต๋อและอู๋หมิง ได้แต่สบตากันไม่มีคำพูดใดจะเอ่ย
“ขอให้ทุกท่านวางใจ เราจะวางกำลังคอยดูแลความปลอดภัยของทุกคน และจะจับตัวคนร้ายมาจัดการตามกฎหมายให้ได้” นายตำรวจประกาศเสียงเข้ม ในสายตาของเขา มีหน่วยปฎิบัติการพิเศษร่วมด้วยแบบนี้ไม่น่าจะมีปัญหา
“ฝากด้วยนะ คุณตำรวจ ฉันไม่อยากจะเห็นใครเกิดเรื่องอีก”
ท่านจูหว่านจับมือนายตำรวจแน่น



....................



กลุ่มนักมายากลทยอยกันกลับไปหมดแล้ว ลู่กั้วและจิ้งฉีจึงเริ่มการตรวจค้นโรงละครอย่างละเอียด
“สิ่งที่ฝังลึกอยู่ในที่แห่งนี้ ความลับที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ในนามแห่งข้า ผู้เผยปริศนา ขอสั่งให้ผู้หลบซ่อนตัวอยู่หลังม่านแห่งความมืด จงปรากฎรูปกายออกมาต่อหน้า ณ บัดนี้”
หลังร่ายเวทมนตร์ ปรากฎลำแสงสีทองส่องออกมาจากดวงตาของจิ้งฉี เขาสาดส่องสายตาไปทั่วทุกมุมของโรงละคร แต่ไม่พบสิ่งแปลกปลอมใดๆ เลย ตรงข้ามที่นี่สะอาดสะอ้านผิดปกติ ไม่มีสิ่งชั่วร้ายหรือวิญญาณให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
“ฉันเคยหาแล้ว” ลู่กั้วโผล่ออกมาจากหลังเวที ฎหาวิญญาณบ้านั่นไม่เจอ หรือว่าครั้งนี้จะเป็นฝีมือมนุษย์?”
“ฝีมือมนุษย์? จะเป็นไปได้ยังไงกัน เจ้าโง่!” จิ้งฉีตอบ “นี่นายไม่รู้สึกบ้างเลยเหรอ? ตอนเปิดกล่องมายากลของเจสสิก้ามีพลังเวทมนตร์พุ่งออกมาด้วย”
“ทำไมไม่เห็นรู้สึกเลย? นี่นายแกล้งพูดไปเรื่อยเปื่อยเพราะกลัวคนจะหาว่าไม่มีฝีมือหรอเปล่า” ลู่กั้วมองจิ้งฉีอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่เชื่อก็แล้วไป แต่ว่าครั้งนี้อาจจะไม่ใช่แค่วิญญาณร้ายธรรมดาๆ มันน่าจะมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็มีวิญญาณอยู่ทั้งนั้นแหละ แต่ว่าที่นี่ ที่โรงละครนี้ไม่มีวิญญาณให้เห็นเลย พวกมันไปไหนกันหมด หรือว่าจะถูกบางอย่างกลืนกินไปแล้ว?”
แต่ทว่าลู่กั้วกลับเชื่ออย่างปักใจ “ฉันว่าผู้ก่อเหตุครั้งนี้น่าจะเป็นหลี่ลู่ นายไม่เห็นรึไง ศพของเจสสิก้าอยู่ในกรงเขาชัดๆ”
“เป็นไปไม่ได้หรอก เขาอธิบายให้ฟังแล้วนี่ว่าช่องที่กั้นไว้ในกรงนั้นยัดศพเพิ่มเข้าไปไม่ได้ แล้วไหนจะโคมไฟที่หล่นลงมาอีก ตอนนั้นหลี่ลู่ก็ยืนอยู่กับพวกเรา นายสัมผัสได้มั้ยล่ะว่าเขาใช้เวทมนตร์ก่อเหตุน่ะ” จิ้งฉีใช้เหตุผลโต้กลับ
“แต่คนที่รับปากจะแข่งต่อเป็นคนแรกคือหลี่ลู่ไม่ใช่หรอ? เพราะเขาพูดออกมาอย่างนั้น ทุกคนเลยต้องยอมแข่งต่อ” ลู่กั้วไม่ยอมแพ้ ยึดความคิดของตนไว้ไม่ยอมปล่อย
“ตลกน่า เห็นเหตุการณ์อย่างนั้นแล้ว นายคิดว่าคนธรรมดาจะกล้าปฎิเสธไม่ทำตามคำขู่งั้นเหรอ? หลินเหวินเกือบจะถูกทับตายไปต่อหน้า อีกอย่างตอนนั้นมีตำรวจอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ใครมันจะกล้าบุ่มบ่ามทำอะไร พวกเขาเชื่อว่ามีใครสักคนที่คอยจับตาดูอยู่เบื้องหลังมากกว่า ก็เลยยอมแข่งต่อ”
“เฮ้ นายอย่าลืมนะว่าหลี่ลู่นะแสดงเสร็จแล้ว ก็เท่ากับว่าปลอดภัยต่อไปก็ถึงคราวของ หลอซู ซือเต๋อ แล้วก็อู๋หมิง ดังนั้นหลี่ลู่จึงมีเวลาที่จะฆ่าคนได้อีกมาก”
“ฉันขี้เกียจจะคุยกับหมาป่าไร้สมองอย่างนายเต็มที” จิ้งฉีเนิ่มรำคาญ
“ฉันก็ไม่อยากจะคุยกัยไอ้กะเทยอย่างนายเหมือนกัน” ลู่กั้วก็ไม่ยอมลงให้
“เชอะ” ทั้งสองสบัดหน้าหนีไปคนละทาง



....................



มนุษย์นี่ก็แปลกจริงๆ เพิ่งจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นมีคนตายไปแท้ๆ แต่ตั๋วเข้าชมการแข่งขันในวันถัดมากลับขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนส่วนใหญ่ที่พยายามแย่งกันซื้อตั๋วเข้ามาชมการแสดงในวันนี้คงจะเคยดูมายากลมาแล้วนักต่อนัก แต่คงไม่เคยเห็นเวทีไหนมีการหลั่งเลือดเช่นเวทีนี้มาก่อน ก็อยากจะดูให้เห็นกับตา
การแข่งขันรอบที่สองนี้ ผู้คนแห่กันเข้ามาดูอย่างล้นหลาม ที่นั่งนับหมื่นของโรงละครเต็มจนไม่มีที่จะยืน ข่าวบอกว่าที่นั่งด้านหน้าใกล้เวทีถูกปั่นราคาจนถึงเรือนแสนเลยทีเดียว
“หลอซู ระวังหน่อยนะ” ท่านจูหว่านและหลินเหวินมองหลอซูที่กำลังเตรียมตัวอยู่อย่างเป็นห่วง
“รู้แล้วครับ”
“สู้เต็มที่ล่ะ” ลู่กั้วตบหลังหลอซูเบาๆ แปะยันต์สลายวิญญาณใบหนึ่งไว้ที่หลังของเขาด้วย
“พวกคุณรีบกลับไปนั่งที่เถอะ” และเพื่อป้องกันไว้ก่อน เขาไม่ลืมที่จะแปะยันต์สลายวิญญาณไว้บนหลังของท่านจูหว่านและหลินเหวินด้วย
“ไอ้หนุ่มคนนี้...” จูหว่านมองตามเงาหลังของลู่กั้วที่เข้ามาตบหลังแล้วเดินจากไปอย่างนึกสงสัย “เป็นตำรวจงั้นเหรอ? ท่าทางไม่น่าไว้วางใจเลย”
“ไม่รู้สิ” หลินเหวินยักไหล่
เพื่อป้องกันการเกิดเหตุร้าย คราวนี้ตำรวจเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ไม่เพียงแต่เสริมกำลังคนเข้าปะปนกับกลุ่มผู้ชมเท่านั้น ยังได้ส่งเจ้าหน้าที่เฝ้าดูด้านหลังเวทีและห้องเก็บอุปกรณ์ด้วย
ลู่กั้วซึ่งเตร่ไปตามจุดต่างๆ เพื่อแปะยันต์สลายวิญญาณไว้บนตัวของนักแสดงและผู้ที่เกี่ยวข้อง เดินกลับมายังที่นั่งซึ่งทางตำรวจเตรียมไว้ให้เป็นพิเศษแล้ว ท่านจูหว่าน หลินเหวินและหลี่ลู่ก็กลับเข้ามราประจำที่แล้วเช่นกัน
“เจออะไรบ้างรึเปล่า?” จิ้งฉีถามขึ้น
“ไม่มี แต่ถ้าหากมีวิญญาณร้ายจริงๆ ล่ะก็หายห่วง มียันต์สลายวิญญาณของฉันติดตัวแล้ว พวกมันทำอะไรพวกเขาไม่ได้หรอก ดีไม่ดีวิญญาณนั่นอาจจะเคลื่อนไหวให้พวกเราเห็นได้ง่ายๆ เสียด้วยซ่ำ”พูดจบก็หันไปที่อื่น แอบยิ้มย่องคนเดียว
“ฮึ สุดท้ายก็ต้องพึ่งฝีมือฉันคนเดียว”
“มันจะเป็นแค่วิญญาณแค้นธรรมดาจริงหรือ? ในใจของจิ้งฉีรู้สึกไม่ดีขึ้นมา


“พรึ่บ”
แสงสปอตไลท์หลายดวงสาดส่องไปบนเวที หลอซูค่อยๆ ร่อนตัวลงมากลางอากาศ เหมือนตอนที่ท่านจูหว่านบินลงมาเปิดเวทียังไงยังงั้น พอลงสู่พื้นผู้ช่วยของหลอซูก็เข็นกล่องกระจกสี่เหลี่ยมใบใหญ่ขึ้นมา กล่องใบนี้สูงราว 2 เมตร กว้าง 2 เมตรเช่นกัน
“เอ๋ จะทำอะไรน่ะ? เสกเสือรึเปล่า?” ลู่กั้วสงสัย
“ฮ่าฮ่า คงไม่ใช่หรอก น่าจะเป็นการลอยตัวมากกว่า นี่ป็นมายากลที่อาจารย์ถนัดที่สุด” หลินเหวินยิ้มแล้วพูด
“เชอะ เรื่องแบบนี้ใครก็รู้ มีเชือกผูกกับตัวใช่ไหมล่ะ”ลู่กั้วสมประมาท
“เงียบหน่อยได้มั้ย” จิ้งฉีเห็นว่าการกระทำของเพื่อนเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก จึงอยากให้ลู่กั้วสงบปากสงบคำลง
“ฮ่าฮ่า เป็นถึงลูกศิษย์ของผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการมายากล การแสดงชุดนี้ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน” หลินเหวินไม่สนใจยังคงพูดต่อ “ผู้เยี่ยมยุทธก็ต้องมีศิษย์ที่เก่งกล้าเป็นธรรมดา”
คำพูดของหลินเหวินไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เหล่าผู้ช่วยของหลอซู เชิญผู้ชมหลายคนขึ้นไปบนเวทีเพื่อช่วยกันตรวจสอบว่าภายในตู้กระจกนั้นว่างเปล่าจริงๆ ไม่มีช่องหรือร่องรอยผิดแปลกอะไรให้เห็น ก่อนจะเชิญลงจากเวที
“จงใจหาคนขึ้นไปมากกว่าล่ะมั้ง” ลู่กั้วพูดขึ้นมาอีกแล้ว
“ไม่หรอก นั้นน่ะผู้ชมจริงๆ ทั้งนั้น” หลินเหวินต่อคำ “จริงๆ แล้วตู้กระจกนั่นไม่ได้สำคัญอะไรหรอก ไม่เอาละ มันเป็นจรรยาบรรณของวิชาชีพมายากล ฉันไม่พูดแล้วดีกว่า ค่อยๆดูไปแล้วกัน”


บนเวที หลอซูแสดงท่าทางสื่อสารกับคนดูตลอดเวลา เขาปีนบันไดเข้าไปในตู้กระจก หลังจากนั้นผู้ช่วยก็ใช้ฝากระจกปิดครอบด้านบนเอาไว้เพื่อยืนยันว่าไม่มีเชือกหรือสิ่งอื่นใดผูกโยงกับตัวหลอซูได้
หลอซูค่อยๆ ลอยขึ้นๆ อยู่กลางตู้กระจก ผู้ชมปรบมือดังกึกก้อง แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามีเทคนิคอะไรสักอย่างซ่อนอยู่แน่ๆ แต่ว่าพอมองอย่างนี้แล้วก็เห็นว่าเขากำลังบินอยู่จริงๆ
“ว้าวๆๆ” ลู่กั้วตื่นเต้นจนฉุดตัวเองไม่อยู่ “ทำได้ยังไงกัน”
หลินเหวินยิ้มเหมือนจะรู้อยู่แกใจ แต่ไม่ตอบ
จากนั้นหลอซูก็แสดงท่าม้วนหน้าม้วนหลัง หมุนตัวอยู่กลางอากาศและทำท่าว่ายน้ำไปมาในตู้กระจก
การแสดงตั้งแต่ต้นจนจบ คือการแสดงลอยตัวในตู้กระจก เปลี่ยนท่าทางไปมาอยู่อย่างนั้น สุดท้ายเมื่อฝาด้านบนถูกเปิดออก หลอซูก็บินออกมาจากตู้ ค่อยๆ ร่อนลงสู่พื้นเวทีแล้วก้มคำนับ
ฟังเสียงปรบมือที่ดังระงมแล้วพานให้คิดว่า มือของผู้ชมคงแทบจะบวมเลยกระมัง เสียงชื่นชมดังเซ็งแซ่ “ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์เอกของอาจารย์จูหว่าน เก่งอย่างที่ร่ำลือจริงๆ”
“ท่านอาจารย์จูหว่าน สุดยอดจริงๆ” หลี่ลู่ที่นั่งอยู่ข้างๆท่านจูหว่านกล่าวชื่นชมออกมา
“ขอบคุณครับ ยังไม่เท่าไหร่หรอกครับ ยังต้องฝึกฝนอีกนานน่ะ” อาจารย์จูหว่านตอบรับคำชมอย่างยิ้มๆ รู้สึกเบาใจลงมาก
“เอ่อ ขอถามหน่อยนะครับ...” จิ้งฉีมีบางสิ่งบางอย่างติดค้างอยู่ในใจ จึงออกปากถามหลินเหวินที่นั่งอยู่ติดกัน “ฝานั่นรึเปล่า?”
“ฮะๆ” หลินเหวินนิ่งไปพักหนึ่ง แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ตอบคำถาม
ถ้าเช่นนั้นเขาคงจะทายถูก ฝานั่นมีร่องเล็กๆยาวๆอยู่ตรงไหนสักแห่ง เพื่อความสะดวกในการสอดเชือกที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเข้าไปข้างใน ดังที่หลินเหวินพูดเมื่อครู่ ตัวกล่องไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่หลักฐานก็คือตัวหลอซูที่อยู่ในนั้นตลอดการแสดง นั่นก็เป็นการยืนยันได้ว่าเขาต้องอยู่ใต้ร่องซึ่งเป็นทางผ่านของเชอกแน่ๆ
ตัวตู้กระจกมีความหมายในตัวของมันเอง มันเป็นเครื่องบ่งชี้ความโปร่งใส ดัวนั้นมีช่องหรือร่องอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็จะไม่เป็นที่สังเกตเห็นได้ง่ายๆ ถ้าอย่างนั้นการตายของเจสสิก้าก็อาจจะ...
จิ้งฉีคิดถึงความเป็นไปได้แบบนี้แล้ว ก็รีบลุกขึ้นจะไปหลังเวที แต่กลับถูกลู่กั้วดึงเอาไว้ก่อน
“แกจะทำอะไร ไปฉี่เหรอ?”
“เออ” จิ้งฉีตอบแบบไม่ใส่ใจ เอาแต่คิดอยู่ในใจ...
‘ถ้าอย่างนั้นฆาตกรก็อาจจะไม่ใช่วิญญาณร้ายเสียแล้ว แต่น่าจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเขาเหล่านี้มากกว่า’
“พอดีเลย ฉันก็จะไปฉี่เหมือนกัน” ลู่กั้วลุกขึ้นยืน
“ตามใจ” จิ้งฉีตอบ มองไปที่หลินเหวิน ท่านอาจารย์จูหว่าน หลี่ลู่ ถึงพวกเขาจะออกไปข้างนอกกันหมดแต่ก็มีตำรวจคอยสังเกตการณ์ให้อยู่แล้ว ฉะนั้นลู่กั้วจะอยู่หรือไม่คงไม่เป็นไร
ลู่กั้วเดินตามไป๋จิ้งฉีออกมาจากที่นั่งของผู้ชม แต่กลับเห็นเพื่อนคู่หูเดินเข้าไปด้านหลังเวทีแทน “เฮ้ย ไอ้งั่ง ห้องน้ำอยู่ทางนี้”
จิ้งฉีไม่สนใจ ยังคงใช้ความคิดอยู่...ถ้าเสกให้ศพของเจสสิก้าหายไปจนมองไม่เห็น แล้วทำยังไงให้ศพไปอยู่ในกรงเสือของหลี่ลู่ผู้เข้าแข่งขันคนที่ 4 ได้ล่ะ?
“นี่แกมาทำอะไรหลังเวที?” ลู่กั้วเดินตามมา “เอ๋? แล้วเข้าไปในกล่องนั่นทำไม?” มองเห็นจิ้งฉีเดินเข้าไปในกล่องมายากลของเจสสิก้าจึงถามออกมาด้วยความประหลาดใจ


คราบเลือด!
จิ้งฉีคุกเข่าลงมองดูคราบเลือดที่แห้งกรังอยู่บนพื้น ดาบหนึ่งแทงทะลุหัวใจ อีกดาบแทงเข้าที่ปอด ทั้งสองจุดล้วนแต่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ถึงตายได้ เขาค่อยๆ ยืนขึ้น เงยหน้าขึ้นมองด้านบนของกล่องมายากล ลองยื่นมือขึ้นไปดันดูจึงรู้ว่ามันหลวม และยังมีรูเล็กๆ อยู่ตรงกลางด้วยอีกสองรู
ลู่กั้วเห็นจิ้งฉีมีสีหน้าแปลกไปจึงกระโดดขึ้นไปอยู่บนกล่องมายากลก้มลงมองทะลุผ่านรูทั้งสองนั้น เห็นจิ้งฉีอยู่ข้างในกล่อง นี่ถ้าหากไม่ใกล้ขนาดนี้ ก็คงจะไม่เห็นว่ามีรูอยู่
“ลู่กั้วนายยังจำได้ไหม ในการแสดงนายจับตามองดูตรงไหนเป็นพิเศษ?”
“ไม่เห็นต้องถาม ก็ต้องจับตาอยู่ที่กล่องมายากลกลางเวทีน่ะสิ...อย่าบอกนะว่าแกมองที่อื่นน่ะ” ลู่กั้วตอบ
“ก็เพราะอย่างนี้แหละ ทุกคนมัวแต่สนใจกล่องมายากล ก็เลยไม่มีใครสังเกตข้างบน อีกอย่างตอนนั้นแสงไฟก็สลัวมาก ดังนั้น...”
“นายหมายความว่าศพของเจสสิก้าถูกเคลื่อนย้ายตอนนั้นงั้นเหรอ? ถ้างั้นจะเอาศพแขวนขึ้นมากับอะไรล่ะ? เส้นด้ายงั้นเหรอ? ถ้าเป็นเส้นด้ายก็ต้องถูกผูกไว้กับตัวตั้งแต่แรกแล้วสิ หรือแกว่ามันจะเอามาผูกทีหลังได้ล่ะ?”
“นี่แหละปัญหา มันไม่เหมือนกับกล่องกระจกที่หลอซูสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษ แต่กล่องใบนี้น่าจะทำขึ้นเฉพาะกิจมากกว่า ถึงจะเอาเจสสิก้าแขวนไว้แล้วดึงทะลุช่องขึ้นไปได้ แต่ว่าตอนนั้นเธอตายแล้วไม่มีทางจะเอาด้ายมาผูกกับตัวเองได้ หรือว่า...”
จิ้งฉีมองคราบเลือดใต้ฝ่าเท้า ทันใดนั้นเหมือนจะคิดอะไรได้รีบตรวจสอบภายในกล่องอีกครั้ง...เป็นอย่างนี้นี่เอง ถ้างั้นความลับของการหายไปของศพเจสสิก้าก็คลี่คลายแล้ว แต่ทว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ทำไมศพของเธอจึงไปอยู่ในกรงของหลี่ลู่กันเล่า?
“คิดอะไรอยู่?” ลู่กั้วเห็นท่าทางของจิ้งฉีเหมือนจะรู้อะไรเข้าแล้ว แต่เขากลับไม่เห็นจะเจออะไรเลย
“หรือว่าเราสองคนจะคิดผิด ไม่ใช่วิญญาณแค้น แต่เป็นฆาตกรรมฝีมือมนุษย์จริงๆ” จิ้งฉีพูดจริงจัง
“โอ๊ะ! ถ้างั้นเจสสิก้า...”
“มันคือมายากลลู่กั้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาดฆาตกรต้องอยู่ในกลุ่มนักมายากลพวกนี้แหละ นายกลับไปสังเกตการณ์พวกเขาก่อน ฉันจะลองไปหาหลักฐานที่อื่นดู”
“ได้”
ลู่กั้วรีบกลับไปที่นั่งของตนเองทันที ระหว่างทางเดินกลับก็คิดขึ้นมาได้
แล้วทำไมเราต้องฟังคำสั่งมันด้วยวะนี่?
ถึงจะรู้สึกโมโหตัวเองอยู่บ้าง แต่ก็กลับมาจนถึงที่นั่งของตนเอง ดีที่ทุกคนอยู่กันครบและการแสดงของซือเต๋อกำลังจะเริ่มขึ้น
ขณะที่มีคนพบตัวตลกบนกำแพง ทุกคนอยู่กันบนเวที ถ้าเช่นนั้นตัวตลกก็ต้องถูกจัดว่างไว้ก่อนล่วงหน้า แต่โคมไฟ...จิ้งฉีแหงนหน้าขึ้นมองเพดาน โคมไฟที่ร่วงลงมาตรงหน้าของหลินเหวิน มันหล่นลงมาโดยบังเอิญจริงหรือ? กำลังคิดจะใช้วิชาบินขึ้นไปตรวจดู กลับได้ยินเสียงคนเดินมาเสียก่อน
“พูดแล้วก็ขนลุก เมื่อวานตอนมาเปิดไฟ เห็นตัวตลกอยู่บนกำแพง ฉันล่ะตกใจแทบตาย”
“แปลก หลังเวทีคนเดินไปมาพลุกพล่าน ใครทันเอาตัวตลกขึ้นไปแขวนไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“หรือว่าจะเป็นวิญญาณนั่นมาทวงเอาชีวิตคืน?” อีกคนหนึ่งตัวสั่นขึ้นมาทันที
“รอเดี๋ยวครับ” จิ้งฉีเรียกพวกเขาไว้ “วิญญาณที่พวกคุณพูดถึงมันเรื่องอะไรกัน?”
“น้องชาย เรื่องอย่างนี้น่ะอย่ารู้เลยจะดีกว่า” คนงานคนหนึ่งพูดด้วยความหวังดี
“แต่ผมอย่างรู้ ก็เหมือนที่พวกคุณคุยกัน หลังเวทีมีคนพลุกพล่านเป็นไปได้ยังไงที่จะมีคนเอาตัวตลกไปตอกไว้กับกำแพงโดยที่ไม่มีใครเห็นแล้วยังเรื่องโคมไฟที่หล่นลงมาจนเกือบจะทับคนนั่นอีก คุณสองคนไม่รู้สึกว่ามันแปลกมากงั้นหรือ”
ถึงแม้รู้ว่าการหายตัวไปของเจสสิก้าเป็นฝีมือของมนุษย์ แต่ยังไงจิ้งฉีก็ยังรู้สึกมีวิญญาณแค้นแผลงฤทธิ์อยู่ ตอนที่ฝากล่องถูกเปิดออก เขาสัมผัสได้ถึงไอหมอกแห่งวิญญาณแค้นจริงๆ แต่ลู่กั้วกลับไม่รู้สึก เขาจึงไม่กล้าจะตัดสินใจว่าที่สัมผัสนั้นมันถูกหรือผิด
“พูดกันตามตรง ผมว่าเรื่องตัวตลกนั่นอาจจะเป็นฝีมือของคนก็ได้” คนงานคนหนึ่งลูบคางแล้วพูดออกมา
“จำได้ว่าตอนนั้นมีคนตาย ทุกคนถูกตำรวจพาตัวไปสอบสวนกันหมด แต่พอผมกลับมาเอาของที่ลืมไว้ ก็ได้ยินเสียงคุยกันอยู่หลังเวที”
“เขาคุยกันเรื่องอะไร?” จิ้งฉีตื่นเต้นขึ้นมาทันที ตอนที่ลู่กั้วกับเขาเข้ามาตรวจหาวิญญาณแค้นก็ไม่เห็นจะมีใครอยู่แถวนั้นเลย
“ฟังไม่ชัด ผมนึกว่าเป็นตำรวจ เลยไม่ได้สังเกต” คนงานทำท่าครุ่นคิด
“แต่ผมจำได้ว่าผมออกไปเป็นคนสุดท้าย ตอนนั้นยังไม่เห็นจะมีตัวตลก แต่พอตำรวจสอบปากคำเสร็จกลับมาเปิดไฟก็เจอเลย ผมว่ามันน่าจะเป็นช่วงนั้นแหละ ตอนนั้นทุกคนถูกสอบปากคำอยู่ ดังนั้น...”
เพราะฉะนั้นช่วงเวลาดังกล่าวจึงเป็นช่วงปลอดคน คนงานทุกคนของที่นี่ถูกบันทึกคำให้การอยู่ ส่วนบุคคลสำคัญอื่นๆ ก็มารวมตัวกันหลังจากนั้นไม่นาน ดังนั้นฆาตกรก็น่าจะอยู่ในกลุ่มพวกเขานี่แหละน่าเสียดายที่คนงานไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไรกัน
“เดี๋ยวๆ ผมนึกอะไรออกแล้ว” ทันใดนั้นคนงานที่ได้ยินเสียงคนคุยกันก็พูดขึ้น “ผมนึกได้แล้ว ได้ยินพวกเขาพูดกันว่า ‘เป็นไปได้มั้ยที่วิญญาณจะตามมาทวงชีวิตคืน’ ใช่ๆ พูดแบบนี้แหละ”
“งั้นตัวตลกนั่นก็คงจะเป็นพวกนั้นแหละที่วางเอาไว้”
ไม่ใช่ คนที่แอบคุยกันนั้นต้องทำสิ่งไม่ดีอะไรลงไปสักอย่างแน่ๆ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขายังจะต้องการให้การแข่งขันดำเนินต่อไป และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาตัวตลกมาข่มขู่ หรือว่าจะเป็นอย่างที่ลู่กั้วบอก
ฆาตกร คือหลี่ลู่?
“แล้วที่พวกคุณคุยกันว่า วิญญาณแค้นจะตามมาทวงชีวิต มันหมายความว่ายังไงกันแน่?”
“เฮ้อ เรื่องมันก็ตั้งสามปีมาแล้ว ตอนนั้นมีโรงเรียนสอนมายากลจากต่างประเทศมาเปิดรับนักเรียนที่นี่ แต่แล้วครูฝึกคนหนึ่งก็ตายอย่างสยดสยองเสียก่อน”
“ตายยังไง?”
“อุบัติเหตุ ถูกโคมไฟบนเวทีหล่นลงมาทับตาย มันน่ากลัวจนลืมไม่ลงเลยล่ะ”


ถ้าจะพูดว่า ‘วิญญาณตามมาทวงชีวิต’ งั้นก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุ


จิ้งฉีคิดแต่ลำพัง อาคมเวทมนตร์ที่อ่อนด้อยของเขาคงจะไม่อาจทำให้สภาพในสมัยนั้นปรากฎขึ้นมาได้ เห็นทีต้องให้ลู่กั้วมาตรวจดูเสียหน่อยแล้ว
ทันใดนั้นมีเสียงอื้ออึงมาจากด้านหน้าเวที ไป๋จิ้งฉีรีบวิ่งกลับไปยังที่นั่ง รู้สึกจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นเสียแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น?” บนเวทีดูสงบเรียบร้อยดี แต่จิ้งฉีสังเกตเห็นสีหน้าของผู้ชมมีแววตกใจอยู่เล็กน้อย ส่วนลู่กั้ว หลินเหวิน รวมทั้งอาจารย์จูหว่านก็ไม่รู้หายไปไหน
“การแสดงของซอเต๋อมีปัญหานิดหน่อย” หลอซูคิ้วขมวด
“ปัญหาอะไร?”
“ซือเต๋อแสดงกลทะลุกำแพง แต่ว่าหลังจากมุดเข้าไปแล้ว ก็ไม่โผล่ออกมาอีกเลย”
“กลทะลุกำแพง?”
“เอ้อ เพื่อนของคุณ อาจารย์ และก็หลินเหวิน ไปหลังเวทีกันแล้ว น่าจะเจออะไรบ้างแล้วล่ะ” หลอซูบอก
“ขอบคุณครับ”
จิ้งฉีสังเกตเห็นสีหน้าตึงเครียดของหลี่ลู่ที่นั่งอยู่ไม่ห่างกันนัก
ชายหนุ่มสั่นไหวเล็กน้อย
เลือดสีแดงไหลเปื้อนติดมากับคมดาบ
ตัดสินใจแทงดาบ
ในมือเข้าไปอีกครั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น